Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
21 ต.ค. 2022 เวลา 09:24 • ประวัติศาสตร์
"วัชกู ดากามา (Vasco da Gama)" และการสำรวจที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์โลก
"วัชกู ดากามา (Vasco da Gama)" ได้รับการยอมรับว่าเป็นชาวยุโรปรายแรกที่ได้สำรวจและค้นพบเส้นทางการค้าทางทะเลไปยังอินเดีย
1
ดากามาได้ล่องเรือไปรอบอ่าวในแอฟริกา และสามารถทำลายการผูกขาดการค้าเครื่องเทศของพ่อค้าอาหรับและพ่อค้าเวนิส และในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ก็ยอมรับว่าการเดินทางไปยังอินเดียของดากามา เป็นหนึ่งในการสำรวจและค้นพบครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 15 โปรตุเกส คือชาติมหาอำนาจทางทะเลในยุโรป มีเหล่าบุคลากรที่มีความสามารถ ทั้ง นักภูมิศาสตร์ นักเขียนแผนที่ นักดาราศาสตร์ และนักเดินเรือ
"เจ้าชายเฮนรี นักเดินเรือ (Prince Henry the Navigator)" สมาชิกราชวงศ์ผู้ปกครองโปรตุเกส ได้มีพระประสงค์ที่จะหาเส้นทางทางทะเลไปยังอินเดีย และจะได้สร้างผลกำไรมหาศาล
เจ้าชายเฮนรี นักเดินเรือ (Prince Henry the Navigator)
พระองค์ทรงมีพระประสงค์จะสร้างพันธมิตรกับดินแดนอื่น และทำให้อำนาจของมุสลิมในมหาสมุทรอินเดียสิ้นสุดลง
เจ้าชายเฮนรีทรงสนับสนุนการออกสำรวจรอบๆ ชายฝั่งทางตะวันออกของแอฟริกา และทรงเป็นรากฐานสำหรับการค้าทาสและทองคำในดินแดนรอบๆ นั้น
หากแต่ในเวลานั้น ชาวยุโรปก็ยังไม่ค่อยทราบอะไรเกี่ยวกับทวีปแอฟริกามากนัก ทำให้ความฝันของพระองค์ยังไม่สำเร็จสมบูรณ์
ต่อมาในปีค.ศ.1487 (พ.ศ.2030) "บาร์โทโลมิว ดิแอซ (Bartolomeo Dias)" นักสำรวจชาวโปรตุเกส ได้เริ่มออกสำรวจ และไปถึงทางใต้ของแอฟริกา
บาร์โทโลมิว ดิแอซ (Bartolomeo Dias)
ดิแอซค้นพบว่าระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกกับมหาสมุทรอินเดียนั้นมีทางเชื่อมต่อกัน และทำให้เกิดความคิดว่าอาจจะมีการค้นพบเส้นทางทางทะเลที่ไปถึงอินเดียก็ได้
และเพื่อให้การสำรวจนั้นสมบูรณ์ "พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งโปรตุเกส (John II of Portugal)" ได้ทรงมีรับสั่งให้ "เปโดร เดอโควิลา (Pedro de Covilha)" ซึ่งสามารถพูดภาษาอารบิกได้อย่างชำนาญ ให้ออกเดินทางไปยังอินเดีย หากแต่จะเป็นการเดินทางทางบก
เดอโควิลาได้ปลอมตัวเป็นชาวอารบิก และรวบรวมข้อมูลสำคัญจากท่าเรือมุสลิมในบริเวณดินแดนแถวแอฟริกาตะวันออกและอินเดียได้เป็นจำนวนมาก
หากแต่กว่าโปรตุเกสจะจัดให้มีการสำรวจอีกครั้ง ก็คืออีกกว่า 10 ปีต่อมา และในขณะเดียวกัน "คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)" นักสำรวจชาวอิตาลีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสเปน ได้เดินทางกลับมาถึงยุโรปในปีค.ศ.1493 (พ.ศ.2036) และได้ประกาศว่าตนได้ค้นพบเส้นทางไปยังตะวันออก ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)
ในเวลานั้น โปรตุเกสและสเปนได้แข่งขันกันเพื่อช่วงชิงอำนาจทางการค้าในฝั่งตะวันออก และรุนแรงมากจนพระสันตะปาปาต้องออกมาทรงไกล่เกลี่ย
ในปีค.ศ.1494 (พ.ศ.2037) ภายหลังจากการเจรจาอย่างยาวนาน จึงได้มีการลงนามใน "สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas)"
สนธิสัญญานี้จะมีการแบ่งเส้นทางในมหาสมุทรแอตแลนติกออกเป็นสองส่วน ดินแดนทางฝั่งตะวันตกจะกลับคืนสู่สเปน ส่วนฝั่งตะวันออกจะเป็นของโปรตุเกส
