30 ต.ค. 2022 เวลา 14:07 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
ตอนที่ 83 กฎอัยการศึก
เมื่อลุงไข่ได้โทรหาตำรวจที่มาจากระนองเพื่อที่จะสืบเรื่องของผมแล้ว
จากนั้นไม่นานก็มีรถยนต์ของตำรวจของพวกนั้นก็มาถึงบ้านของลุงไข่ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้นยกใต้ถุนสูงอยู่ในสวนยางพาราขนาดใหญ่ของอำเภอคีรีรัฐนิคม
“สวัสดีครับ กินข้าวกินน้ำมาหรือยังครับ ถ้ายังไม่ได้กินก็มากินที่บ้านผมก่อนก็ได้เพราะดูท่าว่าเราต้องมีเรื่องที่ต้องคุยกันนาน” เสียงลุงไข่เรียกตำรวจทั้งสองคนนั้นอย่างอารมณ์ดี
จากนั้นลุงไข่ก็เชิญตำรวจทั้งสองคนเข้ามานั่งที่โต๊ะหินอ่อนที่ใต้ถุนบ้าน
“กินมาเรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่ลุงเคยอยู่ในหมู่บ้านอินทนิลขวางเหรอ” ตำรวจเข้าประเด็นทันทีเมื่อนั่งลงบนโต๊ะหินอ่อนของลุงไข่
“ใช่ครับ ผมนี่เข้าไปรุ่นแรกๆเลย พอดีลูกเขยผมเข้าไปทำกินก่อน ผมเห็นว่าพื้นที่น่าสนใจก็เลยตามเข้าไปอยู่ด้วยกัน” ลุงไข่อธิบายพลางรินน้ำใส่แก้วให้ตำรวจทั้งสองคน
“แล้วลุงได้ซื้อที่ดินจาก ทราย หรือเปล่า “ ตำรวจรวบรัดเข้าเรื่องทันทีโดยไม่ยอมดื่มน้ำจากแก้วที่ลุงไข่ส่งให้
“ไม่หรอก ผมไม่ได้ซื้อที่ดินจากใครนะ แต่ลูกเขยผมน่ะเขาไปซื้อมาก่อน ผมเลยตามเข้าไปช่วยลูกเขยผมทำสวนในภายหลัง”ลุงไข่บอกกับตำรวจ
“แล้วลูกเขยของลุงไปซื้อมาจากใครล่ะ”ตำรวจถามต่อพลางจดคำพูดของลุงไข่ลงในสมุดจด
“ก็จากคนแถวๆนั้นแหละ ใครขายเขาก็ซื้อ แต่ผมก็ไม่เคยถามเขาหรอกว่าซื้อที่ดินมาจากใคร”ลุงไข่บอกกับตำรวจไป
“แล้วลุงเคยเห็นไร่กัญชาหรือเปล่าล่ะ”ตำรวจถามเจาะทันที
“เอ...ผมไปอยู่ในหมู่บ้านอินทนิลขวางมา 5 ปี ผมก็พอจะเห็นบ้างนะ”
ลุงไข่พยายามทบทวนความจำย้อนไปถึงตอนที่เข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวางในช่วงแรกๆ
“จริงเหรอลุง” ตำรวจออกอาการดีใจทันทีเมื่อมีคนยอมให้ข้อมูลของไร่กัญชาหลังจากที่พวกเขาใช้ความพยายามสืบข้อมูลมานานแต่ก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนยอมปริปากพูดเรื่องนี้ออกมาเลยสักคน
“อย่าเรียกว่าไร่กัญชาเลย มันก็มีประมาณต้นสองต้น เค้าก็ปลูกกันทุกบ้านแหละเอาไว้ใส่แกง”ลุงไข่รู้ดีว่าตำรวจต้องการอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรกันแน่จึงพูดแบบนั้นออกมา
“แล้วแบบที่ปลูกเยอะๆเป็นพันไร่แบบในภาพนี้ล่ะ”ตำรวจส่งภาพถ่ายที่มีกุ้งภรรยาของผมที่ถือปืน M16 และด้านหลังเป็นต้นกัญชาให้ลุงไข่ดู
จากนั้นลุงไข่จึงหยิบแว่นตาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาสวมแล้วก็เพ่งดูรูปภาพของตำรวจก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
“คุณตำรวจคิดว่าพื้นที่พันไร่นี่มันต้องกว้างขนาดไหนล่ะ ผมและชาวบ้านคนอื่นๆมีที่ดินในหมู่บ้านอินทนิลขวางไม่ถึงร้อยไร่เลย มันจะเป็นไปได้เรอะที่จะมีกัญชาเป็นพันไร่อยู่ในหมู่บ้านโดยที่ไม่มีใครเคยเห็น ถ้ามันมีไร่กัญชานับพันไร่ตามที่ข่าวทีวีออก คุณตำรวจน่าจะมีข้อมูลมาก่อนนี้แล้วไม่ใช่เหรอและที่สำคัญผมรู้จักผู้หญิงในภาพนี้และผมก็รู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วย
เพียงแต่รูปภาพที่คุณตำรวจให้ผมดูผมก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ” ลุงไข่พูดพร้อมถอดแว่นใส่กระเป๋าเสื้อไว้เหมือนเดิม
“แต่ไร่กัญชาในภาพนี้เป็นของคนชื่อทรายใช่มั้ย”
ตำรวจยังคงถามต่อ
“เฮ้อ ไร้สาระน่ะ บ้านหลังนี้เป็นของประเยาว์ ผมจำได้ดีเพราะตั้งแต่ที่ผมเข้าไปอยู่ในหมู่บ้าน ผมก็ไปนั่งคุยกับประเยาว์บ่อยๆ เขาเป็นคนสุราษฎร์บ้านเดียวกันกับผมนี่แหละ แต่ผมยืนยันได้ว่าไม่มีไร่กัญชาในหมู่บ้านแล้วแน่นอน เพราะตลอดเวลาที่ผมเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านผมไม่เคยเห็นต้นกัญชามากกว่า 3 ต้นเลย
ส่วนบ้านของทรายก็ไม่ใช่หลังนี้แน่นอน เพราะผมเป็นคนไปช่วยทรายปลูกบ้านเอง ถ้าคุณตำรวจไม่เชื่อจะไปถามใครก็ได้”ลุงไข่พูดกับตำรวจด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“แล้วบ้านของทรายมีอาวุธสงครามใช่มั้ย” ตำรวจเริ่มเปลี่ยนประเด็นเมื่อรู้ว่าเรื่องไร่กัญชาถึงทางตัน
“ก็ทรายเขารู้จักกับคนมาก บางคนก็เป็นตำรวจ ผมเห็นพวกตำรวจเข้าไปในหมู่บ้านมาเยี่ยมเขาบ่อยๆ บางครั้งปืนพวกนั้นก็เป็นของตำรวจที่ทรายเขาขอมาลองยิงเล่นตามประสาวัยรุ่นแหละ”ลุงไข่บอกกับตำรวจ
“แล้วทรายได้ข่มขู่ชาวบ้านบ้างมั้ย”ตำรวจยังคงไล่ประเด็นใหม่ไปเรื่อยๆ
“แล้วกันสิเอ้อ ทำไมคุณตำรวจคิดว่าเขาต้องมาข่มขู่ชาวบ้าน ล่ะ ผมว่ามันไม่มีเหตุผลเลยนะ
อีกอย่างผมจะบอกให้ ผมนี่เป็น อส.เก่า คุณตำรวจคิดว่าผมจะยอมให้เด็กรุ่นลูกมาข่มขู่ผมเชียวเหรอ
ผมจะบอกให้นะ ในหมู่บ้านอินทนิลขวางทรายคือคนที่มีอายุน้อยที่สุด และที่สำคัญ ทุกๆคนในหมู่บ้านก็มีปืนกันหมด ไม่มีใครเขายอมใครกันหรอก” ลุงไข่เริ่มพูดเสียงดังขึ้น
“แล้วการที่คุณตำรวจมาถามเรื่องในหมู่บ้านอินทนิลขวางถึงสุราษฎร์เนี่ย มาเพราะอะไรหรือใครสั่งมา”
