[รีวิวอัลบั้ม] Being Funny In a Foreign Language - The 1975
สนุกกับภาษาเดิม
[รีวิวอัลบั้ม] Being Funny In a Foreign Language - The 1975
-ยอมใจในการหาทางลงได้แนบเนียนมากๆ หลังจากสองชุดที่ผ่านมาทั้ง A Brief Inquiry Into Online Relationships และ Notes On a Conditional Form ทำให้ผมเกิดความรู้สึกไม่น่าเชื่อ ไกลเกินฝันของวงอินดี้อัลเทอร์เนทีฟแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยความทะเยอทะยานผลักดันให้พวกเขาเป็นวงแห่งยุคสมัยดิจิตอลได้โดยปริยาย อีกใจนึงก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเกิดปัญหาของการติดหล่มทางไอเดียจนเลยเถิดเป็นความสะเปะสะปะหรือไม่? เพราะชุดที่ผ่านมา Notes เนี่ย เริ่มประสบปัญหาอย่างที่ว่านี้แล้ว
-อย่างไรก็ดีวงเลือกที่จะลิมิตตัวเองด้วยการไม่แวะไปทดลองโน่นนี่ หาวิธี approach คนฟังแบบ old school ด้วยจำนวนแทร็คที่ไม่มาก run time ที่ไม่ยืดยาว ไร้ซึ่ง interlude ตามมาตรฐานที่วงอื่นๆใช้กัน ในขณะเดียวกันเขาก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นความพิศวงให้ได้ฉงนสนเท่ห์กันเล่นๆ ขนาดชื่ออัลบั้มผมยังตีความไม่แตกเลยว่าต้องการสื่ออะไร ?
-จะให้นิยามความเป็น traditional ป็อปร็อคดั้งเดิม ก็คงบอกได้ไม่เต็มปากมากนัก ถ้าผู้ใหญ่รุ่นน้ารุ่นอาได้บังเอิญเข้ามาฟังอัลบั้มนี้อาจเกิดความรู้สึกอิหยังวะ เพราะนี่อาจจะไม่ใช่เพลงที่คนรุ่นเขาได้ยินมาแน่ๆ
Marty Healy & Jack Antonoff
-การเลือกโปรดิวซ์เซอร์สายเนิร์ด Jack Antonoff มาเสริมทัพเหมือนได้คนที่คุยภาษาเดียวกัน ซึ่งสาวกเพลงป็อปหรืออัลเทอเนทีฟคงไม่มีใครไม่รู้จักแกแล้วละมั้ง เพราะแกคือคีย์แมนคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังศิลปินแถวหน้าในยุคนี้แทนที่ Max Martin จนแนวเพลงป็อปกับอัลเทอร์แทบจะเป็นเส้นกั้นบางๆไปแล้ว ล่าสุดแกก็เป็น PD หลักให้อัลบั้ม Midnights ของเทย์เลอร์ด้วย เดือนเป็นเดือนของพี่แจ๊คจริงๆ
-ซิกเนเจอร์ที่ผมชอบมากๆจากเฮีย Jack มีอยู่สูตรนึงคือ element ของเครื่องสายออเครสต้าที่ถูกแต้มพู่กันบางๆลงในเพลง ผมมองว่ามันเลเยอร์ที่พิเศษกว่าบีทเครื่องเคาะ ซึ่งผมติดใจภาพจำเหล่านี้มาจากผลงานของ Lana Del Rey ชุด NFR, Chemtrail และ Clairo จากชุด Sling ถ้าคุณติดใจผลงานเหล่านั้น คุณน่าจะถูกโฉลกกับ Being Funny ได้ไม่ยาก และเป็นความหนักแน่นยิ่งกว่าด้วยการทำงานแบบ full band
-อีกอย่างผมไม่รู้ว่าเฮีย Jack แกมีเทคนิคอะไรที่ทำให้ศิลปินที่ร่วมงานด้วยรู้สึกสนิทสนมและไม่เคอะเขินที่จะปล่อยไหลความคิดสร้างสรรค์ในแบบที่ไม่เกร็งใส่กัน มวลรวมบรรยากาศของอัลบั้มนี้ก็ทำให้เราได้เห็นมุมสบายๆของพี่ Healy ในแบบที่ไม่อีโม ไม่อีโก้จัด มันเลยทำให้ Being Funny เหมือนอัลบั้มแตะเบรคที่พวกเขาหยุดที่จะเค้นไอเดียไต่บันไดในการทำเพลงที่ดีที่สุดแบบ Love It If We Made It หรือต้องขวนขวายขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมที่น่าสนใจอีกต่อไป
-พวกเขารู้ตัวเองว่าเหนื่อยมากกับการปลุกปั้น magnum opus (ศิลปะชิ้นเอก) แล้วเลือกหันมาแคปเจอร์ความรู้สึกใกล้ตัวด้วยรูปถ่ายโพลารอยด์แทน ผมเองก็สำนวนนี้มาจากสิ่งที่แมตตี้ให้สัมภาษณ์แล้วมาสื่อความในมุมมองของผมเนี่ยแหละ ซึ่งผมก็พอเข้าใจในการเปรียบเปรยแบบนี้เหมือนกัน ประหนึ่งแทนที่เราจะทำการเค้นความรู้สึกแล้วมาประดิษฐ์ประดอย ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นการถ่ายภาพเพื่อจับความรู้สึกแรกนั้นไปเลย
