21 ต.ค. 2022 เวลา 04:02 • ธุรกิจ
สรุป Starbucks จากวันแรก ที่ขายแค่ เมล็ดกาแฟคั่ว
1
รู้หรือไม่ ? ในวันแรก ๆ Starbucks เป็นแค่ร้านขายเมล็ดกาแฟคั่ว ยังไม่ได้มีกาแฟขายเป็นแก้ว ๆ แบบในวันนี้
จะมีก็แต่แก้วเล็ก ๆ ให้ลูกค้าลองชิมรสชาติกาแฟเท่านั้น
1
จนกระทั่งคุณ Howard Schultz บุคคลคนสำคัญที่ปลุกปั้น Starbucks เริ่มเข้ามามีบทบาท..
3
เขาได้เดินทางไปยังเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และได้ไปเห็น ร้านคอฟฟีบาร์ที่สกัดกาแฟสดออกมาขายเป็นแก้ว แถมร้านยังเป็นจุดนัดพบของทุกคน
คอฟฟีบาร์ อิตาลี กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นคอนเซปต์ร้าน Starbucks แบบในทุกวันนี้ ที่บอกลูกค้าว่าตัวเองคือ “บ้านหลังที่ 3”
จากจุดเริ่มต้นในวันแรก ที่ขายแค่เมล็ดกาแฟคั่ว มาถึงวันนี้ได้อย่างไร ?
BrandCase จะสรุปเรื่องนี้ให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ
ย้อนกลับไปปี 1971 หรือเมื่อ 51 ปีก่อน
Starbucks เปิดสาขาแรกที่เมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีหุ้นส่วน 3 คนที่เป็นเพื่อนกันในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ในช่วงเริ่มแรก ได้เปิดเป็นเพียงร้านขายเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ต่าง ๆ จากทั่วโลก
โดยทางร้านจะนำมาคั่ว แล้วขายเป็นเมล็ดให้กับลูกค้า
1
ซึ่งทางร้าน ไม่มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับให้ลูกค้านั่ง แต่จะมีบริการแค่ชงกาแฟ เป็นตัวอย่างเพื่อชิมฟรี สำหรับผู้ซื้อเมล็ดกาแฟเท่านั้น
ด้วยเมล็ดกาแฟคั่วสดที่มีคุณภาพ ทำให้ร้าน Starbucks เป็นร้านขายเมล็ดกาแฟคั่วที่โดดเด่นมากในเมืองซีแอตเทิล จนได้ขยายสาขา Starbucks ไปทั่วเมืองในเวลาต่อมา
7
ต่อมาในปี 1981 คุณ Howard Schultz ตัวแทนฝ่ายขายของบริษัทเครื่องครัว และของใช้ในบ้านชาวสวีเดน ที่ขายเครื่องทำกาแฟให้กับ Starbucks ในขณะนั้น
4
ปรากฏว่าเครื่องทำกาแฟที่ใช้สำหรับสาธิตให้กับลูกค้าดูนั้น มียอดสั่งซื้อที่สูงมาก เขาจึงตัดสินใจมาทำงาน เป็นพนักงานที่ร้าน Starbucks ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดในปี 1982
หลังจากที่เขาทำงานได้ 1 ปี ก็มีโอกาสเดินทางไปยังเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เพื่อไปดูงานแสดงสินค้า
เขาได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ ในร้านคอฟฟีบาร์ ที่เน้นสกัดกาแฟออกมาอย่างรวดเร็ว จนเป็น “เอสเปรสโซ” อย่างที่เรารู้จักกัน
นอกจากนี้ ในคอฟฟีบาร์อิตาลี ยังเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ พบปะพูดคุย และดื่มกาแฟกันของชาวอิตาลีอีกด้วย และเขาสามารถพบเห็นคอฟฟีบาร์แบบนี้ได้ทั่วทุกมุมของเมืองมิลาน
หลังจากที่เขาได้ไปเห็น ในร้านคอฟฟีบาร์ที่อิตาลีแล้ว คุณ Schultz จึงนำไอเดียของการทำร้านกาแฟแบบอิตาลี ไปเสนอกับคุณ Baldwin และคุณ Bowker ที่เป็นเจ้าของร้าน
เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจร้าน Starbucks ที่กำลังขยายสาขาไปทั่วสหรัฐอเมริกา
แต่เจ้าของธุรกิจทั้งคู่กลับปฏิเสธ เพราะคิดว่าโมเดลธุรกิจทำกาแฟแบบดั้งเดิม ที่ขายเพียงแค่เมล็ดกาแฟนั้น ดำเนินกิจการไปได้ดีอยู่แล้ว
จนกระทั่งคุณ Schultz ได้ตัดสินใจลาออกจาก Starbucks ในเวลาต่อมา
ผ่านไปอีก 1 ปี ทาง Starbucks ก็ได้ประกาศขายกิจการ เนื่องจากทางร้านเริ่มประสบปัญหาในการควบคุมต้นทุน
2
คุณ Schultz ที่เคยทำงานกับ Starbucks และเคยเสนอไอเดียให้เจ้าของร้านมาก่อน แต่โดนปัดทิ้ง จึงไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ รีบเข้าไปคุยกับคุณ Jerry หนึ่งในผู้ก่อตั้ง จนสามารถตกลงราคากันได้
1
แต่ในการซื้อกิจการ คุณ Schultz ต้องเจออุปสรรคอีกอย่างก็คือ มีคนต้องการแย่งซื้อกิจการ Starbucks ไปในราคาที่สูงกว่า
คุณ Schultz จึงได้เข้าไปปรึกษาทนาย จนกระทั่งไปรู้จักกับคุณ Bill Gates Sr. ซึ่งเป็นคุณพ่อของคุณ Bill Gates
และได้รับความช่วยเหลือ จนกระทั่งสามารถซื้อกิจการ Starbucks ต่อจากคุณ Baldwin และคุณ Bowker ได้ในปี 1987
1
ตั้งแต่คุณ Schultz เข้ามาเป็นเจ้าของ Starbucks เขาก็ได้เริ่มนำไอเดียที่อยากทำมาใช้
ไม่ว่าจะเป็นการขายเมล็ดกาแฟ พร้อมทั้งนำแนวคิดของการเปิดเป็นร้านคาเฟ
โดยวางตัวเป็น บ้านหลังที่ 3 ต่อจาก บ้าน และที่ทำงาน
ให้คนมาพักผ่อน พูดคุย หรือทำงาน
นอกจากนี้ ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายสาขาของ Starbucks ออกไปนอกเมือง
อย่างชิคาโก และประเทศใกล้เคียงอย่างแคนาดา
จนกระทั่ง Starbucks ได้ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1992
ก้าวต่อมาของ Starbucks คือการขยายสาขาของร้าน Starbucks ออกไปในต่างประเทศทั่วโลก
1
ซึ่งสิ่งที่เป็นโจทย์สำคัญของการขยายสาขาไปในต่างประเทศไกล ๆ ก็คือ พฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งก็รวมถึงวัฒนธรรมการกิน
และการใช้ชีวิตของผู้คนในแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน
Starbucks จึงใช้กลยุทธ์ Localisation ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลัก
ที่ใช้ในการปรับรูปแบบร้านกาแฟของตัวเอง ให้เข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนในประเทศนั้น ๆ ให้มากที่สุด โดยที่ยังสามารถรักษาความเป็นแบรนด์ Starbucks เอาไว้ได้
ปี 1996 Starbucks ก็ใช้กลยุทธ์นี้ ออกไปทำตลาดที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นที่แรก โดยได้ร่วมทุนกันกับกลุ่ม Sazaby League กลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
ทำให้ Starbucks สามารถตีตลาดในประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
และไม่นาน Starbucks ก็ซื้อหุ้นจากพันธมิตรญี่ปุ่นทั้งหมด แล้วเข้าไปบริหารเองแบบ 100% และขยายสาขาออกไปในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกต่อ
เริ่มต้นจากทวีปเอเชีย ก่อนที่จะขยายสาขาไปในทวีปยุโรป
1
ซึ่งการปรับตัวเข้าหาท้องถิ่น ของร้าน Starbucks ก็ใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น
- ในญี่ปุ่น มีการออกแบบร้าน ให้มีหลังคาต่ำ และนิยมใช้ไม้ในการตกแต่งร้าน
โดยอ้างอิงจากรูปแบบสถาปัตยกรรมชินโต และจ้างดิไซเนอร์ประจำท้องถิ่นนั้น ๆ มาช่วยออกแบบ
และจะทำเมนูเครื่องดื่ม ในแก้วขนาดเล็ก และมีรสชาติหวานน้อยกว่า Starbucks ในสหรัฐอเมริกา
1
- ในจีน ต้องจัดร้านให้รองรับคนจีนที่นิยมทานอาหารเป็นกลุ่มใหญ่ โดยช่วงแรก Starbucks จะตีตลาดคนจีนด้วยการขายน้ำชาก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับคนจีน แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยขายกาแฟ
1
นอกจากนี้ ยังมีการนำสินค้าพิเศษที่ประยุกต์เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นจีน
เช่น ชาเขียวงาดำ ขนมไหว้พระจันทร์
- ในฝรั่งเศส ต้องบอกว่าคนฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารการกิน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ และวิธีการปรุงอาหาร ทำให้การเข้ามาตีตลาดของร้าน Starbucks ที่เน้นความรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากในช่วงแรก
Starbucks จึงได้แก้ปัญหาด้วยการนำเมนูอาหารที่มีชื่อเสียง จากท้องถิ่นในทวีปยุโรป เข้ามาขายร่วมด้วย เช่น Viennese Coffee กาแฟต้นตำรับจากออสเตรีย และแซนด์วิชฟัวกรา
1
- ประเทศซาอุดีอาระเบีย ต้องใช้โลโกแบบใหม่ โดยตัดให้เหลือแค่มงกุฎของนางเงือกกับคลื่น เนื่องจากโลโกนางเงือกแบบเดิมนั้น ได้ถูกตีความว่าส่อไปในทางอนาจาร
1
การ Localisation ของ Starbucks ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี
เห็นได้จากจำนวนสาขาในแต่ละประเทศ ในปี 2021
1
- ประเทศจีนมี 5,358 สาขา คิดเป็น 3.8 สาขา ต่อประชากรล้านคน
- ประเทศญี่ปุ่นมี 1,546 สาขา คิดเป็น 12.4 สาขา ต่อประชากรล้านคน
- ประเทศซาอุดีอาระเบียมี 347 สาขา คิดเป็น 9 สาขา ต่อประชากรล้านคน
- ประเทศฝรั่งเศสมี 187 สาขา คิดเป็น 2.8 สาขา ต่อประชากรล้านคน
สำหรับ Starbucks ในประเทศไทย ได้เปิดสาขาแรกในปี 1998 ที่เซ็นทรัลชิดลม
ปัจจุบันบริหารโดยกลุ่ม TCC ของเจ้าสัวเจริญ ซึ่งมีสาขาราว 429 สาขา
คิดเป็น 6.2 สาขา ต่อประชากรล้านคน
1
สำหรับ Starbucks ในประเทศไทย ก็ได้มีการผลิตสินค้าต่าง ๆ จำหน่ายในร้านอย่าง
เมล็ดกาแฟแบรนด์ม่วนใจ๋ เบลนด์ ซึ่งปลูกที่ภาคเหนือ
และออกแบบให้มีลวดลายเบญจรงค์ บนแก้วกาแฟ Starbucks
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การปรับแบรนด์ให้เข้ากับท้องถิ่นของ Starbucks ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จเสมอไป เพราะบางพื้นที่ก็มีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว จนตีแตกได้ยากมาก
ตัวอย่างเช่น
- เวียดนาม ที่มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟเฉพาะตัว อย่างเช่น กาแฟดำใส่ไข่แดง และกาแฟดำใส่นมข้น
และคนเวียดนามยังชื่นชอบเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสตา มากกว่าสายพันธุ์อะราบิกา
2
- อินเดีย ที่นิยมการดื่มชามากกว่ากาแฟ ดังนั้นการที่ Starbucks จะเจาะตลาดอินเดียได้
ก็ต้องร่วมทุนกับบริษัทรายใหญ่ของอินเดียอย่าง TATA Group ที่เข้าใจพฤติกรรมของคนอินเดียเป็นอย่างดี
2
- Starbucks ยังเคยประสบความล้มเหลว ในการเปิดสาขาที่ประเทศออสเตรเลีย จนต้องปิดตัวลงหลายสาขาในปี 2008 เพราะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ไม่ดีพอ
ต่อมาในปี 2017 ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับ Starbucks สำหรับการเปิดสาขาแรก
ในประเทศที่เคยเป็นต้นแบบของ Starbucks ทั่วโลกอย่าง “อิตาลี”
เพราะชาวอิตาลี จะนิยมให้เวลาตัวเองในการพักดื่มกาแฟ เพื่อพบปะ และพูดคุยกัน
คล้าย ๆ กับชาวออสเตรเลีย ซึ่งการดื่มกาแฟของชาวอิตาลี ถือเป็นบรรทัดฐานทางสังคมอย่างหนึ่ง
1
โดยการเปิดร้านกาแฟ Starbucks ที่อิตาลี ร้านจะต้องใหญ่ หรูหรา และแตกต่างจากร้านกาแฟคู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า
1
เมล็ดกาแฟที่ใช้จะต้องมีความพรีเมียม และต้องมีเมนูที่หลากหลาย เพื่อให้ชาวอิตาลีได้สัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ดีที่สุด
เพื่อให้สามารถตีตลาดกาแฟอิตาลี และแข่งขันกับเชนร้านกาแฟอื่น ๆ ที่ครองใจชาวอิตาลีมานาน
อย่าง Lavazza, illycaffè และ Segafredo Zanetti
ซึ่งจากปี 2017 ที่เปิดสาขาแรกจนถึงปีที่ผ่านมา
Starbucks มีแค่ 11 สาขา ในอิตาลีเท่านั้น
สะท้อนว่า ตลาดร้านกาแฟอิตาลี ที่เป็นต้นกำเนิดไอเดียของ Starbucks ก็ดูจะเป็นงานที่ยากไม่น้อย ที่จะตีตลาดให้แตกได้..
ซึ่งการตีตลาดอิตาลีลำบาก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ Starbucks ต้องทำการบ้านต่อไป
แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า Starbucks ประสบความสำเร็จจริง ๆ
ก็คือการทำเชนร้านกาแฟคุณภาพดี ให้คนดื่มกันทั่วทุกมุมโลก
1
จนมีมากกว่า 33,000 สาขาทั่วโลกไปแล้ว ในทุกวันนี้..
1
References
-รายงานเรื่อง “Localisation ปรับตัวสู่ท้องถิ่น กลยุทธ์สุดฮิต ธุรกิจไทยบุกตลาดจีนที่ไม่ควรมองข้าม”
มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
โฆษณา