6 พ.ย. 2022 เวลา 03:35 • นิยาย เรื่องสั้น
เมื่อถึงยามเหมันต์ ดอกพญาสัตบรรณ โรยกลิ่นอบอวลไปตามท้องถนนคอนกรีดที่พาดผ่านหมู่บ้าน ลอยฟุ้งเข้ามาในบ้าน ตามอาณาเขตที่ลมหนาวจะพัดพาไปถึง และโดยที่กลิ่นนั้นไม่เป็นที่ต้อนรับ แต่เกสรก็ยังลอยไปสร้างสัญลักษณ์ย้ำเตือนว่าวันคืนแห่งฤดูหนาวมาถึงแล้ว
ผมกำลังนั่งพับเพียบอยู่ข้าง ๆ คุณยายที่กำลังบ่นอุบว่าใบตองต้องเช็ดให้สะอาดทั้งด้านหน้าด้านหลัง เพราะของที่จะถวายแด่พระแม่คงคานั้น ต้องประณีตและหมดจดเพรียบพร้อม เพื่อตอบแทนบุญคุณของแม่น้ำที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่คลานยันเดิน ทั้งดื่ม อาบ ชำระ ชะล้าง ทุกอย่างที่แม่คงคาสร้างประโยชน์ให้นับเป็นบุญคุณทั้งสิ้น
"ไอ้กล้าเอ้ย ยายบอกกี่หนแล้วว่าอย่าหงายใบตอง มันจะเหี่ยวไว"
เทคนิคการถนอมใบตองจากดีกรีช่างทำบายศรีประจำหมู่บ้านของยายค้ำคอให้กระทงทุกอันที่ออกจากมือยายไปนั้นต้องสวยงามและสมราคาที่จะวางขายหน้างาน ดังนั้นใบตองเหี่ยว ๆ จะเอามาทำกระทงที่ยายวางขายไม่ได้ ยายสั่งผมแบบนี้เสมอ
งานลอยกระทงประจำปีที่จัดขึ้นในเดือนสิบสองตามจันทรคติ ทุกคนในหมู่บ้านร่วมแรงร่วมใจกันพยายามจัดงานออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ เพื่อเป็นชื่อเสียงให้หมู่บ้าน ที่คราคร่ำไปด้วยธุรกิจโฮมสเตย์ในตอนนี้ได้มีนักท่องเที่ยวมาจับจ่ายใช้เงินกันในช่วงเทศการ ยังให้ครอบครัวต่าง ๆ ที่เปิดธุระกิจโฮมเสตย์เลี้ยงตัวเองได้อย่างมีอยู่มีกินพอประมาณ และใช่…รวมถึงบ้านผมเช่นเดียวกัน
ยายตื่นแต่เช้า เดินถือมีดอีโต้เข้าไปในสวนที่รกชักไปด้วยต้นกล้วยเป็นสิบร้อย ฟันเอาใบกล้วยและต้นกล้วยในจำนวนที่จำเป็นกองไว้แถว ๆ นั้น และเมื่อยายกลับออกมายายจะบอกให้ผมไปหอบเอาซากหักพังของต้นกล้วยที่ยายจะใช้ออกมาให้ยายเพื่อทำกระทง
ด้วยกล้วยเป็นพืชที่อยู่ง่ายกินง่าย มีเพียงสารอาหารจากดินและน้ำที่เพียงพอมันก็สามารถขยายเหล่ากอของมันให้เปลี่ยนจากจำนวนหลักสิบให้กลายเป็นหลักร้อยได้เมื่อผ่านไปไม่กี่ปี เพราะอย่างนี้ยายเลยจับอาชีพทำบายศรีและขายใบตองเลี้ยงปากท้อง และส่งเสียลูกกำพร้าอยากผมให้ร่ำเรียนมาได้จนจบปริญญา
เมื่อจบมายายก็คิดถึงผมมาก…เกินกว่าจะปล่อยให้ผมต้องไประเห็ดระเหที่ไหน เพราะยายย้ำกะผมอยู่เสมอว่าเรามีกันอยู่สองคนเท่านั้น ยายเลยยืนกรานว่าต่อให้ไม่มีกินอย่างไรยายก็จะเลี้ยงผมเอง
"ข้าเลี้ยงของข้ามาตั้งแต่ยังเด็กทำไมข้าจะเลี้ยงเอ็งตอนโตไม่ได้"
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมได้กลับมาอยู่ที่บ้านและใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยยาวนานถึงสองปี ก่อนจะได้เห็นว่าหมู่บ้านเรานั้นอุดมไปด้วยธรรมชาติ วัฒนธรรมมากมายเพียงใด ท้องฟ้าสีครามที่ตัดกับทิวเทือกสีเขียวเข็มของสันเขาที่มองจากบ้านผม ให้ความรู้สึกสงบสบายอย่างหน้าประหลาด เป็นมุมโปรดที่ผมคิดว่าสวยงามที่สุดในโลก และคงดีไม่น้อยถ้าใครสักคนจากที่ไหนสักแห่งได้มาเห็นมุมนี้และสัมผัสได้ถึงลมเย็น ๆ อากาศเบาโปร่งเมื่อสูดหายใจเข้าเต็มปอดแรง ๆ เหมือนที่ผมได้รับ
