3 พ.ย. 2022 เวลา 03:56 • กีฬา
รอนนี่ โอ ซุลลิแวน เป็นยอดสนุกเกอร์แห่งยุค ลงแข่งทีไรก็คว้าแชมป์เป็นว่าเล่น แต่ที่เขาลงแข่งไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะอยากทำเงินล้วนๆ เรื่องราวเป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
2
รอนนี่ โอ ซุลลิแวน คือหนึ่งในนักสนุกเกอร์ที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาล เขาเป็นเจ้าของแชมป์โลก 7 สมัย และปัจจุบันในวัย 46 ปี ยังมีร่างกายแข็งแรงพอ ที่จะคว้าแชมป์ต่อไปเรื่อยๆ สมัยที่ 8 9 และ 10
สถิติของรอนนี่นั้นน่าทึ่งมาก เขาเป็นผู้เล่นที่ทำแม็กซิมั่มเบรก 147 แต้ม ได้ถึง 15 ครั้ง ไม่มีนักสนุกเกอร์คนไหนในโลก ทำได้มากขนาดนี้ นอกจากนั้นยังมีพรสวรรค์ในระดับที่ใช้มือซ้ายแทงได้ด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองถนัดขวา
2
รอนนี่ เทิร์นโปรในปี 1992 แปลว่าเขาอยู่คู่วงการสอยคิวมาแล้ว 30 ปี นับว่าเป็นปูชนียบุคคลในวงการเลยทีเดียว
ตามปกติแล้ว เมื่อคนเราทำอะไรสักอย่างมายาวนานขนาดนี้ ก็มักจะมีพื้นฐานจากความรัก หรือ Passion ในสิ่งนั้น ช่วงแรกๆ รอนนี่ก็รู้สึกอย่างนั้น แต่พออยู่ในวงการไปนานๆ เข้า ความรู้สึกของเขาก็เปลี่ยนไป นั่นคือความรัก ความหลงใหล มันไม่มีแล้ว แต่ที่ยังทำอยู่ เพราะมันดันเป็นสิ่งที่เขา ทำได้ดีที่สุดแค่นั้นเอง
1
เมื่อเก่งในสิ่งไหนก็สามารถหาเงินจากมัน เพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงดูครอบครัวได้ เขาเล่นสนุกเกอร์เพื่อรายได้เป็นหลัก ไม่ได้หลงใหล อยากจะสร้างสถิติอะไรยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น
ถามว่าได้เงินเยอะขนาดไหน? ปีที่แล้ว รอนนี่ลงแข่งสนุกเกอร์ไป 16 รายการ ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่สิ้นปีก็ทำเงินไป 821,000 ปอนด์ (35 ล้านบาท) ถ้าให้เขาไปทำอย่างอื่น ก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะทำแล้วได้เงินมากขนาดนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อสนุกเกอร์มันทำเงินได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่เขาจะไม่ลงแข่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว รอนนี่ ลงแข่งขันรายการ นอร์ธเทิร์น ไอร์แลนด์ โอเพ่น และพลิกล็อกแพ้เดวิด เกรซ มือ 62 ของโลก ร่วงรอบสองไปแบบน่าตกใจ หลังจบเกม เขามาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแล้วบอกว่า ไม่ได้รู้สึกเจ็บใจอะไร เพราะเขาหมดความทะเยอทะยานไปตั้งนานแล้ว
5
"ผมมานั่งคิดดูว่า ถ้าย้อนกลับไปตอนผมเป็นเด็กแล้วผมเลือกอีกทีได้ ผมคงไม่เลือกสนุกเกอร์ ผมคงหันไปเล่นกอล์ฟมากกว่า ยังไงดี ผมไม่มีแพสชั่น หรือความกระหายอะไรสำหรับสนุกเกอร์อีกแล้ว ผมทุ่มเทให้มันในระดับที่ควรจะให้แค่นั้น"
2
"ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะเล่นเฉพาะรายการใหญ่ สัก 1 รายการต่อปีก็พอ ผมไม่อยากลงแข่งรายการเล็กๆ เลยด้วยซ้ำ"
"หลายๆ ครั้งเวลาผมแพ้ในการแข่งขัน ผมรู้สึกขอบคุณสวรรค์มาก เพราะมันจะทำให้ผมมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้"
4
"ผมมีกฎของตัวเองอยู่ คือเวลาแข่งขันจบแล้ว ผมก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้นเลย ใครจะวิเคราะห์ จะวิจารณ์อะไรก็ทำกันไป ผมไม่สนใจแล้วเอาเวลาไปกินข้าวดีกว่า"
7
"ในเรื่องเชิงจิตใจ เรื่องความกระหายใดๆ ผมหยุดความสนใจไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้ว ตอนนี้ผมแค่ทำเงินจากกีฬานี้เท่านั้น เพราะผมมีความสามารถในกีฬาชนิดนี้ มันคือสิ่งที่ผมทำได้ดี เมื่อมีเงินผมก็จะได้เอาไปทำอย่างอื่น การเล่นสนุกเกอร์ทำให้ผมมีความเป็นอิสระทางการเงิน"
