25 ต.ค. 2022 เวลา 07:21 • การศึกษา

ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ประเพณีของดีอีสาน

ฮีตสิบสอง คือประเพณี12เดือนของชาวอีสานที่ต่างจากประเพณี12เดือนของภาคอื่นหลายประเพณี คลองสิบสี่ คือแนววิถีที่ควรที่ต้องปฏิบัติ 14ประการเปรียบได้ว่าเป็นกฎหมายที่ต้องทำตามอย่างเข้มงวดซึ่งมีทั้งพิธีของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ พระภิกษุสงฆ์และประชาชนทั่วไป
1
ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ เป็น ภูมิปัญญา มรดกอันล้ำค่าของปราชญ์อีสานที่ทุกคนควรศึกษาและทำความเข้าใจในพื้นฐานความ เชื่อคติเดิมชาวอีสานมากขึ้น เป็นส่วนที่ทำให้ชาวอีสานมีความสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอดเพราะมีการยึดมั่นที่ เปรียบเหมือนธรรมนูญชีวิตชาวอีสานตราบเท่าจนปัจจุบัน(บางส่วน) แต่ก็มีหลายแห่งที่ทิ้งฮีตเก่าคลองเดิม นำวัฒนธรรมต่างชาติมาโดยไม่พิจารณาทำให้สังคมส่วนนั้นมีความวุ่นวาย เกิดปัญหาหลายๆอย่างขึ้น
โดยฮีตสิบสองคลองสิบสี่นี้ จะประกอบไปด้วย ฮีต 12 ฮีต และคลอง 4ประเภท มี14 คลอง ได้แก่ ฮีต บุญเข้ากรรม(บุญเดือนอ้าย) ฮีต บุญคูณลาน เดือนยี่ ฮีต บุญข้าวจี่(เดือนสาม) อีต บุญเผวสหรือบุญมหาชาติ (เดือนสี่) ฮีต บุญสงกรานต์ (บุญเดือนห้า) ฮีตบุญบั้งไฟ (บุญเดือนหก) ฮีตบุญซำฮะ(บุญเดือนเจ็ด) ฮีตบุญเข้าพรรษา ฮีตบุญข้าวประดับดิน ฮีตบุญข้าวสาก ฮีตบุญออกพรรษา ฮีตบุญกฐิน ฮีตสิบสอง
ฮีตสิบสอง เป็นประเพณีการทำบุญที่มีประจำเดือนชาวอีสาน ประสมประสานระหว่างแนวคิดของพระพุทธเจ้า พราหมณ์และผี ก่อนที่ศาสนาพุทธเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะดินแดนอีสานนั้นประเพณีตามฮีตคลองเดือนต่างๆมีมานาน
สมัยก่อนจะเน้นพิธีทางของผีและพราหมณ์มากกว่าเพราะเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ วิญญาณ เปรตเทวดาอารักษ์ต่างๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีที่มองไม่เห็นตัวจะมีอิทธิพลต่อชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นพิธีกรรมส่วนใหญ่จึงวนเวียนอยู่กับเรื่องผีโดยมีพ่อกะจ้ำเป็นผู้นำทางพิธี เมื่อศาสนาเข้าสู่ไทยดินแดนอีสาน ความเชื่อและพิธีกรรมจึงได้เปลี่ยนไปบ้าง ได้นำพิธีกรรมทางศาสนาเข้าประสมประสาน มีพระสงฆ์องค์เจ้าเข้ามีส่วนร่วมมีพระเป็นผู้นำในบางพิธี แต่ส่วนใหญ่ยังมีปราชญ์หมู่บ้านเป็นผู้นำและจะเอนไปทางแนวพราหมณ์และผีมากกว่า
