Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
NTP59
•
ติดตาม
1 พ.ย. 2022 เวลา 01:56 • การเมือง
กว่าจะได้เป็นผู้นำจีน (1)
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
หลังจากเขียนถึงสหภาพโซเวียตและรัสเซียครบ 5 ตอน ท่านผู้ใหญ่ผู้เป็นแฟนเปิดฟ้าส่องโลกมานาน 25 ปี ไลน์มาแจ้งว่า ท่านอยากให้เล่าถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนในมิติของผู้นำและการพัฒนา
ขอเรียนว่ายินดีครับ แต่การเขียนเรื่องจีน ถ้าไม่เริ่มที่เหมาเจ๋อตงก็คงไม่ครบองค์ประกอบ
เหมาเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ.1935 และอยู่ในอำนาจนานเกือบ 40 ปี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 9 กันยายน 1976
ก่อนตาย เหมามอบอำนาจให้ฮว่ากั๋วเฟิง
ทว่าในตอนนั้น จีนมีอีกกลุ่มอำนาจหนึ่งคือกลุ่มของนางเจียงชิง (แก๊ง 4 คน) จึงมีการดึงฮว่ากั๋วเฟิงมาร่วมกันจับกุมกลุ่มของนางเจียงชิงและยกเติ้งเสี่ยวผิงให้เป็นแกนนำของคณะผู้นำรุ่นใหม่ เติ้งจึงเป็นแกนนำคณะผู้นำรุ่นที่ 2
สมัยเหมา จีนเน้นการต่อสู้ทางชนชั้น แต่การต่อสู้ทางชนชั้นกลับทำลายพวกปัญญาชน ทำให้ขาดคนเก่ง สาธารณรัฐประชาชนจึงตกอยู่ในความยากจน อาหารการกินไม่พอ
1
คณะผู้นำรุ่นที่ 1 คิดถึงแต่เรื่องอุดมการณ์ สิ่งใดที่ผิดแผกแตกต่างไปจากแนวคิดของคอมมิวนิสต์แบบเดิม เหมาปฏิเสธเด็ดขาด ผู้นำรุ่นที่ 2 และ 3 จึงคิดถึงการเปลี่ยนแปลง
2
พอถึงประชุมสมัชชาสมัยที่ 12 ค.ศ.1982 พรรคฯ ซึ่งตอนนั้น มีสมาชิก 39 ล้านคน มีการเลือกคณะกรรมการกลางที่ต่างไปจากในอดีต คือไม่ได้เลือกพวกนักรบหรือนักปฏิวัติประชาชน แต่เลือกพวกที่มีความรู้ดีที่ส่วนใหญ่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี
เป้าหมายในตอนนั้นก็คือ ช่วง 20 ปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 (1981-2000) พรรคจะต้องทำให้จีนพ้นจากความอดอยากยากจน ต้องทำให้เศรษฐกิจขยายตัวด้วยยุทธศาสตร์ 2 ก้าว
2
ก้าวแรก ค.ศ.1981-1990 ปูพื้นฐานสั่งสมกำลังและสร้างเสริมเงื่อนไข
ก้าวที่ 2 ค.ศ.1991-2000 ขยายให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ตั้งสาธารณรัฐประชาชนสำเร็จเมื่อ ค.ศ.1949 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จีนเผชิญความเจ็บปวดอยู่หลายเรื่อง
1
เรื่องแรกก็คือการก้าวกระโดดใหญ่ (อย่างใจร้อน) ของเหมา และการปฏิวัติใหญ่วัฒนธรรม
ทั้งสองเรื่องเป็นผลมาจากความคิดบูชาตัวบุคคล การทำอย่างรีบเร่งทำให้จีนเกือบล้มคว่ำคะมำหงาย
จีนตั้งแต่ยุคของเติ้งเป็นต้นมาจึงไม่ทำอะไรผลีผลาม จะสร้างนโยบายอะไรต้องประชุมแล้วประชุมอีก ห้ามเผยแพร่ความคิดบูชาตัวบุคคล ไม่ยึดติดทฤษฎี แต่เน้นการปฏิบัติ
สมัชชาสมัยที่ 12 จึงมีการแก้ไขธรรมนูญพรรค ให้เลิกตำแหน่งประธานพรรค และให้สร้างตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคขึ้นมาแทน
คนที่เป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคนแรกคือหูเย่าปัง ส่วนเติ้ง (ผู้มีบารมีและทรงอำนาจของแท้) เป็นประธานคณะกรรมาธิการทหาร
เติ้งรู้ว่าอนาคตจีนจะต้องรับมือกับมหาอำนาจตะวันตก จึงต้องเตรียมรับมือโดยเปลี่ยนจากกองทัพชาวนามาเป็นกองทัพมืออาชีพ เพื่อจีนจะได้มีกองทัพที่ทันสมัยใช้ต่อสู้กับภัยคุกคามทั้งรูปแบบเดิมและแบบใหม่
1
เติ้งขัดแย้งกับเหมาและเสียอำนาจหลายครั้ง ที่กลับมาได้เพราะมีบารมีจากการที่เคยบัญชาการกองทัพแดงในระหว่างสงครามปฏิวัติเพื่อยึดอำนาจ
3
เติ้งรับเป็นประธานคณะกรรมาธิการทหารเพราะต้องควบคุมปากกระบอกปืนให้จงรักภักดีต่อพรรค
จนถึง ค.ศ.1992 เติ้งจึงเปิดทางให้เจียงเจ๋อหมิน ผู้นำรุ่นที่ 3 เจียงเป็นผู้นำ 2 สมัย 10 ปี ก็ส่งงานต่อให้ผู้นำรุ่นที่ 4 คือหูจิ่นเทา
ถึงแม้หูจะเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคแล้ว แต่ก็ยังต้องรอถึง 2 ปี กว่าจะได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการทหาร
1
หูเกษียณจากเลขาธิการใหญ่พรรคและประธานคณะกรรมาธิการทหารพร้อมกันเมื่อ ค.ศ.2012 ก็ส่งงานต่อให้ผู้นำรุ่นที่ 5 คือสีจิ้นผิง
สีเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคพร้อมตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการทหารตั้งแต่ ค.ศ.2012 จนถึงปัจจุบัน
1
จีนเปลี่ยนจากยึดทฤษฎีมาร์กซ์จ๋า มาเป็นสังคมนิยมทันสมัย ตั้งแต่ ค.ศ.1979 โดยใช้นโยบายปฏิรูป Four Modernizations หรือสี่ทันสมัย
(เกษตรกรรมทันสมัย อุตสาหกรรมทันสมัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันสมัย และการป้องกันประเทศทันสมัย)
1
ทว่าสมัยนั้นจีนยังยากจน หากปฏิรูปพร้อมกันทั้งสี่ด้าน ทรัพยากรของจีนไม่พอ
เติ้งจึงแนะนำให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจก่อน.
1
11 บันทึก
68
1
15
11
68
1
15
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย