5 พ.ย. 2022 เวลา 13:27 • การ์ตูน
EP : 1,151
No Guns Life
หากพูดถึงสิ่งประดิษฐที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ “ปืน” เป็นอีกสิ่งประดิษฐที่มนุษย์สร้างสรรขึ้นที่ผมมองว่ามันอยู่ในข่าย “เปลี่ยนแปลงโลก” อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ในความเป็นจริงที่ว่า หลังจากการมีของสิ่งที่เรียกว่า “ปืน” เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้นั้น ความตายของสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นในทุกๆวัน เพิ่มขึ้นทั้ง ปริมาณ และความเร็วโดยสิ่งที่เรียกว่า “ปืน” นี้ไม่ใช่เหรอครับ
“ปืน” ได้เข้ามาเปลี่ยนเเปลงการรบและการฆ่าฟันระหว่างมนุษย์อย่างเรา หลังจากที่ยุคหนึ่ง ดาบ หรือ“เหล็กที่มีคม” ในการต่อสู้ได้ยืนหนึ่งในการเป็นอาวุธที่คอยสังหารคนทั่วโลก ซึ่งสิ่งมีคมเหล่านี้แม้จะสังหารคนไปมากมาย แต่มันก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
เพราะฉะนั้นในสมัยก่อน เราจึงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนการใช้อาวุธเหล่านี้อย่างยาวนาน และไม่ใช่ทุกคนที่ทุ่มเทเวลาไปกับการฝึกฝนการใช้แล้วจะประสบความสำเร็จหรือเก่งขึ้นมาได้ ด้วยเหตุที่ความสามารถในการเรียนรู้ที่ต่างกัน อาวุธมีคมถึงจะครองโลกแห่งการสังหารมาอย่างยาวนาน มันก็ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่าง “ปืน” ครับ
มันก็เหมือนตลกร้ายของมนุษย์เรานะครับ เพราะอาวุธที่เรียกว่า​“ปืน” นี้แม้ใครจะมองว่ามันมีไว้สำหรับ “ปกป้อง” ตนเองและผู้คนก็ตาม แต่จุดประสงค์หลักและสิ่งที่มันทำออกมา กลับกลายเป็นการ​ฆ่าล้างกันอย่างไม่เว้นแต่ละวัน ก็คงมีแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” เท่านั้นมั้งครับ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรในการสร้างอาวุธไว้คอยฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันเองแบบนี้
แต่ก็อย่างที่เกริ่นไปนั่นแหละครับ หน้าที่อย่างนึงของ “ปืน” แม้จะมีไว้ “ฆ่า” แต่มันก็มีหน้าที่ไว้ “ปกป้อง” ด้วยเช่นกัน ปืนจึงมีทั้ง 2 บทบาทควบคู่กันไปอยู่เสมอ และเพราะมันเป็นอาวุธที่ใกล้กับตัวมนุษย์เรามากที่สุดอย่างนึง มันจึงถูกหยิบมาเขียนเป็นมังงะอยู่บ่อยครั้งในหลายๆรูปแบบ และขอเข้าเรื่องเลยเเล้วกันนะครับ กับวันนี้ที่จะมารีวิวมังงะเกี่ยวกับ “ปืน” ในโลกแฟนตาซี กับแนวพล็อตเรื่องแบบ “after the war” ใน “No Guns Life” ครับ
… หลังจากสงครามครั้งใหญ่จบลง... เหล่า“เอ็กซ์เท็นด์” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของมนุษย์ที่ติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถของร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บริษัทเบลิวเรน พัฒนาขึ้นมาและสามารถใช้ยุติสงครามครั้งใหญ่ลงได้นี้ ก็ได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่ ด้วยความสามารถที่แตกต่างทางด้านกายภาพระหว่าง ผู้ติดตั้งและไม่ติดตั้งเอ็กซ์เท็นด์ ทำให้เกิดปัญหามากมายระหว่างคน2 กลุ่มนี้ และแม้แต่ในกลุ่มเอ็กซ์เท็นด์ กับ เอ็กซ์เท็นด์เองก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างมากมายเช่นกัน
เพราะเหตุนั้นเมื่อเกิดเหตุปะทะกันระหว่างเหล่าเอ็กซ์เท็นด์เองแล้ว มันจึงเกินความสามารถของคนปกติที่จะเข้าไปดูแลและจัดการ นั่นเลยเป็นช่องว่างให้ต้องมี “ผู้จัดการ” ที่จะสามารถดูแลเรื่องราวพวกนี้ได้ และหนึ่งในผู้จัดการที่ทุกคนรู้จักกันดีในที่แห่งนี้ นั่นก็คือ “จูโซ” เอ็กซ์เท็นด์รุ่นพิเศษที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวหลังสงครามที่เปลี่ยนโลกใบนี้ไปตลอดกาลใน “No Guns Life” ครับ
หากจะพูดถึงมังงะที่เกี่ยวกับ “ปืน” จากความทรงจำของผม มังงะที่เล่นเรื่องปืนได้ติดตาและติดอยู่ในหัวผมนั้น มันจะต้องมีเรื่อง “TRIGUN” อย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นมังงะในยุค 90 ที่เป็นเสมือนตัวแทนของเรื่องราวที่หยิบเรื่อง “ปืน” มาเล่าได้อย่างสนุก แฟนตาซี และ อลังการงานทำลายเอามากๆ
แต่ถ้ามองในยุคหลัง 90 เป็นต้นมา แม้จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับ “ปืน” ออกมาในตลาดมังงะอยู่เสมอ ตัวผมก็ยังไม่รู้สึกว่ามีเรื่องไหนนำเสนอภาพของ “ปืน” ได้น่าสนใจเป็นพิเศษ แม้หลายๆเรื่องผมจะสนุกไปกับมัน แต่การนำเสนอ “ปืน” ในแต่ละเรื่องนั้นมันอาจจะดูกลมกลืนหรือไม่ได้มีจุดเด่นอะไรพิเศษนัก
ใช่ครับ แม้ผมอาจจะพูดไม่ได้เต็มปากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า No Gun LIFE เป็นมังงะที่หยิบยก “ปืน” มาเล่าได้อย่างสนุก ด้วยการผสมทั้งความดราม่าที่มีความจริงจังอยู่ในเนื้อหา เข้ากับความแฟนตาซีของการนำเสนอที่สามารถสร้างสรรค์ไว้ได้อย่างน่าสนใจไม่น้อยภายใต้เรื่องราวที่สามารถใส่จิตนาการเข้าไปได้อย่างไม่ต้องคิดมากด้วยการใช้คำว่า “หลังสงคราม(after the war)”
นี่เป็นมังงะอีกเรื่องนึงที่ผมนิยามว่าเป็นแนว “After the War” ครับ ซึ่งผมว่าเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยการบอกว่าหลังสงครามนี้ เป็นการเริ่มต้นที่สะดวกให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า มันต้องมีอะไรเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนไป หลังจากสงครามในเรื่องนั้นๆอย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องนี้ สิ่งที่ใส่เข้ามาก็คือ “เทคโนโลยีการดัดแปลงร่างกาย” ซึ่งได้สร้างเหล่าตัวเอกของเรื่องที่เรียกว่า “เอ็กซ์เท็นด์” ตามที่เกริ่นไว้นั่นแหละครับ
ผมว่าด้วยการเปิดหัวด้วยคำว่าหลังสงครามในเรื่องนี้ มันช่วยให้ผมปรับตัวในการรับเรื่องราวต่อไปได้ดีนะครับ แม้ผมจะมองในหลายๆองค์ประกอบของเรื่องนี้ว่า จะเต็มไปด้วยอะไรที่ผมคุ้นเคยจากการอ่านมังงะมาหลายๆเรื่องก็ตาม
อันนี้เป็นความรู้สึกของผมนะครับ อาจจะเป็นการจ้องจับผิดตั้งแต่แรกอ่านหรือเปล่าไม่รู้ เพราะสิ่งที่เรื่องใส่มา ไม่ว่าจะเป็นเหล่าเอ็กซ์เท็นด์ ที่มีทั้งความคล้ายและความเหมือนเรื่องอื่นๆอยู่ไม่น้อย หรือการดำเนินเรื่องที่แม้ผมจะชอบ แต่ก็ยังเดินในสไตล์ที่คุ้นเคยเหมือนเดิม มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าไอเดียเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่หรือแตกต่างจากเรื่องอื่นเท่าไหร่ครับ