เพราะงั้นผมเลยคิดว่าถ้านักท่องเที่ยวได้มาพักที่นี่ แล้วตื่นมาตอนเช้ามองออกไปจากระเบียงบ้าน นั่งห้อยขาลงที่ชานไม้ มีกาแฟหอมกรุ่น แล้วเหมอมองออกไปที่สีครามเขียวเข้มตัดกันนั้น คงจะมีความสุขน่าดู
ผมเลยขอยายว่าจะทำที่บ้านให้เป็นโฮมเสตย์เพื่อเป็นรายได้อีกทางหนึ่งมาเจือจุนครอบครัวที่มีเราเพียงสองคน
"เอาสิ…จะทำอะไรก็ทำ" ยายยื่นห่อเงินจำนวนหนึ่งมาให้ผม ข้างในมีแบ๊งค์ยี่สิบร้อยพันคละกันเต็มห่อ "เอาแค่เอ็งอยู่กะข้าจะทำอะไรก็ทำ…นี่ทุนรอนข้าเก็บไว้ให้เอ็งตั้งแต่พ่อแม่เอ็งตายรวมของข้าอีกนิดหน่อยเอ็งเอาไปจัดการไอ้อะไรนั่นของเอ็งก็แล้วกัน"
เงื่อนไขเดียวที่ยายต้องการถูร่างขึ้นจาง ๆ กลางอากาศ ผมส่งยิ้มประทับสัญญาข้อตกลงนั้นแล้วโผลเข้ากอดยายเต็มน้ำหนักจากร่างบาง ๆ ของผม
"โอ้ย ตัวไม่ใช้น้อย ๆ มากงมากอดข้าแบบนี้เดี๋ยวได้ล้มหัวร้างค้างแตกกันพอดี"
"หนูรักยายนะจ๊ะ"
"เออ…ไปไป๊ข้าจะนอนพรุ่งนี้ต้องตื่นใส่บาตร เดี๋ยวหลวงพ่อท่านจะผ่านไปก่อน"
ไม่นานหลังจากที่ผมได้เปลี่ยนห้องของแม่พ่อที่ไม่มีคนใช้ และห้องเก็นของที่วางอีกห้อง ให้กลายเป็นห้องนอนเหมือนกับห้องนอนเพื่อรับแขก และเลือกหาที่นอนที่มีคุณภาพสักหน่อยเผื่อแขกที่มาไม่ชินกับที่นอนแข็ง ๆ เหมือนผมและยาย จะได้นอนหลับเต็มอิ่มและออกมารับอากาศที่ดีในตอนเช้าได้อย่างเต้มที่
ลานดินด้านล่างผมก็เอาท่อนไม้ที่ตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ป้อม ๆ ขนาดเท่าเก้าอี้มาเรียงเป็นสองแถวแถวละสี่ตัวแต่ละตัวห่างกันประมาณครึ่งเมตร และระหว่างแถวทั้งสองนั้นผมเอาแผ่นไม้ยาวมาวางบนตอที่สูงกว่าเก้าอี้เพื่อทำเป็นโต๊ะ ให้นักท่องเที่ยวได้วางอาหารที่ซื้อหามาจากถนนคนเดินสุดสัปดาห์หรือตลาดในหมู่บ้านเพื่อตั้งวงกินดื่มและพูดคุยกันตามแต่อัธยาศัยของพวกเขาจะชวนทำอะไรในที่ตรงนั้น บ้างก็เอากีตาร์มาดีดตั้งวงร้องเพลงอครูสติกประกอบลมหนาว
บ้างก็เอาเตาถ่านมาตั้งบนนั้นและตั้งวงเนื้อย่างเกาหลีสู้แรงลม บ้างก็ถามผมว่าซื้ออาหารสดมาอยากทำอาหารเองพพอจะมีครัวให้ทำอาหารไหม ผมก็ผายมือเข้าไปในครัวหลังบ้านและขอร้องให้แขกทำตัวตามสบายราวกับอยู่ที่บ้านตัวเอง
ผมไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านั้นมันสนุกอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เวลาผมเห็นใบหน้าพวกเขายิ้มแย้มหัวเราะหัวใคร่ ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ที่โต๊ะ ธรรมดา ๆ ตัวนั้นช่างเป็นที่ที่พิเศษของใครหลาย ๆ คนในช่วงเวลาหนาวเหน็บเช่นนี้