ลุงไข่เริ่มเป็นฝ่ายถามตำรวจกลับบ้าง
“ผมก็มาตามหน้าที่ครับ” ตำรวจเริ่มรู้สึกอึดอัดเมื่อกลายเป็นฝ่ายถูกถามกลับบ้าง
“แล้วที่ผ่านมานอกจากไอ้ผู้การให้ข้อมูลคุณแล้ว ยังมีชาวบ้านคนอื่นๆให้ข้อมูลคุณบ้างอีกหรือเปล่า คิดกันบ้างสิ” ลุงไข่เริ่มเป็นฝ่ายถามรุกตำรวจบ้าง ซึ่งทางตำรวจนิ่งเฉยไม่ยอมตอบคำถามของลุงไข่
“ผมบอกได้เลยว่า นอกจากผมแล้ว คุณตำรวจจะไปสอบถามชาวบ้านคนอื่นๆอีกก็ได้นะ แต่ผมรับประกันได้เลยว่าไม่มีใครเขาจะให้ข้อมูลกับพวกคุณหรอก แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนกลัวทรายหรอก เด็กอายุแค่สามสิบมันจะมีปัญญาทำให้ใครเขาจะกลัวกันนักหนาเชียว หรือคุณตำรวจกลัว 5555”ลุงไข่ถามตำรวจไปหัวเราะไป
“แต่ทางเจ้าหน้าที่เขามีรูปถ่าย ผมเลยต้องมาหาข้อมูลนี่ไง”ตำรวจบอกกับลุงไข่ด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“อะไรกันแค่รูปถ่ายคุณก็เชื่อแล้ว 555” ลุงไข่หัวเราะออกมา
“คุณตำรวจไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมผมถึงโทรหาคุณตำรวจ ในขณะที่ชาวบ้านคนอื่นๆเขาหนีคุณตำรวจกันหมด”ลุงไข่ถามคำถามกับตำรวจทั้งสองนายทำให้ตำรวจทั้งสองมองหน้ากันเองเหมือนเพิ่งฉุกนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำอย่างไรทุกๆคนที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านอินทนิลขวางก็จะไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคน
คงมีแต่ลุงไข่นี่แหละที่เป็นฝ่ายโทรหาตำรวจเอง..!!!
“ผมแค่อยากจะบอกว่า คุณตำรวจเสียเวลาเปล่า มันไม่มีไร่กัญชา ไม่มีการหลอกขายที่ดินอะไรทั้งนั้น
พวกเราต่างหากที่ดั้นด้นไปขอร้องให้เขาขายที่ดินให้พวกเรากันเอง หากพวกเราถูกหลอกคุณตำรวจไม่ต้องถ่อมาถึงที่นี่หรอก พวกผมทั้งหมดคงรีบไปแจ้งความกันแน่นโรงพักไปนานแล้ว เพราะพวกชาวบ้านแต่ละคนสูญเสียกันไม่ใช่น้อย บางคนเสียรถ บางคนหมดตัว ดูอย่างน้องกรสิต้องนอนตายอยู่เดียวดายแม้แต่ศพก็ยังไม่ได้ออกมา”ลุงไข่พูดออกมายืดยาว
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่าหมู่บ้านอินทนิลขวางมันจะเป็นแผ่นดินไทยหรือแผ่นดินพม่า แต่ตลอดเวลา 5 ปีที่ผมเข้าไปอยู่ในหมู่บ้านนั้นมันทำให้ผมมีความสุข ซึ่งความสุขแบบนี้มันหาที่ไหนไม่ได้นอกจากหมู่บ้านอินทนิลขวาง ผมอธิบายไปคุณตำรวจก็คงไม่เข้าใจ “ลุงไข่พูดต่อ
“มีอะไรจะถามผมอีกมั้ยล่ะ”ลุงไข่ถามกับตำรวจทั้งสองนายเมื่อเห็นเขานิ่งเงียบ
“คงไม่มีแล้วล่ะเพราะผมถามไปก็ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กลับมา งั้นผมกลับก่อนล่ะ” ตำรวจทั้งสองนายบอกกับลุงไข่อย่างอารมณ์เสียที่เหมือนโดนหลอกมาถูกด่า
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งกลับ ผมบอกแล้วเรื่องนี้ต้องคุยกันยาวๆ ผมเตรียมที่นอนกับมุ้งไว้ให้แล้วนะ อยู่คุยกันก่อน”ลุงไข่บอกกับตำรวจทั้งสองนายก่อนที่เขาจะลุกเดินออกมาจากบ้านโดยที่ไม่สนใจลุงไข่ที่พยายามบอกตำรวจทั้งสองนายให้คุยกันต่อ
จากนั้นตำรวจทั้งสองจึงขับรถยนต์กลับออกมาจากบ้านลุงไข่ไป
เมื่อตำรวจทั้งสองคนขับรถยนต์ออกไปจากบ้านลุงไข่จนลับตาแล้ว
ลุงไข่จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาจ่าตี๋เพื่อบอกว่าตำรวจทั้งสองคนนั้นกลับออกไปแล้ว....
จากนั้นจ่าตี๋ก็โทรมาหาผมทันที
“พวกนั้นยังพยายามเล่นงานทรายไม่เลิก ยังไงก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะ”จ่าตี๋บอกกับผม
“เล่นไม่เลิกใช่มั๊ย เดี๋ยวผมจะเล่นให้หนักกว่าเดิม”ผมบอกกับจ่าตี๋ด้วยความโมโห
“เท่าที่พี่รู้ ทรายก็เล่นกลับจนอ่วมแล้วนะ ยังจะมีที่อ่วมกว่านี้อีกเหรอ”จ่าตี๋ถามกับผมด้วยความแปลกใจ
“มีครับ เอาให้สะดุ้งทั้งหมดนี่แหละ”ผมบอกกับจ่าตี๋ด้วยความมั่นใจ
“เอาๆ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ”จ่าตี๋บอกกับผมด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องกังวลครับ ผมรู้ดีว่าถ้าต่อยกับคนพวกนี้ไม่ต้องถึงกับน๊อคหรอก แค่ทำให้เขามีบาดแผลได้ผมก็ถือว่าผมชนะแล้ว”ผมบอกกับจ่าตี๋ไป
“ยังไงถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้ตลอดนะ พวกเราทุกคนยังเป็นเหมือนเดิม”จ่าตี๋บอกกับผมก่อนที่จะวางสายไป
สัปดาห์ต่อมาผมนำชาวบ้านเกือบร้อยคนไปฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนกฎอัยการศึกในจังหวัดระนอง
“ผมไม่มีทนายนะ แต่ผมก็จะฟ้อง”ผมบอกกับชาวบ้านที่เดินทางมาด้วยกันนับร้อยคน
“ทรายว่ายังไงพวกเราก็เอาด้วย”ชาวบ้านที่มาต่างบอกกับผม
“ผมอาจจะฟ้องไม่ชนะ แต่ก็อยากฟ้องเพราะไม่ได้เสียอะไร”ผมบอกกับชาวบ้านไปตามความจริงว่าที่ผมฟ้องเพราะผมต้องการกวนตีนพวกทหารกลับเท่านั้น
ซึ่งก่อนหน้านี้ผมทำคำฟ้องทั้งหมดให้กับชาวบ้านด้วยตนเองโดยที่ผมพยายามหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาร่างคำฟ้องเพราะสู้ค่าจ้างทนายไม่ไหว
“กูจะฟ้องให้มึงไม่เป็นอันได้ทำงานเลย”ผมบอกกับตัวเองก่อนที่จะเดินถือคำฟ้องเข้าไปยังศาลปกครอง....
#เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
โฆษณา