3
"อาจจะมีบางวัน ที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกดีๆ อยากจะลงแข่ง แต่วันไหนถ้าผมไม่รู้สึกอยากแข่ง ก็ลงแข่งไปอย่างนั้นแหละ ผมไม่ได้แคร์อะไรขนาดนั้นอีกแล้ว"
2
"สำหรับผม การทำงานอะไรก็ตาม ไม่คู่ควรกับความเครียด และ ความยุ่งยากในชีวิตหรอก"
4
"เมื่อถึงโปรแกรมแข่ง ผมก็ลงแข่ง ตบให้ลงหลุมสัก 2-3 ครั้ง แล้วก็รับเงิน สำหรับผมสนุกเกอร์เป็นงานที่ผมไม่มีความรู้สึกอะไรด้วย ผมแค่ทำมันได้ดีแค่นั้น"
2
รอนนี่พูดถึงสนุกเกอร์ว่าเป็นจ๊อบหนึ่ง ไม่ต่างกับพนักงานออฟฟิศ มันก็เป็นอาชีพธรรมดา ที่เขาเอาไว้ใช้หาเงินแค่นั้น
สิ่งที่เขาพูด ขัดกับความรู้สึกของผู้คน ที่มองว่านักกีฬาต้องมี Passion มีความมุมานะ ทุ่มเทชีวิตยิ่งกว่าคนปกติ แต่รอนนี่ เขาไม่เอาสนุกเกอร์มาบั่นทอนชีวิต ชนะก็ชนะ แพ้ก็แพ้ จบการแข่งก็ไปทำอย่างอื่น
1
หลักการแบบรอนนี่ อาจจะดูแปลก แต่มีนักกีฬาหลายคนที่รู้สึกแบบนี้ ตัวอย่างเช่น อันเดร อากัสซี่ นักเทนนิสเจ้าของ 8 แกรนด์แสลมชาวสหรัฐฯ ความจริงคือเขาเกลียดการเล่นเทนนิสมาก แต่ที่ลงเล่นอยู่ เพราะมันดันเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด
1
พอทำได้ดีที่สุด ก็สามารถทำเงินได้ คือถ้าให้ไปประกอบอาชีพอื่น ก็ไม่รู้จะหาเงินได้มากขนาดนี้ไหม อากัสซี่ก็เลยต้องทนลงเล่นไปเรื่อยๆ จนรีไทร์จากอาชีพ แต่ก็สามารถทำได้เงินได้ 31 ล้านดอลลาร์ (1,170 ล้านบาท) อยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิต
หรือในวงการฟุตบอล เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ ฟูลแบ็กชาวแคเมอรูน ให้สัมภาษณ์ตอนย้ายจากสโมสรล็องส์ ในฝรั่งเศส มาเล่นให้สเปอร์สในอังกฤษ เขาบอกว่า มาเล่นในพรีเมียร์ลีกก็เพื่อเงิน
"ถ้าผมเล่นบอลกับเพื่อนในฝรั่งเศส ผมอาจรู้สึกสนุกนะ แต่เหตุผลที่ผมย้ายมาที่อังกฤษ ที่ผมไม่รู้จักใครเลยสักคน และพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ผมมาเพื่อทำงาน ผมมาถึงสนามซ้อมเวลา 10.30 น. ซ้อมให้เสร็จ แล้วกลับบ้านเวลา 13.00 น. ระหว่างซ้อม ผมก็ทำงานเต็มที่ แต่หลังจากนั้นผมไม่เล่นฟุตบอลนอกสนาม"
"ถ้าผมทำงานอย่างอื่น ผมคงได้เงิน 1,500 ยูโรต่อเดือน และพอผมเกษียณก็อาจซื้ออพาร์ทเมนต์ชานเมืองได้สักห้อง แต่กับฟุตบอลผมสามารถทำรายได้มากกว่านั้น ดังนั้นเวลาทำงาน ผมจึงทุ่มเทกับมันเต็มที่ ด้วยความเป็นมืออาชีพสูงสุด แต่พอเลิกงานผมก็เหมือนนักท่องเที่ยวในลอนดอนคนหนึ่ง ผมขึ้นรถใต้ดิน ไปกินข้าว แค่นั้น"
3
เราน่าจะเคยได้ยินว่า งานที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด คืองานที่เรารัก เพราะเราสามารถหลงใหลไปกับมัน และทำเงินได้เยอะไปพร้อมๆ กันด้วย อารมณ์ว่า "ถ้าคุณได้ทำงานที่รัก จะไม่รู้สึกว่าทำงานอีกตลอดชีวิต" อะไรทำนองนั้น
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนจะได้ทำงานที่ตัวเองหลงใหลแบบนั้น
1
บางคนอย่าง รอนนี่, อากัสซี่ หรือ อัสซู-เอก็อตโต้ รู้สึกเฉยๆ ในอาชีพที่ตัวเองทำ ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะทำได้ดี และมันทำเงินได้ จากนั้นเมื่อได้เงินก็เอาไปซื้อความสุขอย่างอื่นมาเติมเต็มให้ชีวิตเอา
สุดท้ายแล้ว เรื่องการทำงานนั้น มันไม่มีอะไรถูกผิดทั้งสิ้น หลักการใช้ชีวิตไม่มีอะไรตายตัว
1
ทำงานเพราะรักในสิ่งนั้น ทำงานเพราะไม่ได้รักแต่ดันทำได้ดี หรือ ทำงานเพราะมันหาเงินได้
2
จะแบบไหนก็แล้วแต่ มันไม่มีอะไรผิดถูกทั้งสิ้น หลักการใช้ชีวิตไม่มีอะไรตายตัว ขอเพียงแค่เมื่อเลือกจะทำอะไรสักอย่างแล้ว เป็นมืออาชีพกับมัน และรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง แค่นั้นก็น่ายกย่องมากแล้วจริงๆ
2
#BEPROFESSIONAL
โฆษณา