เรื่องราวของโฮมสเตย์ของผมถูเล่าปากต่อปากไปเรื่อย ๆ ในนามของ "บ้านตองกล้วยโฮมสเตย์" ด้วยว่าบริเวณข้าง ๆ บ้านมีไร่กล้วยตานีอยู่นั่นเองที่ทำให้ยายเห็นดีเห็นงามด้วยว่าให้เรียกบ้านหลังนี้ด้วยชื่อนั้น
………
ผมเอาใบตองที่เช็ดเสร็จแล้วมาฉีกเป็นแผ่น ๆ แผ่นละสองนิ้วตามที่ยายสั่ง และในขณะที่ผมกำลังทำหน้าที่นั้นอยู่นั้น ยายการเอาใบตองมาทำเป็นกลีบแบบต่าง ๆ เพื่อประกอบขึ้นเป็นกระทงในรูปร่างต่าง ๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สามเหลี่ยม กลีบผกา กลีบกุหลาบ หัวขวาน หัวนกลายเปีย การเวก หรือตัวตขาบ กาบบัว ยายก็ทำได้หมด แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นผมเองก้ไม่สามารถทำอย่างยายได้เลย จนยายต้องบ่นให้จนหูชาว่าเป็นลูกหลานข้าแท้ ๆ แต่ไม่ได้ข้าเลยแม้แต้น้อย
ผมไม่รู้ได้เลยว่ายายเห็นอะไรในตัวผม หรืออาจจะแววตา หรืออาจจะเป็นท่าทางอะไรบางอย่าง แต่สิ่งที่ยายถามนั้น…
"ไอ้หนุ่มตี๋นั่นไปไหนซะล่ะ" ยายพูดขณะกำลังเอากลีบกระทงติดลงไปในต้นกล้วยหั่นแว่น
"เอ่อ…เขาคงยุ่ง ๆ น่ะจ่ะยาย" ยิ้มเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะกลบเกลื่อนความสงสัยของยายได้
ยายรู้เรื่องของเรามาตลอด ยายรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสำหรับยายเรื่องของผมอยู่ในความสนใจของท่านเสมอ แม้แต่…เรื่องความรัก
ผมเจอกับเขาเมื่อสองปีที่แล้วในงานลอยกระทง เขามาพักที่นี่แล้วบอกกับผมตรง ๆ ว่า น่ารักบ้าง ยิ้มสดใสบ้าง ต่าง ๆ นา ๆ แต่ใครเลยจะไปเชื่อคำเหล่านั้นของคนผ่านทาง แต่แล้วก็กลับมาของเขาในอีกหลาย ๆ เทศการ อย่างปีใหม่ ลอยกระทง สงกรานต์ ก็พาลทำให้ผมทึกทักเอาว่าผมเป็นคนพิเศษขึ้นมาบ้างในเพศสภาพที่ผมเป็น เราเลยติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ และบ่อยขึ้นทุกวันทุกวัน จนเขากลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปโดยปริยาย
และในวันหยุดยาวช่วงเข้าพรรษาของปีถัดมานั้นผมและเขาก็ลงเอยกันที่บ้านตองกล้วยหลังนี้ด้วยสถานะที่มากว่าคนรู้จักไปแล้วอย่างหลวมตัวจนถอนใจไม่ขึ้น
ในช่วงเวลาที่เรากำลังเดินเวียนปทักษิณาวาสรอบที่สามนั้น และเมื่อที่เรามายืนอยู่หน้าประตูโบสถ์ที่เมื่อมองผ่านประตูเข้าไปจะเห็นพระประธานที่ศักดิ์สิทธิ์สง่างามนั้น ในจังหวะเดียวกับที่เราไหว้พระขอพรจบคำอธิฐานในห้วงจิต ดวงตาของตี๋ก็จ้องมองผมอยู่แทบจะวินาทีต่อวินาที ก็ทำให้ผมอุณหภูมิบนใบหน้าของผมเพิ่มขึ้นได้ประมาณห้งองศาเซลเซียส
และเมื่อเราเดินไปวางช่อดอกไม้เล็ก ๆ อันประกอบขึ้นจากดอกดาวเรืองและใบเตยอย่างละสองสามอัน ที่โคนต้นไม้ประดู่เก่าแก่ที่สุดในวัด และปักเทียนลงกับดินบริเวณโคนไม้นั้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับลมเย็นจากที่ไหนสักที่โบยผ่านปะทะกรอบหน้าเรียว และกรอบหน้าคมของเราทั้งสอง ท่ามกลางแสงเทียนส้มทองที่วูบไหวเริงระบำเป็นสักขีพยาน ขับให้เงาของเราสองมาประสานซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียว เขาก็เผยความในของเขาออกมาให้ผมได้รู้…
"คบกันนะ…"
"ครับ…"
ในค่ำคืนที่ไม่สมควรนั้นผมก็ตกเป็นของเขาคนนั้น ที่นอนอยู่บนที่นอนเดียวกันกับผม โอบกอดแผ่นหลังเดียวดายของผม ไม่ให้ต้องเหงาอีกต่อไปตลอดจวบจนรุ่งสางมาถึง พร้อม ๆ กับลมหนาวเย็นที่ยังพัดสะท้านท้าทายเราสอง แต่ผมก็มิได้ยี่หระอะไรกับอุณหภูมิที่เย็นเช่นนั้นเลย เพราะเกราะกำบังกายหนาที่มอบความอบอุ่นไอให้ผมตลอดทั้งคืน บนผืนปราถนาโหยหาบางสิ่งในกันและกัน ที่มอบให่กันและกันจนเต็มล้น
จบช่วงวันหยุดยาวของเข้าพรรษานั้น เราสองก็มีอันต้องห่างกันเพราะภารกิจที่เขาต้องกลับไป ผมไม่เคยถามเขาว่าทำไม หรือแม้แต่เขาทำงานอะไร ที่ไหน หรือะไรก้ตามที่เข้าไม่ได้บอก ผมคิดว่ามันอาจทำให้เขาไม่สบายใจที่ต้องตอบคำถามเหล่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาระหว่างเรา เพราะถึงอย่างไรเรายังติดต่อกันอยู่ตลอดแทบจะทั้งวี่ทั้งวันบนอักษรที่มีความรู้สึกเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น กินข้าวรึยัง ทำอะไรอยู่ วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม เป็นไงบ้าง อะไรต่อมิอะไรที่เราจะถามไถ่กันได้มากที่สุดเพื่อบรรเทาความเหงาของกันและกัน…หรืออาจจะของผมเพียงคนเดียว ในระยะทางระหว่างเราได้
และผ่านไปเพียงสามเดือนเท่านั้น ที่ไม่เพียงแต่พระสงฆ์เท่านั้นที่ห้ามเดินเท้าออกไปไหนในช่วงนี้เพราะเกรงจะทำลายไร่ผลของชาวนาให้ในฤดูเพราะปลูก ตี๋เองก็ติดงานของเขาจนไม่สามารถกระดอกกระเดี้ยไปไหนได้เลย เขาบอกว่าจะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อที่เราทั้งสองจะได้กลับไปเจอกันอีกให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้
ในเดือนที่สี่นับจากที่เราได้คบหากันบนเส้นทาองออนไลน์นั้น จู่ ๆ เขาก็กลับมาที่นี่อีกครั้งในเช้าของวันก่อนออกพรรษาสามสี่วันประมาณนั้น หน้าบ้านตองกล้วย และตอนที่ผมเดินออกมาเพื่อรับอากาศยามเช้าที่หน้าบ้านนั้น เขาก็โผล่กอดผมจากทางด้านหลังอย่างเต็มวงแขน โดยที่ผมก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะกลับมาให้ประหลาดใจ
และแน่นอนว่าด้วยโหยหาปราถนาในกันและกันทำให้ผมไม่เป็นอันทำงานอะไรที่ต้องทำในงานของตน เช่นการเก็บผ้าผ่อนไปทำความสะอาด กวาดถู ดูแลต้นไม้ มากมายก่ายกอง จนยายที่เห็นว่าหายไปไหนต้องเดินมาถามว่าหายไปไหนมาสองสามวัน ทั้งที่ไม่ได้ไปไหนเลยนอกเสียจากนอนและนอนและนอนกกกอดกันในวันแสนธรรมดาเช่นนี้
ด้วยตกใจในเสียงตะโกนเรียกของยายที่ดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมและตี๋ก็รีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และออกมารายงานตัวกับยายในทันที
"งานการไม่ทำเลยเรอะ เอาใหญ่แล้วนะเอ็ง"
"ทำ ๆ จ่ะยาย"
"แล้วนี่ใครล่ะเห็นหน้ามาตั้งแต่ปีใหม่แล้ว ลูกเต้าเหล่าใคร"
"ผมตี๋ครั้บ เอ่อ บ้านอยู่กรุงเทพครับ"
"เหรอ…จะอยู่ก็ช่วย ๆ กันทำงานให้เรียบร้อยสิ จะมาเป็นอะไรข้าไม่ว่าหรอก แต่ไอ้กล้าเอ็งเล่นไม่ทำอะไรเลยแบบนี้ข้าว่าไม่ดีมั่ง"
"จ่ะยาย หนูจะไปจัดการงานให้เรียบร้อยจ่ะ"
"เออ ไป…ตี๋ใช่ไหม่ เดี๋ยวไปช่วยกันทำงานเสร็จแล้วมาหาข้าทั้งคู่เลยข้าจะรออยู่ที่ของข้า"
"ครับ"
"จ่ะยาย"
หลังจากที่ผมจัดการบ้านตองกล้วยในสภาพไม่น่าดู เพราะการไม่ได้ทำอะไรเลยของผม เมื่อผ้าผ่อนถูกพับเรียบร้อย บ้านเรือนข้าวของเข้าที่เข้าทาง พื้นสะอาดสะอ้านปราศจากฝุ่นผงที่ลอยมาตามลม ผมกับตี๋ก็เขาไปหายายที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้อันเก่าประจำของยาย
เมื่อเราทั้งสองคนนั้งลงบนพื้นกระเบื้องด้านล่างที่ตำว่าที่ที่ยายนั้ง ยายก็คว้าเอาสายศีลในตะกร้าหมากออกมา แล้วผูกให้เราทั้งสองคนอย่างไม่พูดไม่จา ประหนึ่งว่าเรื่องของเอ็งทั้งสองนั้นข้ารู้แล้ว และอย่าได้ผิดข้องหมองใจต่อผีบ้านผีเรือนตามแต่ประเภณีที่ยายยึดถือมาจะว่าเอาไว้
และถึงแม้ว่ายายจะไม่รู้จักความรักของชายสองคนนั้นมันเป็นเช่นไร แต่ยายพอรู้ว่าเรื่องเหล่านี้ที่เป็นเรื่องสมัยใหม่นั้น มันก็เป็นไปได้บ้างเหมือนหลาย ๆ บ้านที่มันเขยฝรั่งมาขอเอาหลานชายของตนไปเป็นครอบครัวผัวเมีย และเพื่อเห็นแก่หัวแก้วหัวแหวนของยายอย่างผม ท่านเองก็ทำได้เพียงอวยพรให้เราสองคนที่น่าจะเป็นอะไรกันไปแล้วอย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเขาลือนั้น ได้ถูกยอมรับตามประเภณี อย่างน้อย ๆ ก็ในหูในตาของยายเอง
ไม่นานเมื่อผ่านวันตักบาตรเทโวโรหณะไป ตี๋ก็มีอันต้องกลับไป ทำงานของเขาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาสัญญาด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าเดิมว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งแน่นอนอย่างไวที่สุด
และเพื่อบรรเทาพิษระยะทางแสนห่างไกลดั่งเคย เราก็ยังคงอาศัยการติดต่อออนไลน์ เพื่อสานความเกี่ยวดองของเราทั้งสองให้ประคองไว้คงเดิมมากที่สุด
และเมื่อกระทงในปีที่สองมาถึง เราสองคนก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ยังที่นัดหมายในความคุ้นเคยของสองเรา บ้านแห่งนี้
และดั่งเช่นที่ใครสักคนหนึ่งได้พูดเอาไว้ต่อ ๆ กันมารุ่นต่อหลายรุ่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าการลอยกระทงนั้นหากสองเราได้ลอยร่วมกันแล้วกระทงไม่แยกจาก แปลว่ารักของเรานั้นเป็นรักแท้ที่แน่นอนตามดวงชะตาขีดกำหนดให้ได้คู่กัน
เราเลยเตรียมกระทงที่ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ตามความสามารถของผมที่ยอมให้ยายโขกสับอยู่ตั้งนานเพื่อสอนทำลายกระทงที่สวยที่สุดออกมาอย่างบิด ๆ เบี้ยว ๆ ผมและตี๋ที่มาถึงตั้งแต่เมื่อวานก็เดินไปคู่กันตามทางที่ทอดลงสู่คลองน้ำสายหลักของหมู่บ้าน ผ่านสายตาคนมากหน้าหลายตาที่คุ้นเคยแต่กลับมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเราเดินมาด้วยกันไป
เราต่างจุดเทียนธูปบนกระทงของกันและกัน เอาเหรียญบาทสามเหรียญหย่อนลงในกระทงเพื่อเป็นทาน และเอาเคราะห์กรรมที่งอกออกมาเป็นเล็บผม อย่างละเล็กละน้อยใส่ลงไปด้วยตาม แล้วผมก็ยกกระทงขึ้นอธิฐาน ตี๋ที่เห็นว่าผมทำท่านั้นก็รู้ได้ว่าต้องอธิฐานด้วยในจังหวะนี้ ขอให้รักของเราสองครองกันไปดั่งกระทงที่จะลอยคู่กันไปจนสุดสายธารด้วยเถิด
แล้วผมกับตี๋ก็ขยับมาข้างกันจากนั้นเราก็ลอย…ลอยรักของเราออกไปให้พระแม่คงคาเบื้องหน้านั้นเป็นพยานให้สองเรา
ในจังหวะที่มีเด็กน้อยดำผุดดำว่ายในสายน้ำอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อที่จะหยิบเอาเหรียญทานในกระทงเข้ากระเป๋าตัวเอง เด็กคนหนึ่งในจำนวนสองสามคนแถวนั้นก็ชนเข้ากับกระทงของผมที่ลอยไปคู่กันดี ๆ ให้แยกออกจากกัน และเมื่อกระทงต่างลอยไปคนละทิศละทาง เด็กอีกคนในจำนวนนั้นก็ดำลงไปใต้ผิวน้ำเพื่อเปลี่ยนที่เก็บเหรียญเป็นที่ใหม่ และเป็นจังหวะเดียวกันกับเท้าเล็ก ๆ ที่ของเด็กคนนั้นได้เตะเข้ากระทงของตี๋อย่างจังจนคว่ำลง และเห็นเพียงก้นกระทงลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างนั้นต่อหน้าต่อตาผมและตี๋ทั้งสองคน
ในจังหวะที่เราต่างมองเด็กเหล่านั้นด้วยความอึ่งปนหงุดหงิด ตี๋มีทีท่าจะหัวเสียกว่าผมถูกผมคว้าข้อมือให้เดินออกจากบริเวณนั้นทันที เพื่อไม่ให้มีเรื่องมีราวกันใหญ่โต
"กระทงคว่ำมันเป็นรางร้าย"
"คงไม่เป็นไรหรอกมั่ง ยังไงเราไม่ได้ตั้งใจให้มันคว่ำ…ยายบอกว่าทุกอย่างอยู่ที่เจตนา"
"แต่ตี๋ไม่สบายใจ…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะ"
"ไม่มีหรอก…มันต้องไม่มี"
ผมไม่รู้แน่ว่าความเชื่อนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ หลังจากนั้นที่ตี๋กลับไปกรุงเทพอีกครั้ง การติดต่อระหว่างเราก็ดูท่าจะติดขัดขึ้นเรื่อย ๆ การส่งข้อความหาของเรานั้นมีระยะเวลาที่นานขึ้น…เรื่อย ๆ บางครั้งที่ทักมาหาผม และผมที่กำลังเฝ้ารอข้อความอยู่ทุกขณะ กุลีกุจอเปิดหน้าจอมือถือเพื่อตอบข้อความให้ทันในนาทีเดียวกันกับที่ข้อความถูส่งมา แต่ก็ยังช้าเกินกว่าที่ตี๋จะทันอ่านและโต้ตอบกลับมาแม้ว่านาทีของข้อความทั้งสองของผมและเขานั้นเท่ากัน
กระทั่งกลางดึกวันหนึ่ง…
"ฮัลโหล…ตี๋โทรมาดึกจัง"
"กล้า ถ้าตี๋ไม่ได้ติดต่อไปสักพักตี๋ขอโทษนะ ตี๋รักกล้านะ…แค่นี้ก่อนนะตี๋ต้องวางแล้ว"
ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรสายนั้นที่ผมรอคอยก็วางสายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงจาง ๆ ของการบอกรักอย่างทุลักทุเล ที่ยังประดังประเดเขามาในสมองก้องโสตของผมซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ
หนึ่งใจก็ดื่มด่ำกับคำว่ารัก หนึ่งใจก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมพยายามโทรกลับ แต่ดูเหมือนว่าจะติดต่อไม่ได้ คล้ายไม่มีสัญญาณ ทั้งที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ในคืนนั้น หรือแม้จะหลับตาสมองก็ยังคงคิดทบไปทบมาว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างในช่วงเวลาอย่างนี้ แต่เรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับเขาคนนั้นที่ผมรักช่างน้อยนิดเหลือเกิน ใช่ผมคงต้องรอ…หรือทำได้แค่รอ ก็เท่านั้น
ลมหนาวสีเทาหมอก เข้ามาในเดือนอ้ายทางจันทรคติ กระทั้งปีใหม่ทางสุริยคติ ผมก็ยังไม่สามารถติดต่อตี๋ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นช้า ๆ แล้วดูเหมือนว่าเรื่องตี้จะถูใครบางคนตัดจบอย่างรวดเร็วในเดือนที่ผ่านมา กระทั้งสงกรานต์ครั้งใหม่ได้ผ่านเข้ามา เรื่องเราของของในสมองของผมก็ดูเหมือนจะสงบลงบ้างด้วยเวลากว่าเก้าสิบวัน ไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายเลยจริง ๆ
ผ่านไปถึงช่วงเข้าพรรษา คูทางข้าง ๆ รอบ ๆ พระอุโบสถ ที่เขาและผมเคยเดินเวียนเทียนร่วมกันนั้น ก็ดูเหมือนว่าสีสดใสของพระอุโบสถที่พึ่งทาไปปีที่แล้ว ดูจะซีดจางลงภายในเวลาเพียงปีเดียว…หรืออาจเป็นความสดใสของผมเองที่หายไปจากบรรยากาศเดิม ๆ ที่เคยสดใสมา
ถึงวันลอยกระทงอีกครั้ง…กระทงที่เคยลอยเรียงเคียงกันเพื่อขอให้แม่คงคาเป็นพยานไปพร้อม ๆ กับขอขมา ก็เหลือเพียงกระทงของผมคนเดียวที่ลอยจากมือผมไป และเด็กสามคนนั้นที่งมผุดงมว่ายหารายได้จากเหรียญในกระทงหลงทางของผม และคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงเตะกระทุ้งภาพใบหน้าที่หงุดหงิดกับรางร้ายที่ดูท่าว่าจะจริงนั้นในสมองผมให้ลอยผุดออกมา ราวกับว่าเขายังยืนอยุ่ตรงนั้นในปีนี้เหมือนตอนนั้นที่ผ่านมาแล้ว
กระทั้งล่วงเลยไปอีกสามร้อยหกสิบห้าวัน ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่รอข้อความ เสียงเรียกเข้า หรือแม้แต่อ้อมกอดที่โผล่เข้ากอดอย่างไม่ให้ตั้งตัวจากด้านหลังดั่งเคย แต่ก็ทำได้เพียงรอ และรอ และรอ และรอ และรอ ทำได้แค่รอก็เท่านั้น แม้ยายที่เห็นสีหน้าและชีวิตชีวาบนนั้นที่หายไป จะเตือนด้วยความหวังดีว่า ไม่เป็นไร คนเราเริ่มใหม่ได้ ลืมเขาไปเสียเถอะ กระนั้นผมก็ยังคงรอ
………………………….