คลองสิบสี่ มีหลายประเภทแต่สามารถแบ่งประเภท ได้แก่คลองประเภทสอนผู้ปกครอง คลองประเภทสอนพระสงฆ์ คลองสอนประชาชนทั่วไปและสุดท้ายที่สำคัญคือคลองสอนคนทุกเพศ วัย ทุกฐานะ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีเพื่อขัดเกลาคอยบ่งชี้ให้ผู้คนต้องปฏิบัติตามทำให้สังคมอีสานมีความสงบสุข ร่มเย็นจึงนำเสนอความเป็นมา ความสำคัญต่างๆของ ฮีตสิบสองคลองสิบสี่เพื่อให้รับทราบข้อปฏิบัติต่างๆที่ทำให้คนในอดีตที่มี วิถีชีวิตที่อยู่ดีมีสุขและเป็นการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมชาวอีสานให้มีสืบ ไป
ฮีตบุญเข้ากรรม(บุญเดือนอ้าย) เป็นบุญที่ทำในเดือนอ้าย(เจียง) เดือนแรกของปีที่ชาวอีสานทำกันจนเป็นประเพณี ทำในวันข้างขึ้น/แรมก็ได้ เป็นบุญที่เกี่ยวกับพระโดยตรง มีความเชื่อว่าทำบุญร่วมกับพระแล้วจะได้อานิสงส์มาก จึงมีการทำบุญเข้ากรรมขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อให้พระต้องอาบัติสังฆาทิเลส นี้แล้วต้องทำพิธีเข้ากรรมที่เรียกอีกอย่างว่า
วุฏฐานพีธี คือระเบียบอันเป็นเครื่องออกจากอาบัติ ประกอบพิธีปริวาสมานัตต์ ปฏิกัสสนาและอัพภาน เป็นขั้นตอนการอยู่กรรมของพระที่ต้องจำกัดที่อยู่เพื่อทรมานร่างกายให้หาย จากกรรม เป็นการชำระจิตใจให้หายมัวหมองบางแห่งถือว่า เมื่อบวชแทนคุณมารดาได้จะต้องอยู่กรรมเพราะมารดาก็เคยอยู่กรรมเมื่อคลอดบุตร โดยเชื่อว่า มีพระรูปหนึ่งได้ต้องอาบัติเพียงเล็กน้อยที่เอามือไปทำใบตระไคร้น้ำขาดแล้ว ไม่ได้แสดงตนว่าต้องอาบัติเมื่อมรณะจึงเกิดเป็นนาค เพียงเพราะอาบัติที่เล็กน้อย ดังนั้นจึงมีพิธีการอยู่วาสกรรมเพื่อพ้นอาบัติ
โดยมีสถานที่เข้ากรรมที่เงียบสงบ มีกุฏิให้พักเพื่อเข้ากรรมคนเดียว โดยพระที่ต้องอาบัติแล้ว ต้องบอกพระสี่รูปให้รู้ว่าได้เวลาแล้วจึงเข้ากรรม ซึ่งตามวินัยมุขผู้เข้าต้องประพฤติมานัตต์ คือ นับราตรี ครบหกราตรี จึงสวดระงับอาบัติ อัพภาน ในระหว่างการเข้ากรรมต้องสารภาพความผิดต่อพระ 4 รูปเป็นผู้รับรู้ ส่วนการออกต้องมีพระ 20รูปให้อัพภาน พระผู้ออกจากกรรมแล้วถือว่าหมดมลทิณ เป็นผู้บริสุทธิ์
การรับภิกษุผู้ต้องอาบัติหนักได้ลงโทษ คืออยู่ปริวาสหรือมานัตต์ให้กลับเป็นพระบริสุทธิ์โดยพระสวดระงับอาบัติ ว่า อัพภาน ซึ่งทำให้หมดมลทิณ บริสุทธิ์ สำหรับชาวเข้ามาส่วนเกี่ยวข้องโดยเป็นผู้อุปถัมภ์ด้วยจตุปัจจัยแด่ภิกษุตลอดเวลาเข้ากรรมและวันออกจากกรรมต้องมีการทำบุญให้ทาน
