24 ต.ค. 2022 เวลา 02:35 • การศึกษา
เพียรเถิดจะเกิดผล
เพียรเถิดจะเกิดผล
ในสมัยพุทธกาล มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส มองเห็นทุกข์เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน และเห็นโทษของกามราคะว่าเป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์ เป็นดั่งหลุมถ่านเพลิง เป็นเหมือนเครื่องจองจำชีวิตฆราวาสนั้นคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลีกิเลสทั้งหลาย
การบรรพชาเป็นทางมาแห่งความสุขเป็นทางพันทุกข์ นำไปสู่มรรคผลนิพพาน เขาจึงกลับไปบ้าน และขออนุญาตบิดามารดาเพื่อออกบวช
เมื่อบวชแล้ว ท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมเอาจริงเอาจังตลอดพรรษา แต่เนื่องจากว่าปฏิบัติเคร่งเครียดจนเกินไป จึงทำให้ไม่สบาย ใจไม่สงบ แม้นิมิตหรือแสงสว่างเพียงเล็กน้อย ก็ไม่เคยเห็น
เมื่อผลการปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง ท่านจึงเบื่อหน่ายคลายความเพียร เกิดความท้อใจว่าตัวเองคงไม่มีบุญที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้ เป็นคนอาภัพ ไม่มีวาสนาเหมือนคนอื่นเขา
ถ้าปฏิบัติต่อไปก็คงไม่ได้บรรลุอะไร สู้ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสยังจะดีกว่า แล้วหมั่นมาทำบุญ มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า คงจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้บรรลุธรรมในภพชาติต่อไปได้บ้าง
พระบรมศาสดาทรงรู้วาระจิตของพระภิกษุรูปนี้และทราบถึงความตั้งใจจริงของท่าน เพียงแต่ยังปฏิบัติไม่ถูกวิธีเท่านั้น จึงเรียกมา แล้วตรัสให้กำลังใจว่า..
"เธอบวชในศาสนา อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้ ทำไมจึงไม่ให้เขารู้จักเธอว่า เป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้สงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ หรือว่าเป็นผู้ปรารภความเพียรเล่า
สมัยก่อนเพราะเธอคนเดียวเท่านั้นทำให้กองเกวียน ๕๐๐ เล่ม สามารถเดินทางผ่านทะเลทรายอันทุรกันดารไปได้ทำให้ทุกคนได้รับความสุข ก็เพราะความเพียรของเธอผู้เดียวเท่านั้น แต่เหตุไรบัดนี้เธอจึงละความเพียรเสีย"
จากนั้นพระองค์ทรงระลึกชาติหนหลัง ตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติให้ฟังว่า.. สมัยหนึ่ง ในเมืองพาราณสี เราเกิดเป็นพ่อค้าได้บรรทุกสินค้าไปขายยังต่างเมือง เราได้ชักชวนเธอและบริวารอีก ๕๐๐ คนไปด้วย
ในการเดินทางต้องข้ามทะเลทรายเป็นระยะทางถึง ๖๐ โยชน์ ในตอนกลางวันทะเลทรายร้อนระอุมาก จึงต้องหยุดพักผ่อน แล้วเดินทางในเวลากลางคืน เมื่อเราและบริวารเดินทางรอนแรมไปใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว
เหลืออีกเพียง ๑ โยชน์เท่านั้น ซึ่งถ้าใช้เวลาเดินทางเพียงแค่คืนเดียว ก็จะข้ามพ้นเขตทะเลทรายไปได้ ครั้นถึงเวลากลางคืน เราก็ออกเดินทางกันโดยให้เธอเป็นคนนำทาง สังเกตทิศจากดวงดาว
เธอได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย กองเกวียนทั้งหมดจึงหลงทาง เช้าวันรุ่งขึ้นก็เดินวนกลับมาที่เดิม บริวารทั้งหมดรู้สึกอ่อนล้าและหิวโหยกันมาก เพราะขาดน้ำต่างพากันท้อแท้ไปตามๆ กัน
เราเห็นดังนั้น จึงคิดว่าถ้าหากเราละความเพียรเสียอีกคนหนึ่ง หมู่คณะก็จะถึงแก่ความตายกันหมด เราได้ออกเดินสำรวจดูบริเวณรอบๆ นั้นกับเธอว่า มีหญ้าแพรกกอหนึ่งขึ้นอยู่ เพราะว่าได้รับความชื้น จากแหล่งน้ำเบื้องล่าง
จึงกลับไปบอกบริวาร ให้มาช่วยกันขุดพื้นทรายใต้กอหญ้านั้น ขุดลึกลงไปจนถึง ๖๐ ศอก แล้วก็ยังไม่พบน้ำ กลับพบแต่แผ่นหินขวางอยู่ เหล่าบริวารเห็นดังนั้น ก็พากันสิ้นหวัง หมดอาลัยในชีวิต ต่างละความเพียร นอนรอคอยความตายกันอยู่ ณ ที่นั้นเอง
แต่เรามิได้ท้อใจ เพราะมิอาจจะเห็นบริวารทั้งหมดต้องมาพบกับความหายนะต่อหน้าต่อตา ได้ลงไปในหลุมนั้น ลองแนบหูฟังที่แผ่นหิน ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่เบื้องล่าง จึงบอกให้ทุกคนมาช่วยกันเอาฆ้อนทุบแผ่นหิน
ทุกคนก็ได้ช่วยกันทุบจนหมดเรี่ยวหมดแรงไปตามๆ กัน เหลือเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังสู้อยู่ เราจึงบอกให้เธอทุ่มเทเรี่ยวแรงทำต่อไปอีก เธออดทนทุบแผ่นหินจนเลือดอาบฝ่ามือโดยมิได้บ่นสักคำ
ในที่สุด แผ่นหินนั้นก็แตก ลำน้ำได้พุ่งขึ้นมาสูงราวกับลำตาล ทุกคนดีใจเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เพราะความเพียรของเธอเพียงคนเดียวนี่แหละพวกเราจึงได้น้ำมาดื่มมาใช้กันอย่างสำราญ
สามารถหุงหาอาหารรับประทานได้ พอตกกลางคืน ทุกคนจึงได้ออกเดินทางต่อไป และถึงที่หมายในวันรุ่งขึ้น เธอเป็นผู้มีความเพียรมากขนาดนั้น ทำไมชาตินี้ ซึ่งเป็นภพชาติสุดท้ายของเธอแล้ว เธอจะยอมละความเพียรเสียเล่า"
จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาว่า "บุคคลทั้งหลายผู้มีความเพียร ขุดพื้นดินในทะเลทราย ได้พบน้ำในทะเลทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง ฉันใดมุนีผู้ประกอบด้วยความเพียร และกำลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น"
ภิกษุรูปนั้นมีใจอาจหาญร่าเริงเบิกบานในธรรม ได้น้อมจิตไปตามกระแสเสียงของพระพุทธองค์ เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ทำใจหยุดนิ่งอยู่ภายใน จนเข้าถึงกายภายในเป็นลำดับ ได้บรรลุธรรมกายอรหัตเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นเอง
พวกเราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเพียรพยายามต่อไป อย่ายอมพ่ายแพ้ อย่าท้อแท้ เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นอย่างเอาจริงเอาจัง ทุกอย่างจะสำเร็จได้ท้้งหมด
โอวาทจากคุณครูไม่ใหญ่
(วันพุธที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒)
จากหนังสือ รวมพระธรรมเทศนา (หน้า ๗๐-๗๕)
ภาพจาก เพจการบ้าน
โฆษณา