แต่มันก็สนุกนะครับเรื่องนี้ เพราะในความคุ้นเคยที่ว่านั้นเขาก็ยังนำเสนอและเล่าออกมาได้สนุกในแบบที่มังงะสไตล์แฟนตาซีแบบนี้ควรทำได้
สิ่งที่ผมชอบในการนำเสนอเรื่องนี้เเละผมมองว่าเข้าเน้นได้ดี คือการจับคู่กรณีใหญ่ของเรื่องคือ “บริษัท” กับผู้คนรวมถึงฝั่งผู้มีอำนาจของรัฐ ครับ ซึ่งปกติ เวลาเจอเรื่องแนวหลังสงครามทีไร เขามักจะนำเสนอให้เป็นเรื่องราวระหว่าง ประชาชน VS รัฐ ซะมากกว่า แต่การที่เรื่องนี้เลือกที่จะนำเสนอให้เป็นปัญหาของ “เอกชน” อย่างชัดเจนมันก็สร้างเรื่องราวให้มีมิติที่สอดคล้องกับสังคมในโลกของเราในทุกวันนี้ได้ดีไม่น้อยเลยครับ
รวมถึงประเด็นที่มาของเทคโนโลยีการดัดแปลงของเรื่องที่เมื่ออ่านจบ ผมมองว่ามันมีความดราม่าและสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์อยู่ไม่น้อย ดูสะเทือนใจและมีความสมเหตุสมผล สร้างน้ำหนักของเรื่องได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อผมอ่านจบและคิดย้อนกลับไปยังเรื่องราวก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกว่าเข้าใจในอะไรหลายๆอย่างมากขึ้นครับ
ในแง่ของการสร้างโลกของเหล่า “เอ็กซ์เท็นด์” ผมมองว่าเขาสร้างออกมาได้น่าสนใจไม่น้อย แม้มันไม่ถึงกับใหม่หมดหรือเปิดโลกของมังงะให้เราได้รู้จักในรูปแบบที่แตกต่าง แต่ในแง่มุมนี้นั้น มันก็ทำให้เรานักอ่านปรับตัวเข้ากับโลกของเหล่าเอ็กซ์เท็นด์ที่ได้เห็นนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราโฟกัสไปที่เนื้อหาและเรื่องราวที่กำลังเกิดขั้นกับตัวเอกของเรื่องกับการแก้ปัญหาเล็กและใหญ่ของเรื่องครับ
ตัวเรื่องวางเนื้อหาไว้ตามแนวทางที่ควรเป็นโดยวางการนำเสนอออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ครับ ส่วนแรกคือการเล่าถึงภารกิจของซูโจในฐานะนักจัดการที่ต้องรับงานการดูแลข้อพิพาทต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ ซึ่งในเนื้อหาส่วนนี้จะค่อยๆป้อนข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเขา และเพื่อนพ้องที่ต้องทำการสนับสนุนเขาทั้งก่อนและหลังทำงาน เราจะได้เห็นสภาพแวดล้อมของเมือง และของเขา นิสัยใจคอและการทำงาน รวมถึงการใส่ตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อเรื่องราวใหญ่ของเรื่องที่เขาจะต้องเข้าไปเคลียร์ครับ
ในแง่เนื้อหาส่วนนี้แม้จะมีบางตอนที่ผมรู้สึกว่ามันเดินช้าหรืออ่านแล้วไม่เร้าใจด้วยเรื่องมันทำออกมาง่ายสำหรับนักอ่านที่ยังไม่คุ้นชินกับงานแนวนี้ให้ตามเรื่องไปได้เรื่อยๆและค่อยๆรับข้อมูลแบบไม่เร่งรัดเกี่ยวกับตัวพระเอกเรา แต่ในแง่ของนักอ่านอย่างผม ผมก็ยังมองว่าองค์ประกอบอะไรหลายๆอย่างในเนื้อหาส่วนนี้ เขาใส่จังหวะเรื่องราวมาให้เรารู้ได้อย่างรวดเร็วครับ
ด้วยการเล่าเรื่องส่วนนี้ สลับกับเนื้อหาหรือจุดประสงค์หลักของเรื่อง มันก็ทำให้เรื่องดูไม่นิ่งหรือให้น้ำหนักกับส่วนนี้มากเกินไป เพราะหากเล่าเนื้อหาส่วนนี้มากไป นักอ่านอย่างผมจะมองว่าเรื่องนี้เป็นมังงะจบในตอนที่อ่านได้เรื่อยๆ แต่ไม่พีคอะไรนัก
เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวความชอบของผมแล้ว ผมจึงชอบเนื้อหาของสิ่งที่ต้องการเล่า “หลัก” ของเรื่อง ซึ่งเกี่ยวพันกับตัวเอกอีกคนที่โผล่เข้ามาในตอนแรกเลย ซึ่งในตอนแรกที่ได้อ่าน แม้ผมจะรู้สึกว่ามันเป็นมุกหรือสไตล์การเล่าที่หาอ่านได้ทั่วไปก็ตาม แต่หากมองไปถึงตอนจบของเรื่อง ก็ต้องบอกว่าการที่เขาใส่ตัวละครสำคัญนี้ไว้ตั้งแต่ตอนแรก เป็นการใส่ที่ถูกต้องในทางการนำเสนอแล้วแหละครับ
ด้วยเนื้อหาอีกส่วนที่มุ่งหาคำตอบในเรื่องราวหลักของเรื่อง ผูกเนื้อหาไว้ได้อย่างน่าสนใจด้วยดราม่าที่มองว่าหนักไม่น้อย และด้วยเนื้อหามีเวลาในการเล่าค่อนข้างเยอะ มันเลยทำให้ดูมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือในเรื่องราวที่แม้จะดูแฟนตาซีนี้ การหยิบความดราม่าที่ความซับซ้อนในระดับนี้เข้ามา ถือเป็นจุดที่ขับให้เรื่องราวและเนื้อหาออกมาดูน่าสนใจ อ่านสนุกและน่าติดตามครับ
ผมว่าคนที่หาเรื่องนี้มาอ่านส่วนใหญ่เลยคงเพราะสนใจในเรื่องภาพวาดและการนำเสนอตัวละครแนวแฟนตาซีเป็นสำคัญ ซึ่งผมก็เป็นคนในกลุ่มนั้นครับ ซึ่งต้องบอกว่าลายเส้นในเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ จะบอกว่าสวยก็คงได้ ตัวละครหลายๆตัวออกแบบมาได้ดูแล้วติดตาครับ ยิ่งเรื่องเป็นแนวต่อสู้แฟนตาซีแล้ว สิ่งที่เขาออกแบบมาหลายๆอย่างมันดูสนุก และตอบโจทย์นักอ่านอย่างผมอย่างมาก จนต้องบอกว่า ภาพวาดคือหัวใจหลักของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
แต่ก็ใช่ว่าในเรื่องลายเส้นมันจะโอเคไปหมดสำหรับผมนะครับ เพราะโดยส่วนตัวผมพบว่าปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ มีหลายๆฉากไม่สามารถทำออกมาให้เคลียร์ มองแล้วเข้าใจได้เลยว่ากำลังเล่าหรือนำเสนออะไร เรียกว่า งง ก็คงได้ในหลายๆฉาก มันเลยเป็นการเพิ่มเวลาในการต้องมานั่งคิดว่าภาพที่เห็นนี้มันเป็นภาพที่กำลังเล่าอะไร
ในขณะเดียวกันผมก็มีผิดหวังนิดหน่อย ที่ภาพวาดในซีนต่อสู้หรือซีนที่ขายความเท่หรือความอลังการของการต่อสู้ มันดูไม่สุด รู้สึกว่าความโดดเด่นมันน้อยไปกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่ดีไซน์และการวาดตัวละคร มันออกจะน่าสนใจอยู่แล้ว อันนี้เป็นความรู้สึกของผมเองนะครับ หลายๆคนอาจไม่รู้สึกแบบผมก็ได้ครับ
“No Guns Life” เรื่องและภาพโดย อ. Tasuku Marasuma ในไทย LC เป็นของ SIAM INTER COMICS ซึ่งได้ออกมาครบจบเรียบร้อยทั้ง 13 เล่มเมื่อไม่นานมานี้ใครสนใจก็ยังหาอ่านได้อยู่นะครับ
ในรอบหลายปี ผมว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องในสายแฟนตาซีที่สร้างโลกหลังสงครามและปืนออกมาได้น่าสนใจ เนื้อหามีความดราม่าที่เหมาะสม เล่าอะไรที่สัมพันธ์และไปในทางเดียวกับธีมหลังสงครามและเข้ากับปมหลักที่สร้างมาอย่าง “เอ็กซ์เท็นด์” ได้เป็นอย่างดี เป็นอีกเรื่องที่มีสร้างปม และเล่าเรื่องได้น่าสนใจ ถ้าใครชอบอะไรแบบนี้ เรื่องนี้ไม่ควรพลาดนะครับ
ภาพ 8.8/10
เรื่อง 8.8/10
ความประทับใจ 8.8/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #13เล่มจบ #SiamInterComics #การ์ตูนแนวหุ่นยนต์ #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวต่อสู้ #8คะแนน #NoGunLife #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #สยามอินเตอร์คอมมิค #การ์ตูนแนวหลังสงคราม #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
โฆษณา