ซึ่งปัจจุบันมีการทำบุญนี้พียงบางตำบลบางหมู่บ้านเท่านั้นที่ทำจริงๆจังๆแบบดั่งเดิม โดยมีคำบอกเล่าทางศาสนามีคำสอนของคนเฒ่าแก่ก็เน้นย้ำให้ลูกหลานได้จดจำไปปฏิบัติ คือพอถึงเดือนเจียง (เดือนอ้าย)ภิกษุสงฆ์จะต้องเตรียมพิธีเข้าปริวาสกรรม เพราะถือเป็นธรรมเนียมประเพณีมาแต่โบราณอย่าได้ทิ้ง หาไม่แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ด้วยคำสอนนี้ชาวอีสานจึงนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ฮีต บุญคูณลาน เดือนยี่ เป็น บุญที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ ในปัจจัยยังชีพของคน คือข้าวที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับลูกหลานในการที่จะได้ข้าวมานั้นยากลำบาก และถือว่าปีใดบุญลานมีข้าวเยอะแสดงว่าปีนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ดีและเป็นการ ทำให้เกิดสิริมงคลแก่ชาวบ้านและขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ผีปู่ตา ผีตาแฮก เจ้าแม่โพสพ ที่ประทานข้าวมาอย่างอุดมสมบูรณ์
เมื่อครั้งพุทธกาลมีหนุ่มสองพี่น้องทำนาที่เดียวกัน พอข้าวออกรวงน้องชวนพี่ทำข้าวมธุปายาสแต่พี่ไม่เห็นด้วยเลยแบ่งนากันทำ เมื่อทำนาคนเดียว ผู้น้องได้ทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นระยะตามเวลาของการเก็บเกี่ยวข้าวเป็นช่วงๆเก้าครั้ง ตั้งแต่ข้าวเป็นน้ำนมจนกระทั้งเก็บเกี่ยวใส่ยุ้งฉากโดยปรารถนาสำเร็จพระอรหันต์ในอนาคต พอถึงพุทธศาสนาสมณโคดม และเกิดได้ออกบวชสำเร็จพระอรหันเป็น อัญญาโกฑัญญะ ส่วนพี่ทำบุญครั้งเดียวตอนทำนาเสร็จ เกิดเป็น สุภัททปริพาชก สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอริยบุคคลองค์สุดท้ายในพุทธศาสนา
เนื่องจากอานิสงส์จากการทานข้าวน้อย เมื่อชาวบ้านทราบอานิสงส์จากการทำบุญนี้จึงนิยมทำบุญคูณลานต่อๆกันมา โดยการทำพิธีใช้บริเวณวัดเป็นลานข้าว โดยดายหญ้าออกแล้วใช้มูลควายผสมน้ำเทราด
ก่อนวันงานจะนำข้าวมารวมกันตามศรัทธา นิมนต์พระ9รูปจาก9วัดมาเจริญพุทธมนต์ที่ลานข้า เอาด้ายสายสิญจน์พันรอบฐานพระพุทธรูปและภาชนะใส่น้ำมนต์ผ่านพระ และรอบลานข้าวเมื่อเสร็จแล้วก็เทศฉลอง 1กัณฑ์ กลางคืนอาจมีมหรสพคบงัน ตอนเช้าถวายอาหาร พรมน้ำมนต์และนำน้ำไปรดที่นาตนเอง เชื่อว่าข้าวในนาจะงามไม่มี ศรัทตรูพืชรุกรานพร้อมกรวดน้ำอุทิศแก่ญาติผู้ร่วงลับตลอดเทพยาดาเมื่อได้รับ กุศลก็จะอวยพรให้ฝนตกตามฤดูกาลเมื่อเสร็จพิธีก็จะนำข้าวเก็บยุ้งฉากวัดหรือ ขาย
ฮีต บุญข้าวจี่(เดือนสาม)ข้าวจี่
เป็น ข้าวเหนี่ยวปั้นเท่าไข่เป็ดทาเกลือแล้วเสียบไม้ย่างไฟด้วยถ่าน ที่สุกเหลืองพอดีทาไข่แล้วย่างอีกครั้งบางแห่งนิยมใส่น้ำอ้อยดังคำโบราณว่า เดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้นข้าวจี่ ข้าวจี่บ่มีน้ำอ้อยจัวน้อยเช็ดน้ำตา
ซึ่ง การทำบุญข้าวจี่ในเดือนสามเป็นช่วงที่ชาวนาหมดภาระในการทำนาแล้วข้าวขึ้น ยุ้งฉางใหม่จึงอยากร่วมทำบุญถวายพระ โดยมีเรื่องเล่าว่า มีนางปุณทาสี ทำขนมปังจี่ ถวายองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอานนท์และคิดว่าพระองค์ไม่เสวย เอาให้สัตว์ต่างๆกินเมื่อพระองค์ทราบจึงได้เสวยทำให้นางปลื้มปรีติยิน
