20 ต.ค. 2022 เวลา 11:03 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : Black Adam - แบล็ก อดัม
Filmment Rating : 6.8
#เนื้อเรื่องย่อ
ย้อนกลับไปราว 5,000 ปีก่อน เทธ อดัม ทาสผู้รับใช้กษัตริย์แห่งเมืองคาห์นดัค ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่มาจากพระเจ้าและใช้พลังทั้งหมดของเขาไปกับการล้างแค้น นั่นจึงทำให้เขาถูกจองจำชั่วชีวิต แต่แล้วโชคชะตาก็ได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากการหลับใหล และพร้อมจะทวงความยุติธรรมด้วยความแค้นภายใต้ชื่อ แบล็ก อดัม
#ความเห็น
ถึงคราวออกโรงเสียทีสำหรับ Black Adam โปรเจกต์ภาพยนตร์ในฝันของ Dwayne Johnson ซึ่งเจ้าตัวใช้เวลานานกว่า 15 ปีเพื่อทำให้มันเกิดขึ้นจริงครับ โดย Black Adam นั้นยังคงเป็นส่วนหนึ่งของ DC Extended Universe และมีศักยภาพที่จะสานต่อเรื่องราวของจักรวาลหลักไปในทิศทางที่น่าสนใจได้ครับ แต่น่าเสียดายที่บทภาพยนตร์กลับยังวนอยู่ในอ่างและขาดความสดใหม่อย่างที่ควรจะเป็น
เนื้อหาหลักของภาพยนตร์มุ่งเน้นไปที่การสำรวจเรื่องราวของ แบล็ก อดัม ทั้งเรื่องราวปูมหลังเมื่อราว 5,000 ปีก่อน และการคืนชีพขึ้นในยุคปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปไกลเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ โดยภาพยนตร์สามารถสร้างความขัดแย้งให้กับตัวละครได้อย่างน่าสนใจครับ กับการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน และการหยิบเอาทุกการกระทำของแบล็ก อดัมให้คาบเกี่ยวอยู่บนเส้นระหว่างขาวกับดำครับ
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่า ในฐานะที่เป็นภาพยนตร์เดบิวต์ของซูเปอร์ฮีโร่ Black Adam มีเส้นเรื่องที่ต้องการเล่าเยอะจนเกินไปครับ โดยเฉพาะกับการเปิดตัวกลุ่ม JSA หรือ Justice Society of America ซึ่งประกอบไปด้วยซูเปอร์ฮีโร่หลายต่อหลายคน ที่ได้รับโอกาสในการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกบนจอภาพยนตร์ครับ
และด้วยเวลาที่จำกัดก็ทำให้ภาพยนตร์ไม่มีเวลาในการบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขามากนัก ตัวละครที่ได้รับแอร์ไทม์เยอะที่สุดก็คือ ฮอว์กแมน ในฐานะผู้นำของกลุ่มซึ่งพยายามมองหาความถูกผิดให้ได้ในทุกเรื่อง รองลงมาก็คือ ดร.เฟท ซึ่งมีวุฒิภาวะและประสบการณ์ในการตัดสินใจมากกว่า ภาพยนตร์พยายามอย่างมากในการสื่อสารถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของทั้ง 2 ตัวละครนี้ แต่นอกจากบทพูดทั่วไปแล้ว กลับไม่มีเนื้อหาหรือเหตุการณ์อะไรที่ช่วยรองรับความสัมพันธ์ครั้งนี้เลย
อีก 2 ตัวละครจากกลุ่มจัสติซ โซไซตี้อย่าง ไซโคลน และ อะตอม สแมชเชอร์ ก็ถูกวางบทบาทเอาไว้ในฐานะตัวละครสมทบ ที่อาจจะมีบทบาทสำคัญในอนาคตของจักรวาล DC แต่ภาพยนตร์กลับเลือกที่จะเล่าที่มาที่ไปของพวกเขาจากการสนทนากันอย่างไร้ชั้นเชิง และมันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผู้ชมหลงรักพวกเขาได้เลยครับ
