19 ต.ค. 2022 เวลา 02:49 • การศึกษา
สู้จนกว่าจะชนะ
ปฏิบัติธรรม
ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งมีความตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ก็ยังไม่เห็นผลของการปฏิบัติ จึงเกิดความท้อแท้ คลายความเพียร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ได้เรียกภิกษุรูปนั้นมา แล้วตรัสว่า "ภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนได้กระทำความเพียร แม้ถือกำเนิดในสัตว์เดรัจฉาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ยังไม่ละความเพียรเลย"
พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลัง นำอดีตชาติในครั้งที่พระองค์ได้บังเกิดเป็นม้าอาชาไนย มาตรัสเล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟังว่า
โภชาชานียะ
สมัยนั้น เราถึงความประเสริฐกว่าม้าทั้งหลายได้ชื่อว่า "โภชาชานียะ" มีลักษณะองอาจ สง่างามสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง มีฝีเท้าเร็วประหนึ่งสายฟ้า เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี ได้เป็นม้ามงคลคู่บารมีของพระเจ้าแผ่นดิน พระราชาทรงตั้งเราให้อยู่ในฐานะสหายของพระองค์
ในครั้งนั้น พระราชาได้ให้ข้าวสาลีที่เก็บไว้อย่างดีถึง ๓ ปี มีกลิ่นหอมและมีรสเป็นเลิศ ในภาชนะทองคำมีราคาถึงหนึ่งแสน ที่อยู่ของเรานั้นปูลาดด้วยผ้าอ่อนนุ่ม บนพื้นโปรยด้วยดอกไม้หอม มีม่านผ้ากัมพลแดงที่พระราชาทรงใช้เป็นฉากกั้น บนเพดานมีผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองระยิบระยับ ห้อยพวงดอกไม้หอมนานาชนิด
ม้าอาชาไนย
นครพาราณสีนี้ มีความอุดมสมบูรณ์มาก จึงทำให้เป็นที่ปรารถนาของเจ้าเมืองอื่นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงชราภาพ เจ้าเมืองจากที่ต่างๆ ถึง ๗ พระนครได้ร่วมมือกัน บุกเข้าล้อมกรุงพาราณสี เพื่อต้องการจะยึดเมือง
แล้วส่งทูตมาเจรจาให้พระเจ้าพรหมทัตยอมแพ้ ไม่เช่นนั้นก็จะยกทัพเข้าตีเมืองพระเจ้าพรหมทัตจึงเรียกเหล่าอำมาตย์มาประชุมกัน เพื่อปรึกษาหารือในการศึกครั้งนี้ อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า "ให้ส่งแม่ทัพม้าที่มีความสามารถออกไปทำการรบ"
พระราชาจึงทรงสั่งให้เรียกแม่ทัพม้าเข้ามา ได้ตรัสถามว่า "เธอสามารถรบกับเจ้าเมือง ๗ พระนครได้หรือไม่"
โภชาชานียะ
แม่ทัพม้ากราบทูลว่า "ถ้าข้าพระองค์ออกทำการรบร่วมกับม้าสินธพอาชาไนย ชื่อ โภชาชานียะแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่พระราชา ๗ พระองค์เลย แม้พระราชาทั้งชมพูทวีป ข้าพระองค์ก็จักสามารถรบชนะพระเจ้าข้า"
พระเจ้าพรหมทัตทรงวางพระทัย และได้มีพระบรมราชานุญาตให้ท่านแม่ทัพออกรบร่วมกับม้าสินธพอาชาไนย ม้าสินธพทะยานออกจากพระนครไปประดุจสายฟ้าแลบ แค่ม้าของข้าศึกเห็น ก็เกรงกลัวแล้ว อีกทั้งความสามารถของแม่ทัพม้าก็เป็นเยี่ยม ทำให้สามารถทำลายกองทัพของเจ้าเมืององค์ที่ จับเจ้าเมืองเป็นเชลยได้ แล้วพามามอบให้แก่พระราชา
ออกรบ
แล้วก็กลับเข้าสู่สนามรบอีก จับเจ้าเมืององค์ที่ ๒ องค์ที่ ๓ ได้เรื่อยไป จนกระทั่งสามารถปราบข้าศึกได้ถึง '๖ พระนคร แต่ในขณะที่จับเจ้าเมืององค์ที่ ๖ม้าสินธพได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลูกศรเมื่อแม่ทัพม้ารู้ว่าม้าสินธพได้รับบาดเจ็บสาหัส
จึงให้นอนอยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง ปลดเกราะออกเพื่อจะผูกเกราะให้กับม้าตัวอื่น ม้าสินธพรู้ว่าไม่มีม้าตัวไหน หรือแม้ม้าทั้งชมพูทวีปก็ไม่สามารถจะทำลายกองทัพที่ ๗ ซึ่งเป็นทัพที่แข็งแกร่งได้นั่นหมายถึงว่า ความเพียรที่เราได้กระทำไว้ทั้งหมดย่อมสูญเปล่า และแม่ทัพม้านี้ก็จักต้องตายในสนามรบ พระเจ้าพรหมทัตก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูราชวงศ์ก็จะถึงกาลอวสาน ฉะนั้นทั้งๆ ที่ยังนอนบาดเจ็บอยู่นั้น
โภชาชานียะ
ม้าสินธพได้กล่าวกับแม่ทัพว่า "ท่านแม่ทัพ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก นอกจากเราแล้ว ม้าตัวอื่นที่จะสามารถรบชนะนั้นย่อมไม่มีเราจะไม่ทำสิ่งที่เราได้เพียรพยายามทำไปแล้วให้เสียหาย ท่านจงพยุงเราลุกขึ้น แล้วผูกเกราะให้เราเถิด" แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า"ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้าทั้งหลาย แม่ทัพท่านจงสวมเกราะให้เราออกรบเถิด"
แม่ทัพม้าได้ร้องห้เพราะสงสารม้าสินธพ ได้พยุงม้าสินธพให้ลุกขึ้น เอาผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกทำการรบอีกครั้ง
แม้ม้าสินธพจะได้รับความเจ็บปวด เพราะพิษร้ายของลูกศร แต่ก็สู้อดทน บุกทะลวงกองทัพหลวงของพระราชาองค์ที่ ๗ จนได้รับชัยชนะ แล้วจับพระราชามาเป็นเชลย
เมื่อบรรลุราชกิจก็กลับเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตด้วยความเหนื่อยอ่อน นอนลงที่หน้าพระลานหลวงพระราชารีบเสด็จออกมาดูอาการของม้าสินธพทรงมิอาจที่จะกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ ได้แต่โทมนัสคร่ำครวญอยู่
โภชาชานียะ
บัดนั้นม้าสินธพรู้ว่า พระราชาทรงพิโรธ พระราชาทั้ง ๗ จึงทูลว่า"ข้าแต่มหาราชผู้เจริญ พระองค์อย่าได้ฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลย ทรงให้ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วปล่อยไปเถิด อิสริยยศที่จะพึงประทานแก่ข้าพระบาท ทรงมอบให้แก่ท่านแม่ทัพเถิด และอย่าได้ลงโทษท่านแม่ทัพเพราะเหตุที่ข้าพระบาทต้องได้รับบาดเจ็บเลยขอพระองค์จงตั้งใจบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาและ ครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด" เมื่อกล่าวจบก็สิ้นใจ
พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสว่า "ภิกษุ บัณฑิตในกาลก่อน แม้ถือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ได้กระทำความเพียร จนได้รับบาดเจ็บเห็นปานนี้ แต่ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอออกบวชในศาสนานี้ ที่จะนำตนออกจากทุกข์ได้ เพราะเหตุไรเล่าจึงละความเพียรเสีย"
จากนั้นทรงแสดงพระอริยสัจ ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้คลายความเพียรรูปนั้นได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ในที่นั้นเอง
สู้จนกว่าจะชนะ
พวกเราซึ่งเป็นนักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน เราต้องเข้มแข็งในการสร้างบารมีต่อไป สู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ มุ่งไปให้ถึงเส้นชัยของชีวิต ถึงที่สุดแห่งธรรม
ม้าสินธพอาชาไนย แม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ยังเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ในสงคราม เราเป็นมนุษย์ไฉนจะยอมพ่ายแพ้ในสงครามแห่งชีวิต ต้องสู้ให้ถึงที่สุด
ในเมื่อเราปรารถนาจะให้โลก เข้าถึงสันติสุขอันไพบูลย์ แล้วเราจะยอมให้กิเลสอาสวะทั้งหลาย มามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอย่าได้ท้อถอย อย่าได้หวั่นไหวในการสร้างบารมีกัน
โอวาทคุณครูไม่ใหญ่ (วันอังคารที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒)
จาก รวมพระธรรมเทศนา๔ (หน้า ๔๕-๕๑)
ภาพจาก Dmc.tv
โฆษณา