ในปีค.ศ.1497 (พ.ศ.2040) กษัตริย์องค์ใหม่แห่งโปรตุเกส นั่นคือ "พระเจ้ามานูเอลที่ 1 แห่งโปรตุเกส (Manuel I of Portugal)" ได้ทรงแต่งตั้งให้ "วัชกู ดากามา (Vasco da Gama)" นักสำรวจชาวโปรตุเกส เป็นผู้นำการเดินทางสำรวจอินเดีย โดยการสำรวจนี้ ดิแอซได้ช่วยในการเตรียมความพร้อมของคณะสำรวจด้วย
ดากามาจะต้องรับผิดชอบเรือถึงสี่ลำ โดยสองลำนั้นได้สร้างขึ้นเพื่อการสำรวจครั้งนี้โดยเฉพาะ
วัชกู ดากามา (Vasco da Gama)
ดากามาได้เดินทางออกจากลิสบอนในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ.1497 (พ.ศ.2040) โดยดิแอซนั้นติดตามคณะสำรวจไปจนถึงหมู่เกาะคานารี จากนั้นก็ไปถึงเคปเวิร์ด และขั้นต่อไป ดิแอซก็ได้แนะนำให้ดากามาใช้เส้นทางที่ไม่ค่อยได้ใช้นัก นั่นคือไปทางตะวันตก ก่อนจะมุ่งสู่ทางใต้ และไปทางตะวันตกอีกครั้ง ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
คณะสำรวจได้มาถึงท่าเรือเซนต์เฮเลนาในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.1497 (พ.ศ.2040) ซึ่งเป็นเวลานานกว่า 13 สัปดาห์แล้วที่คณะสำรวจไม่เห็นแผ่นดิน และเดินทางออกจากเคปเวิร์ดมาแล้วกว่า 7,200 กิโลเมตร
สองวันต่อมา คณะสำรวจได้มาถึงมอสเซลเบย์ โดยในเวลานั้น เรือเสบียงได้ถูกเพลิงไหม้ และได้มีการขนย้ายเสบียงไปยังเรืออีกสามลำที่เหลือ และคณะสำรวจก็ได้เริ่มเดินทางไปทางเหนือ ตามเส้นทางชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาใต้
1
คณะสำรวจได้เดินทางตามแนวชายฝั่งเป็นระยะทางกว่า 2,700 กิโลเมตร และในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.1498 (พ.ศ.2041) ก็ได้มาถึงโมซัมบิก
แต่การมาถึงโมซัมบิก คณะสำรวจกลับไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากสุลต่านผู้ปกครองดินแดนเท่าใดนัก ของขวัญที่คณะสำรวจถวายแก่สุลต่านก็ถูกมองเป็นของไร้ค่า คณะสำรวจจึงออกเดินทางต่อไปทางเหนือ ไปถึงมอมบาซา ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับที่แย่พอๆ กับที่โมซัมบิก
ต่อมา คณะสำรวจได้เดินทางข้ามทะเลอาหรับใน 27 วัน โดยคณะสำรวจได้เดินทางมาถึงคาลิคัต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศ ซึ่งเป็นย่านการค้าที่คึกคัก
คณสำรวจได้พักอยู่ในคาลิคัตเป็นเวลาสามเดือน และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้นำศาสนาฮินดูในท้องถิ่น หากแต่เหล่าพ่อค้าชาวมุสลิมไม่ต้องการจะเสียผลประโยชน์และอำนาจในการค้าเครื่องเทศ
นั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคณะสำรวจชาวโปรตุเกสกับชาวบ้านในท้องถิ่นเริ่มจะไปได้ไม่ดีนัก คณะสำรวจจึงได้รวบรวมสินค้าต่างๆ และออกเดินทางกลับบ้าน
ดากามากลับมาถึงลิสบอนในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1498 (พ.ศ.2041) หลังจากจากบ้านไปถึงสองปี และเดินทางเป็นระยะทางกว่า 38,600 กิโลเมตร และจากคณะสำรวจที่ติดตามไปในทีแรกจำนวน 170 นาย เหลือรอดกลับมาเพียง 54 นายเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม องค์กษัตริย์แห่งโปรตุเกสก็ทรงพอพระราชหฤทัย และนักประวัติศาสตร์ก็ให้การเดินทางสำรวจนี้เป็นการเดินทางครั้งสำคัญ และเป็นรากฐานที่เปลี่ยนโลกในเวลาต่อมา
References:
https://historyofyesterday.com/vasco-de-gamas-journey-to-india-changed-the-world/
https://www.worldhistory.org/Vasco_da_Gama/
https://www.history.com/topics/exploration/vasco-da-gama
https://www.britannica.com/biography/Vasco-da-Gama
ประวัติศาสตร์
14 บันทึก
20
1
9
14
20
1
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย