18 ต.ค. 2022 เวลา 09:33 • การศึกษา
ทำไมภูมิภาคตะวันออกกลางถึงมีน้ำมันเยอะ?
แม้ว่าโลกของเราจะหันไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันน้ำมันยังคงมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของเราในยุคปัจจุบันอย่างมาก และภูมิภาคที่เปรียบเสมือนเป็นบ่อน้ำมันของโลกก็คงจะหนีไม่พ้นตะวันออกกลาง ซึ่งน้ำมันสามารถเปลี่ยนหลายประเทศในภูมิภาคดังกล่าวที่เป็นทะเลทรายที่ค่อนข้างทุรกันดารเป็นประเทศมหาเศรษฐีในไม่กี่ชั่วอายุคน และเปลี่ยนบางประเทศให้กลายเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้งได้ แต่คำถามคือ ทำไมภูมิภาคตะวันออกกลางถึงมีน้ำมันเยอะหล่ะ
ทฤษฎีที่ฟังดูเข้าท่าที่สุดอธิบายว่า พื้นที่ภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบัน เมื่อประมาณ100 ล้านปีก่อนถูกปกคลุมด้วยผืนน้ำขนาดใหญ่มาก่อน ซึ่งนักภูมิศาสตร์เรียกพื้นที่ดังกล่าวว่าทะเล Tethys ที่มีสารอินทรีย์และสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก (ระดับ micro) ประกอบกับมีแบคทีเรียและสาหร่าย (algae) จำนวนมาก เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านั้นก็ย่อยสลายไปกองสะสมอยู่ในพื้นที่ทะเลบริเวณนั้น
1
เมื่อซากอินทรีย์ในบริเวณนั้นทับถมกันจนกลายเป็นชั้นที่มีความสูง และถูกทับถมจนมีความหนาแน่นมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ประกอบปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ความดันใต้พื้นดิน และอุณหภูมิ ชั้นอินทรีย์เหล่านั้นก็แปรสภาพกลายเป็นน้ำมัน เมื่อเกิดการเคลื่อนที่ของทวีปจนทำให้น้ำในทะเล Tethys ลดลง สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ในพื้นที่ตะวันออกลางในปัจจุบันคือ ผืนทรายที่กว้างใหญ่ และสิ่งที่อยู่ใต้ผืนทรายนั้นก็คือน้ำมันที่เป็นแหล่งพลังงานชั้นเลิศสำหรับอารยธรรมมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ดีประเทศที่มีแหล่งขุดเจาะน้ำมันเป็นของตัวเองนั้นไม่ได้มีแค่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะหลายๆ ประเทศเทศในหลายภูมิภาคก็มีแหล่งขุดเจาะน้ำมันเป็นของตัวเอง แต่คุณภาพของน้ำมันและวิธีขุดเจาะนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ประเทศที่เราอาจไม่คุ้นว่าผลิตมีการผลิตน้ำมันด้วยตัวเองอย่างสหรัฐอเมริกา นั้นก็มีการผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับต้นๆของโลกด้วย
ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ จะขุดเจาะน้ำมันเองได้ แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับอุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางก็เป็นเพราะว่า ประเภทและกระบวนการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ และหลายประเทศในตะวันออกกลางนั้นแตกต่างกัน กล่าวคือกระบวนการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ เป็นการขุดเจาะน้ำมันขึ้นมาจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะสูง เพราะต้องมีการขุดเจาะผ่านชั้นหิน
นอกจากนั้นการขุดเจาะ shale oil ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการขุดเจาะมีการปล่อยคาร์บอนมากกว่าวิธีทั่วไป และมีโอกาสทำให้แหล่งน้ำบริเวณใกล้เคียงกับแหล่งขุดเจาะปนเปื้อนมลพิษ ในขณะที่น้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งคาบสมุทรอารเบียและอ่าวเปอร์เซียมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ากันมาก และกระบวนการขุดเจาะในพื้นที่แถวนั้นก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
อ้างอิงจากเว็บไซต์ ABC Science ค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะน้ำมันแถวอ่าวเปอร์เซียอยู่ที่ประมาณ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหนึ่งบาร์เรล (1 บาร์เรล = ประมาณ 159 ลิตร) ในขณะที่การขุดเจาะน้ำมันในประเทศอื่นๆ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 30-40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการขุดเจาะน้ำมัน Shale oil มีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 40 ดอลลาร์และสูงสุดถึง 90 ดอลลาร์
สำหรับราคาน้ำมันในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์ (ราคาที่ใช้อ้างอิงในการค้าน้ำมันในแต่ละภูมิภาค) นั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยคืออุปสงค์ (ความต้องการของตลาด) และอุปทาน (ปริมาณการผลิต) ซึ่งปัจจัยหลังนั้นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดคือประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอารเบีย และประเทศเศรษฐีน้ำมันทั้งหลายในภูมิภาคตะวันออกกลาง และประเทศผู้ผลิตที่เป็นพันธมิตรที่รวมตัวกันเพื่อกำหนดราคาน้ำมันโลกอย่างกลุ่ม OPEC และ OPEC+ ซึ่งผู้เขียนจะสรุปให้อ่านกันโพสต์ถัดๆ ไป
แปลและสรุปมาจาก
كيف يختلف نفط منطقتنا عن باقي العالم؟
โฆษณา