เมื่อถึงยามเหมันต์ ดอกพญาสัตบรรณ โรยกลิ่นอบอวลไปตามท้องถนนคอนกรีดที่พาดผ่านหมู่บ้าน ลอยฟุ้งเข้ามาในบ้าน ตามอาณาเขตที่ลมหนาวจะพัดพาไปถึง และโดยที่กลิ่นนั้นไม่เป็นที่ต้อนรับ แต่เกสรก็ยังลอยไปสร้างสัญลักษณ์ย้ำเตือนว่าวันคืนแห่งฤดูหนาวมาถึงแล้ว
ฤดูหนาวที่หนาวมากที่สุดเป็นครั้งที่สองนับจากอ้อมกอดอุ่นนั้นจากไป และไร้ทีท่าว่าจะหวนคืนมาอีกเลยเข้ามาเป็นปีที่สอง
เช้าวันที่อากาศสดใสที่คล้ายว่าจะถูลืมไปแล้ว ผมเข้าไปในสวนกล้วย หอบเอากองใบตองและต้นกล้วยที่ยายเลือกฟันเอาไว้แล้วออกมา เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อย หั่นตอกล้วยเป็นแว่น ๆ ชิ้นหนาพอลอยน้ำได้ แล้วช่วยยายประดับประดากระทงด้วยกลีบแบบต่าง ๆ มันคงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ความรู้สึกที่รอก็เหมือนไม่ได้รอเริ่มเข้ามาแทนที่ความทรงจำ มากขึ้นเรื่อย ๆ และเหมือนว่าการจากไปในความเงียบงำของเขานั้นจะทำให้ผมกลัว กลัวว่าจะลืมเขา ผมจึงได้แต่เฝ้ารอต่อไป
เย็นย่ำค่ำลง ประจันทร์วันเพ็ญเดือนสิบสองของที่นี่สวยที่สุดในโลก ผมเดินไปที่ท่าน้ำนั้น เพื่อขอขมาพระแม่คงคาอีกปี และถึงแม้ว่าปีนี้ชาวบ้านจะจัดงานให้ใหญ่โตกว่าปีที่ผ่านมาและผ่าน ๆ มา แต่ชีวิตชีวาของผมนั้นก็ดูเหมือนจะจืดจางลงเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
เมื่อกระทงลอยออกจากมือผมไป ลอยออกไปตามกระแสน้ำเรื่อย ๆ เด็ก ๆ สามคนนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจกระทงของผม อาจเพราะปีนี้ผมไม่ได้ใส่เหรียญทานลงไปในนั้นก็เป็นได้ และจู่ ๆ เมื่อกระทงของผมลอยออกไปไกลจากเพื่อน ๆ กระทงของคนอื่น ๆ อย่างน่าประหลาด ก็มีกระทงอีกอันลอยมาจากอีกทางที่ผมไม่ทันสังเกต ลอยมาติดกับกระทงของผม อย่างน่าอัศจรรย์
เสี้ยวแวบที่ความหวังของผมถูกจุดขึ้นมาเหมือนดวงประทีปที่ถูกจุดให้ลุดโชนบนปลายเทียน
"กล้า…"
เสียงที่คุ้นเคยก็ดังลอยมาจากทางด้านหลัง และวงแขนแสนอบอุ่นนั้นก็โผล่เข้ากอดผมแน่นหนา ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจนห้วงเวลาเหมือนว่าจะหยุดลง ในการรอคอยที่แสนยาวนาน
ผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ นอกเสียจากน้ำตา ที่ดูเหมือนจะไหลออกมาไม่ยอมหยุด
ยายบอกให้ผมนอนพักเสียก่อนค่อคุยกันพรุ่งนี้ เพราะเห็นท่าทีที่เหนื่อยอ่อนจากน้ำตาอาบแก้ม และเราสองคนก็ไม่ปล่อยมือออกจากกันไปจากอ้อมกอดที่ยาวนานทรมาณที่ทุเลาลงเพราะการได้พบกัน
เช้าที่สดใส วิวฟ้าสีครามใสตัดกับทิวเขาสีเขียวเข้ม ที่ริมระเบียงรับลมชมพระอาทิตย์และกินกาแฟ ของบ้านตองกล้วยนั้น ตี๋ก็เล่าเรื่องราวของเขาที่หายไป
ว่าด้วยเรื่องที่พ่อแม่เจ้าของธุระกิจ ห้ามไม่ไห้ติดต่อกลับมา และจำกัดบริเวณให้อยุ่แต่ในหูตาเท่านั้น และเมื่อตี๋พยายามจะอธิบายเรื่องของตัวเองให้ท่านรับรู้ ก็ดูเหมือนจะถูกปฏิเสธด้วยการจัดการแต่งงานคลุมถุงชนให้เขาในที่สุด
กระทั่งจังหวะที่ผูติดตามจำกัดบริเวณของเขาหละหลวม เขาก็หลบหนีไปจากหน้าที่เจ้าบ่าวจำเป็น และใช้เงินเท่าที่ตนมีออกเดินทางมาที่นี่ เพื่อกลับมาหาคนที่เขารักดั่งที่เคยสัญญา
และแน่นอนว่า บ้านตองกล้วยแห่งนี้ ก็ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่เข้ามาเป็นหลานยายผู้ขายใบตองเลี้ยงชีพอย่างเป็นทางการ
………………………….
และบอกลาการรอคอยอันยาวนาน ด้วยการไม่กลับบ้านที่กรุงเทพอีกเลยนับจากวันลอยกระทงวันนั้นจวบจนทุกวันนี้
#BeeQueer ✍️
โฆษณา