-ในเมื่อทุกคนรับรู้ด้านอาร์ตของพวกเขามามากพอตั้งแต่ชุดสอง การกลับมา back to basic ไม่ขอยัดอาร์ตใส่คนฟังในครั้งนี้ พวกเขายังมีมุมฉีกให้ได้เซอร์ไพรส์กันตั้งแต่แทร็คแรกที่เป็น Self-Titled Track ใครที่ตามฟังทุกผลงานเป็นอันทราบว่า แทร็คเปิดอัลบั้มพวกเขาให้นิยามการเช็คอินเพื่อบ่งบอกการ represent era ใหม่ในทุกอัลบั้ม
-หากไม่นับสุนทรพจน์ภาวะโลกร้อนของน้องเกรต้าในชุด Notes สำหรับ era นี้พวกเขาเลือกที่เปลี่ยน lyrics ใหม่ดั้งเดิมใหม่หมดเลย และเป็นการเปลี่ยนบริบทที่ดีซะด้วย พี่แมตตี้ขออัพเดทสารทุกข์สุขดิบในแบบที่ยังไม่ทิ้งลายพ่อหนุ่มติดโซเชี่ยลอยู่วันยังค่ำ มีประโยคนึงที่เป็น deep conversation ที่โคตรเห็นด้วยเลยในประเด็นที่ศิลปินมักขายความเจ็บปวดลงบนบทเพลง ซึ่งแฟนเพลงชอบ แต่พี่แมตตี้เริ่มไม่ชอบ เพราะแบกรับประสบการณ์เหล่านั้นไม่ไหวเหมือนกัน
You're makin' an aesthetic out of not doing well
And minin' all the bits of you you think you can sell Whilst the fans are on
-ในความชอบเล่นความย้อนแย้ง พวกเขาไม่ลืมที่จะเผยความในโดยไม่ต้องอ้อมค้อมในเพลง I’m in Love With You เพลงคลั่งรักผู้หญิงผิวสีที่พี่แมตตี้เคย In Relationship with อยู่ช่วงนึง (หลายคน assume ว่าเป็นแฟนเก่า FKA Twigs) ซึ่งเธอคนนั้นดันรู้สึกว่าพี่แมตตี้ไม่ค่อยเข้าใจคัลเจอร์ธรรมเนียมการปฏิบัติของคนดำมากเท่าที่ควร กรอบคัลเจอร์ช่างมันไว้ก่อนก็คนมันตกหลุมรักไปแล้ว เป็นเพลงที่ผมมองว่ากลั่นออกมาจากความรู้สึกแรกมากสุด และทำออกมาได้ใจฟูเสียจนอดที่จะร้องตามไม่ได้ แสดงถึงเซนส์ป็อปที่ยังแข็งแรงอยู่ด้วย
You show me your (You show me your)
Black girl thing (Black girl thing)
Pretendin' that I know what it is (I wasn't listening)
I apologise, you meet my eyes
Yeah, it's simple and it goes like this
I’m in Love With You - The 1975
-All I Need to Hear เป็นเพลงรักรส soul rock ที่หล่อมาก มันเป็นการประนีประนอมที่ช่างอ่อนโยนจริงใจซะเหลือเกิน แพ้ทางเพลงตั้งรับแบบนี้มากๆ เป็นความหนักแน่นเชิง gentleman ที่ฟังกี่ทีก็รัก Wintering เพลงที่ให้นิยามของการแคปเจอร์โมเมนต์ไว้ในภาพถ่ายโพลารอยด์มากที่สุด เพราะนี่คือ Christmas song ที่เป็นนิมิตรหมายของการกลับมารวมตัวกันของครอบครัวนั่นเอง
-สำหรับเพลง About You ภาคต่อ Robbers เอามาบีบอัดด้วยสุ้มเสียง shoegaze สากๆ แล้วเพิ่มเติมด้วยออเครสตร้า ฟังอินโทรก็รู้สึก hype อยู่ หลังจากนั้นคือเรียบๆ ไม่มีจุด lift up ใดๆมากมาย ฟีลเพลง Side-B มากๆ ทำมาเพื่อ tribute “With or Without You” แต่ก็ไม่รู้สึกเป็นเพลงดูเอ็ทคู่ชูโรงของวงขนาดนั้น เกือบติด Top Track แต่ก็ต้องขอโทษมิตรรักเดอะหนึ่งเก้าเจ็ดห้าจริงๆ
-Part of the Band ซิงเกิ้ลแรกที่อยู่ในรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านจากวงชอบทดลองไปเป็นวงที่คุยด้วยภาษาสามัญ ปล่อยมาตอนแรกๆนี่รู้สึกอิหยังวะอีกล่ะ โฟล์คซองสวิงสวายด้วยเครื่องสายไวโอลิน ท่อนฮุกที่ไม่ตายตัว weird มาก และ poem ที่พี่แมตตี้เองพร่ำร้องด้วยสัญชาตญานดิบล้วนๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ออกมายอมรับแบบงงๆว่า กูก็ไม่รู้ว่าเพลงนี้สื่อความอะไร อ้าว !