ไม่เพียงเท่านั้น ภาพยนตร์ยังสอดแทรกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบริบทแวดล้อมของแบล็ก อดัม อย่างการปลดแอกและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวคาห์นดัค ภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดทำให้เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้นเบาบาง และไม่สามารถปลุกระดมผู้ชมให้คล้อยตามไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้เลย ขณะที่วายร้ายหลักของเรื่องก็มาพร้อมกับปมที่ซ้ำซาก อีกทั้งยังขาดมิติอย่างสิ้นเชิงอีกด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม Black Adam ชดเชยช่องโหว่ของบทภาพยนตร์ด้วยฉากแอ็คชั่นอันแสนวินาศสันตะโรครับ ด้วยทุนสร้างเฉียด 200 ล้านดอลลาร์ ภาพยนตร์สามารถเสิร์ฟฉากแอ็คชั่นให้กับผู้ชมได้อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมงครับ โดยเสน่ห์สำคัญนั้นมาจากความเฉพาะตัวของแบล็ก อดัมเอง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีพลังและความสามารถสูงเป็นลำดับต้นๆ ของจักรวาล DC
และเมื่อผสมรวมกับความเป็นแอนตี้ฮีโร่ ที่ไม่หวั่นเกรงกับการสังหารศัตรูทุกคนที่ขวางทางเขา ก็ทำให้แบล็ก อดัมเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่บ้าดีเดือดโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้นครับ แม้ว่าในแง่ของความรุนแรงนั้นจะถูกจำกัดเอาไว้ด้วยเรต PG-13 แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าฉากแอ็คชั่นของ Black Adam นั้นสามารถมอบความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างเต็มขีดจำกัดจริงๆ ครับ
นักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้างอย่าง Dwayne Johnson กล่าวอยู่เป็นประจำครับว่าภาพยนตร์เรื่อง Black Adam จะเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้งของ DC Extended Universe และนำพาจักรวาลไปสู่ยุคใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม ซึ่งองค์ประกอบของ Black Adam ก็มีมากพอที่จะทำอย่างนั้นได้ครับ แต่ทุกองค์ประกอบเหล่านั้นกลับขาดความลึกซึ้งและได้รับการสำรวจเพียงผิวเผิน จนทำให้ผู้ชมมองไม่เห็นความชอบธรรมในทุกการกระทำของตัวละคร ซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใต้ความแอ็คชั่นสนั่นจอตามสไตล์ของภาพยนตร์ป็อบคอร์นฟอร์มยักษ์
สุดท้ายนี้แม้ว่าทิศทางในอนาคตที่ภาพยนตร์ปูเอาไว้จะน่าตื่นเต้นมากขนาดไหน แต่มันยังขาดรายละเอียดเชิงลึกอีกมากมายในการสร้างจักรวาลให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ หนึ่งในนั้นก็คือการทำให้ผู้ชมทุกคนรักและผูกพันธ์กับตัวละครทุกคนในจักรวาลเสียก่อน ซึ่ง Black Adam ยังไม่สามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้อย่างคมคายมากนักครับ
#ประเด็นตกผลึก
ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Black Adam ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ
การผดุงความยุติธรรมด้วยความรุนแรง
นับเป็นความบังเอิญอย่างน่าเหลือครับที่ภาพยนตร์เรื่อง Black Adam สามารถนำเสนอประเด็นที่คล้ายกับเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างพอดิบพอดีครับ โดยภาพยนตร์พาผู้ชมไปรู้จักกับ เทธ อดัม ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในชนชั้นทาสที่ถูกกดขี่จากกษัตริย์แห่งเมืองคาห์นดัค จนกระทั่งเขาได้รับพลังจากเหล่าพ่อมดโบราณที่เชื่อมั่นว่าเทธ อดัมจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่เทธ อดัมกลับถูกความโกรธเข้าครอบงำ จนการทวงความยุติธรรมของเขานั้นกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และทำให้เขาถูกจองจำจากโลกใบนี้ไปนานถึง 5,000 ปีครับ
แต่ถึงกระนั้น วีรกรรมในการปลดแอกชาวเมืองคาห์นดัคของเทธ อดัม กลับถูกจดจำและเล่าขานกันในฐานะวีรบุรุษ เขากลายเป็นตำนานแห่งอิสรภาพ และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการทวงความยุติธรรมด้วยความโกรธแค้นสำหรับชาวคาห์นดัค แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานกว่า 5,000 ปี อารยธรรมของมนุษย์ได้ขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีความเป็นสังคมมากขึ้น ถูกปกครองด้วยกฎหมาย และมักเลือกสันติวิธีในการแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าโลกใบนี้ได้วิวัฒนาการนำหน้าแนวความคิดอันโบราณคร่ำครึของแบล็ก อดัมไปแล้วครับ
ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวทำให้ภาพยนตร์เลือกจะตั้งคำถามถึงนิยามของคำว่าความยุติธรรม ด้วยพลังอำนาจของแบล็ก อดัม ทำให้เขาสามารถพิพากษาและมอบโทษประหารชีวิตให้กับใครก็ตามที่เขาเห็นว่ามีความผิด ในขณะเดียวกัน เมืองคาห์นดัคก็ไม่เคยเป็นอิสระ โดยประชาชนถูกรุกรานจากผู้มีอิทธิพลและกองกำลังทหาร เพื่อฉกฉวยทรัพยากรของเมืองไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
และทันทีที่แบล็ก อดัมฟื้นคืนชีพ เขาก็ออกไล่ล่าเหล่าวายร้ายด้วยความรุนแรงในทันที โดยประชาชนชาวเมืองก็เห็นดีเห็นชอบและพร้อมจะเทิดทูลเขาในฐานะฮีโร่ผู้ปลดแอกของเมืองคาห์นดัค โดยที่ไม่มีใครเรียนรู้จากความป่าเถื่อนในอดีตกาล ซึ่งทำให้แบล็ก อดัมถูกจองจำมานานนับ 5,000 ปีเลยครับ
บทสรุปของเหตุการณ์ในภาพยนตร์จะเป็นอย่างไรนั้น ทุกท่านต้องไปตามหาคำตอบกันเองในโรงภาพยนตร์นะครับ แต่คำถามสำคัญก็คือ หากใครสักคนมีพลังพิเศษ พร้อมกับใช้มันเพื่อการทวงความยุติธรรมด้วยความรุนแรงและโกรธแค้นนั้น มันเป็นสิ่งที่ชอบธรรมหรือไม่ครับ เพราะสิ่งที่ใครสักคนควรจะได้รับ กับสิ่งที่ใครสักคนควรจะทำนั้นมันเป็นคนละเรื่องกันครับ
เมื่อไรก็ตามที่เราเห็นใครสักคนถูกกระทำด้วยความรุนแรง แล้วรู้สึกเห็นชอบไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงเพราะเราตัดสินว่าเขาสมควรโดนแล้ว มันอาจนำพาสังคมไปอยู่ในจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้ครับ จุดที่ทุกคนในสังคมสามารถลุกขึ้นมาทำอะไรกับใครก็ได้โดยใช้ความคิดส่วนตัวตัดสินว่ามันถูกต้อง อีกทั้งยังได้รับการเทิดทูลว่าเป็นผู้ปลดแอกของสังคมอีกด้วย
โดยส่วนตัวแล้วผมเองก็เชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่เราคงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองกันสักนิดหนึ่งครับว่า เราอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า และเราอยากจะได้ชัยชนะมาในรูปแบบใดกันแน่ ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
#BlackAdam #แบล็กอดัม #Filmment
โฆษณา