และได้ฟังเทศนาที่พระพุทธเจ้าสอนก็บรรลุโสดาปัตติผลด้วยอานิสงส์ถวายขนมปัง จี่ ทำให้ชาวอีสานเชื่อแล้วทำข้าวจี่ถวายพระสงฆ์ โดยสถานที่ทำพิธีแต่แห่งอาจไม่เหมือนกันซึ่งพอถึงเวลาชาวบ้านก็จะจัดทำข้าง จี่ตั้งแต่เช้ามืดจากบ้านแล้วนำไปรวมกันเพื่อถวายพระสงฆ์ แต่บางแห่งก็รวมกันนำข้าวและฟืนไปรวมกัน ทำข้าวจี่อยู่ที่วัดเพราะถือว่าร่วมกันทำบุญและสามัคคีมากขึ้น
และนิยมนิมนต์พระ7-9 รูปหรือตามความเหมาะสม ซึ่งการนัดทำบุญข้าวจี่เป็นวันใดก็ได้ในเดือนสาม ในหมู่บ้านจะมีการจัดเตรียมข้าวจี่แต่ย่ำรุ่งวันนั้นเพื่อให้สุกทันใส่บาตร ปกติจะใส่7-9ก้อนต่อครอบครัวนอกจากนี้ก็อาจนำข้าว เกรียบย่างไฟพองไปถวายพร้อมอาหารคาวหวานซึ่งถึงเวลาถวายจะมีการกล่าวคำถวาย ข้าวจี่แล้วนำไปใส่บาตรและถวายอาหารขอพรเป็นอันเสร็จพิธี
อีต บุญเผวสหรือบุญมหาชาติ (เดือนสี่)
เป็นบุญที่ทำเกี่ยวกับเรื่องพระเวสสันดรนิยมทำในเดือนสี่ ซึ่งก่อนจัดงานมีการประชุมจัดเตรียมอาหาร คาวหวานเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ และแขกผู้มาร่วมงาน
และปัจจัยไทยทานสำหรับใส่กัณฑ์เทศน์ ทางวัดก็มีการแบ่งหนังเป็นกัณฑ์มอบให้พระ ภิกษุสามเณรวัดต่างๆเตรียมไว้เทศน์
ซึ่งมีเรื่องเล่าในเรื่องมาลัยหมื่นมาลัยแสน ว่ามีพระมาลัยไปไหว้พระธาตเกษแก้วจุฬามณีสวรรค์ดาวดึงส์พบพระศรีอริยไตรย ได้สั่งกำพระมาลัยว่า ถ้าอยากพบพระองค์จงอย่าทำบาปหนัดชก เช่นการฆ่า ข่มเหงบิดามารดา สมณพราหมณ์ณาจารย์ ทำร้ายพุทธเจ้าและยุยลพระแตกกันให้ ฟังเรื่องรวพระเวสสันดรชาดกให้จบในวัน
เดียวและนำไปปฏิบัติ เมื่อพระมาลัยกลับมาถึงโลกมนุษย์จึงได้บอกให้ทาบทั่วกันผู้ปราถรถนาเช่นว่านี้จึงพากันทำบุญเผวสสืบต่อกันมมา
โดยเป็นบุญเกี่ยวกับศาสนาโดยตรงสถานประกอบพิธีจึงอยู่ที่วัดส่วนใหญ่ การเทศน์บางครั้งก็นำไปเทศน์ในงานอุทิศกุศลต่างๆก็มี แต่งานบุญเผวสจริงๆจะต้องทำในบริเวณวัดเท่านั้น และมีพระครบจำนวนกัณฑ์เทศน์อาจมีพระถึง 30-60รูปหรืออาจหมุนเวียนกันก็ได้ โดยก่อนมีงานบุญนี้ชาวจะไปรวมกันที่วัดจัดสถานที่ ที่พัก ตกแต่งดอกไม้ในศาลา พวงมาลัย ธงทิว มีการทำหมากพันคำ เมี่ยงพันคำ เทียนธูป มีดดาบ อย่างละพันและข้าวตอกดอกไม้ไว้บูชาคาถาพัน ประกอบด้วย ดอกบัว กางของ ผักตบชวาอย่างละพันดอกธงพันผืนกระดาษสี
ขึงด้ายสายสิญจน์ ตั้งหม้อน้ำมนต์ ขันหมากเบ็งแปดอัน โอ่งน้ำ4 โอ่งตั้งสี่มุมธรรมาสน์ในโองมีจอกแหน ดอกไม้ชนิดต่างๆและใบบัวปั้นรูปสัตว์ต่างไว้ใต้ธรรมาสน์ใหญ่8อัน ปักรอบธรรมาสน์นอกศาลาทั้งแปดทิศเพื่อหมายเขตปลอดภัยป้องกันมารทั้งหลาย ตามเสามีที่ใส่ข้าวพันกองศาลามีหอพระอุปคต คือ บาตรกระโถน กาน้ำ ร่ม สบงจีวร ถวายพระอุปคต ที่ต้องจัดก่อนวันงาน โดยวันโฮม หรือวันรวมนออกจากจะเพื่อนบ้านมาร่วมงาน มีพิธีสำคัญ 2 อย่าง การนิมนตต์พระอุปคต
ในตอนเช้ามืดวันรวมประมาณสี่ห้านาฬิกาโดยการนำก้อนหินขนาดใหญ่สาม
ก้อนไปวางในวังน้ำหรือที่ใดก็ได้พอถึงเวลาก็แห่ดอกไม้ธูปเทียน ขันห้าขันแปดไปที่ก้อนหินวางอยู่ที่สมมุติว่าเป็นพระอุปคุต แล้วมีคนหยิบก้อนหินชูขึ้นถามว่าเป็นพระอุปคตหรือไม่ สองก้อนรับคำตอบว่าไม่ ก้อนสามตอบว่าใช่
จึงกล่าวราทนาอุปคตแล้วเชิญหินก้อนสามใส่พานพร้อมจุกปะทัดต่างๆ แห่แหนพระอุปคตอย่างครึกครื้นเข้ามายังวัดแล้วนำประดิษฐ์สถานที่ศาลาที่เตรียมไว้ การนิมนต์พระอุปคตมาบุญเพื่อสิริมงคลชัยเพื่อการจัดงานสำเร็จราบรื่น และการแห่เผวส จะทำตอนประมาณบ่ายสามเพื่ออัญเชิญพระเวสสันดรและพระนางมัทรีเข้าเมือง โดย
สมมติว่าอยู่ในป่า มีพระพุทธรูป พระภิกษุ 4 รูปขึ้นนั่งบนเสลี่ยงหามไปยังที่สมมติว่าพระเวสสันดรกับนางมทรีอยู่
แล้วอารธานาศีลห้าก่อนแห่พร้อมบายศรีพระเวสสันดรเข้าเมืองกับนางมัทรี และนิมนพระเทศน์กัณฑ์กระษัตริย์เสร็จแล้วเชิญเข้าเมือง ตอนค่ำให้พระสวดพุทธมนต์เสร็จและสวดบนธรรมาสน์ 4 ครั้งคือ อิติปิโส โพธิสัตว์ สวดชัย และเทศน์ พระมาลัยหมือนมาลัยแสนก่อนเทศเอาคาถาอุปคต 4 บท ปักข้างธรรมาสน์ เนอันเสร็จพิธีตอนค่ำ
จนกระทั่งประมาณ 3 -4 นาฬิกาชาวร้องแห่ข้าวพันก้อนไปถวายพระอุปคตที่วัดพร้อมวางตามธงเมื่อเสร็จพระสงฆ์ก็เทศน์สังกาสแล้วอาราธนาเทสมหาชาติ ตลอดทั้งวันตั้งแต่กัณฑ์เทศน์พร-นครกัณฑ์จบทุกกัณฑ์ก็ค่ำพอดีเสร็จแล้วก็จัดขันดอกไม้ธูปเทียนกล่าวคารวะพระรัตรนตรัยจบเป็นอันเสร็จพิธีบุญเผวส
ฮีต บุญสงกรานต์ (บุญเดือนห้า)
บุญมหาสงกรานต์หรือตรุษสงกรานต์ ของภาคอีสานกำหนดขึ้นในเดือนห้า มี3วัน ตั้งแต่13วันมหาสงกรานต์ 14 วันเนา 15 วัน สุดท้ายเป็นวันเถลิงศก ชาวอีสานถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ พิธีในแจ่ละท้องถิ่นอาจต่างกัน เหมือนกันก็คือการสรงน้ำพระพุทธ รูป
ซึ่งมีเรื่องเล่ากันมาว่า เศรษฐีผู้หนึ่ง กับภรรยามานานไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้นักเลงสุราที่มีบุตร2คน วันหนึ่งนักเลงได้กล่าวคำหยาบว่าเศรษฐีมีสมบัติมากไม่มีบุตรตายแล้วสมบัติก็ สูญเปล่าและว่าตนนั้นประเสริฐกว่า เมื่อได้ยินเช่นนั้นเศรษฐีจึงทำการบวงสรวงขอบุตรต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ สามปีไม่ได้ผล จึงขอแก่ต้นไทรจึงได้บุตรชื่อว่า ธรรมบาล ผู้มีความฉลาดทุกเรื่องเกินความสามารถเด็ก7ขวบ