-นั่นแหละครับมันคือเพลงที่เข้านิยามความหมาย Being Funny In a Foreign Language มากที่สุด มันเต็มไปด้วยศัพท์แสลงแปลกๆ จินตนาการยากเสียจนผมก็ไม่อยากจินตนาการคิดตาม สุดแท้แล้วแต่จะตีความเลยครับ เพลงนี้ได้ Michelle Zauner (a.k.a Japanese Breakfast) มาร่วมขับขาน back up ร่วมกับด้วย
-Human Too เพลงที่ติดกลิ่นแอมเบี้ยน A Brief Into Online Relationship แต่มาในเวย์ที่ personal จัดๆสมชื่อเพลงเลย ประหนึ่งคนตั้งการ์ดหลังทัวร์ลง ความเจ็บปวดของคนสาธารณะที่เจอ cancel culture พลาดเมื่อไหร่เป็นอันติดมลทิน ผมก็มนุษย์คนนึงที่แสดงความเห็นผิดพลาดกันได้
-มีการหยิบยกกรณีที่มีดราม่าในเรื่องคอสตูมในเอ็มวีเพลง PEOPLE ที่เจ้าตัวสวมเสื้อกั๊กระเบิดพลีชีพ ซึ่งก็โยงกับเหตุการณ์ระเบิดหลังคอนเสิร์ต Ariana Grande ที่แมนเชสเตอร์บ้านเกิดของแมตตี้ด้วย เลยโดนด่าเรื่องการแสดงออกในเชิงไม่สำเหนียกตัวเอง แน่นอนว่าคนสาธารณะย่อมมีเรื่องในอดีตให้ขุดคุ้ยอยู่วันยังค่ำ ทันทีที่มีประเด็นข้อขัดแย้งใหม่ขึ้นมา ซึ่งบางทีมันก็ผ่านไปนานล่ะ ตัวศิลปินเองก็กลัวคนภายนอกมองเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน ทั้งๆทีพวกเขาเองก็เป็นมนุษย์เหมือนเดิม case by case ครับแบบนี้
I'm sorry about the bomb thing
That's overdue
I'm sorry that I quite liked seein' myself on the news
And I'm sorry that I'm someone that I wish I could change
Human Too - The 1975
-ปิดท้ายด้วย When We Are Together ที่เป็นอคลูสติคกีตาร์โปร่ง post-breakup ที่ reminisce ถึงความทรงจำร่วมกับอดีตรักที่แสนเรียบง่ายบ้านๆ แต่โคตรรู้สึก empty มากๆ เป็นเพลงสุดท้ายที่อัดก่อนจะวางแผนประกาศอัลบั้มด้วย เป็นการปิดท้ายอัลบั้มที่ไม่มีอะไรหวือหวา ส่งท้ายความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ธรรมดา ไม่เรียกร้องหรือเค้นอารมณ์อะไรมากจริงๆ
-จำได้ว่าตอนรีวิว Notes ผมก็ยังคาดเดาทิศทางของพวกเขาต่อจากนี้ไม่ได้จริงๆ แต่ผมเชื่อว่าคนที่ได้ตามวงนี้จริงๆคงไม่ยึดติดใน direction ทางใดทางนึงอยู่แล้ว ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านมู้ดแอนด์โทนจากดำทมิฬในชุดแรกมาเป็นป็อปอาร์ตชมพูนีออนในชุดสองก็นับว่ากล้าและบ้าในระดับนึงแล้ว การเอากรอบไฟทิ้งไปสู่จุดที่เป็นธาตุอากาศดุจไฟล์ดิจิตอลในชุด A Brief และ Notes ก็ตอกย้ำแก่นอุดมการณ์ของวงได้อย่างนึงคือ พวกเขาเป็นวงที่พร้อมจะเปลี่ยนแนวทางไปเรื่อยตามใจชอบ แต่มีสูตรลับของการรักษาเอกลักษณ์ได้อย่างแนบเนียนที่สุดวงนึง
-อย่างผมบอกไปข้างต้นเกี่ยวกับการไม่พยายามทำ magnum opus แต่เลือกที่จะถ่ายรูปโพลาลอยด์จับทางความรู้สึกแรกแทน ซึ่งมันได้ผลเว้ยเห้ยในแง่การดึงความสดใหม่ในการถ่ายทอดจริงๆ ขนาดเพลง Part of The Band พี่แกยังขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณดิบล้วนๆเลย และการพลิกบริบทในเนื้อเพลงให้ย้อนแย้งสวนทางกับ vibe เพลงในแบบที่จะไม่ให้รู้สึกฉงนสนเท่ห์ได้ไง เห็นอาร์ตไดเรคชั่นไปทางขาวดำเรียบง่าย แต่แม่งไม่ใช่เลย