ต่อมามีบิลพรหมจากพรหมโลกได้ถามปัญหาโดยต่างให้ศรีษะเป็นประกันให้เวลาเจ็ด วันในการตอบปัญหา ว่า คนเราในวันหนึ่งๆเวลาเช้าศรีอยู่ไหน เวลาเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน เวลาเย็นศรีอยู่ที่ไหนจนกระที่วันที่ 6 ธรรมบาลยังตอบไม่ได้คิดกังวนใจเดินเข้าป่าและได้ยินนกอินทรีคุยกันจึงได้รู้ คำตอบว่า ยามเช้าศรีษะอยู่ที่หน้าคนจึงล้างหน้าในตอนเช้า กลางคืนอยู่ที่อกคนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่หน้าอก เวลาเย็นศรีสะอยู่ที่เท้าคนจึงล้างเท้า
เมื่อธรรมบาลตอบปัญหานี้ได้กบิลพรหมจึงตัดศรีสะตนโดยศรีษะนี้ถ้าตกพื้นเกิด ไฟไหม้ ทิ้งในอากาศจะทำให้เกิดฝนแล้ง ทิ้งลงมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง ดังนั้นธิดาจึงได้นำพานมารองและแห่รอบเขาพระสุเมรุ 1ชั่วโมง
การแห่ศรีษะนี้จึงทำให้เกิดพิธีตรุษสงกรานต์ขึ้นทุกปีและถือเป็นประเพณีขึ้นปี ใหม่ของชาวไทยโบราณจะมีพิธีการทำบุญตักบาตร ตอนบ่ายก็จะทำน้ำอบ หอมดอกไม้ธูปเทียนไปรวมกันที่วัด แล้วทำพิธีสรงน้ำพระแล้วนำน้ำที่ได้จากการสรงพระนั้นไปพรมหัวลูกหลานสัตว์ เลี้ยงเพื่อความอยู่ดีมีสุขตามความเชื่อนอกจากนี้แล้วก็มีพิธีการสรงน้ำ ภิกษุสามเณร รดน้ำดำหัวคนเฒ่าคนแก่ เพื่อแสดงความเคารพและขอพร วันที่14ก็จะเป็นวันหยุดที่ทุกคนต้องมาร่วมกันเล่นน้ำ
การนำธงไปแห่และแขวนเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเป็นเครื่องหมายของชัยชนะ วันที่15มี การขนทรายเข้าวัดเพื่อต่ออายุชีวิตในการทำลูกเจดีย์รอบๆฐานเจดีย์และนึกถึง พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แปปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์และก็จะทำพิธีบวชพระสงฆ์ 5รูปมาสวดพุทธมนต์และบวชองค์พระเจดีย์ทราย ซึ่งการก่อเจดีย์จะได้บุญตามความเชื่อแล้วยังทำให้พื้นที่ตรงนั้นของวัดสูงขึ้นอีกด้วย
ฮีต บุญบั้งไฟ(บุญเดือนหก)
บุญ บั้งไฟมีความสำคัญต่อชาวอีสานมาก เพราะเชื่อว่าบุญประเพณีนี้จะทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของฟ้าฝนข้าวปลาอาหาร พืชพรรณเจริญเติบโตงอกงามดีและนำมาซึ่งความสนุกสนาน เกิดความหวังในชีวิต เหมือนมีที่พึ่ง อยู่ใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเชื่อมาจากเรื่องพญาแถน(เทวดาชาวอีสาน)ที่ดลบันดาลให้ความอุดม สมบูรณ์จึงมีการทำบุญบูชาพระญาแถน และบูชามเหศักดิ์หลักเมืองทุกปี เพราเชื่อว่าหากไม่ทำจะทำให้ฝนตกไม่ตามฤดูการ เกิดโรคระบาดต่างๆ ได้
พรรณปพร บุญกว้าง
โฆษณา