6 พ.ย. 2022 เวลา 10:21 • ความคิดเห็น
เคยฟัง Podcast อยู่ตอนนึงของช่อง”Already อ่านแล้วดี”ที่มีการพูดคุยเรื่อง การตัดใจ “Move on” มันอาจไม่ใช่วิธีการ แต่น่าจะใช้เป็นแนวทางได้โดยผ่านเรื่องเล่าที่เราได้ฟังแล้วลองสรุปออกมา..
1
เค้าบอกว่าการ Move on หรือ การตัดใจ มันเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ที่คนเราควรมี หากมองในมุมของนักลุงทน ถ้ามันเริ่มขาดทุนในจุดที่คุณเริ่มไม่ไหว คุณต้องตัดใจ cut loss ให้เป็น
ราคาที่คุณซื้อมาก่อนหน้านั้นมันไม่สำคัญกับ”ปัจจุบัน”ของคุณแล้ว และมันไม่มีผลกับ”อนาคต”ของคุณอีกด้วย…
เพราะฉะนั้น คุณต้องตัดใจและยอมสูญเสียมันไปเพื่อมองหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่า
นั่นเป็นมุมมองของนักลงทุน แต่ถ้าเป็นการตัดใจจากเรื่องอื่น แน่นอนว่ามันมีความซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น การตัดใจในสิ่งที่คุณรักและคุณได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจของคุณลงไปกับมัน เช่น บริษัท ที่คุณได้สร้างมันมากับมือ มันไม่ใช่เรื่องที่ตัดใจขายทิ้งได้ง่ายๆเหมือนหุ้นที่คุณไม่ได้รู้สึกผูกพันกับมันเท่าไหร่
ถัดมาเป็นการยกตัวอย่างเรื่องเล่าจากหนังสือ Option B เป็นเรื่องของผู้หญิงที่สามีของเธอเสียชีวิต และเธอไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ มันมีแต่ความเศร้าและความเจ็บปวด
แต่ภายหลังจากที่เธอเริ่ม”ตระหนักรู้”และ”ยอมรับ”ว่าเธอกำลังเศร้าจากการสูญเสียสามี เธอเริ่มอยู่กับปัจจุบัน มันทำให้เธอได้ค้นพบว่าคนเราต้องยอมอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขบ้าง
มีอีกหนึ่งเหตุการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนของเธอ
ที่กำลังจะจัดงานแต่งงานให้กับลูกสาว ในขณะที่ลูกชายอีกคนต้องมาจบชีวิตลงเพราะเสพเฮโรอีนเกินขนาด
เหตุการณ์นี้บางคนอาจช็อคจนต้องยกเลิกงานแต่งงานหรือเลื่อนออกไป แต่เธอยังคงเดินหน้าเพื่อจัดงานแต่งงานให้กับลูกสาว และจัดงานศพให้ลูกชายของเธอในเช้าวันถัดไป
และเธอก็ได้ตั้งมูลนิธิยาเสพติดเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ไม่ให้ติดยาเสพติดเหมือนลูกชายของเธอ ทำให้เธอค้นพบว่าภายใต้ความทุกข์ ความเศร้า ที่เกิดขึ้นก็ยังสามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้
หากไม่ได้ Option A ก็ยังมี Option B และการยอมรับ Option B แทนที่ Option A ก็ไม่ได้แย่เสมอไป (เรื่องเล่านี้ เคยเล่ามาแล้วในตอนหนึ่งของ Mission to the moon และครั้งนี้ถูกหยิบขึ้นมาเล่าอีกครั้ง)
ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่าง คือเรื่องเล่าเหตุการณ์จริงที่เครื่องบินตกบนเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยหิมะ และมีผู้รอดชีวิตเพียงครึ่งหนึ่งของผู้โดยสารบนเครื่องบิน
(ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ Alive)
คนที่รอดชีวิตบนเครื่อง ทุกคนต่าง Move on ได้โดยไม่กล่าวโทษกัปตัน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เครื่องบินตก ทุกคนต่างหาหนทางเพื่อให้รอดชีวิต แม้กระทั่งยอมกินเนื้อจากศพของเพื่อนที่ตายไปแล้วเพื่อประทังชีวิต และในที่สุดพวกเขาก็รอดชีวิตมาได้ จากที่ติดอยู่บนเขาลูกนั้น70กว่าวัน..
ถัดมา..เปลี่ยนโหมดเป็นเรื่องเล่าอีกมุมหนึ่งจากคนทำผลิตภัณฑ์ สมมุติคุณทำมาทั้งหมด 20 ผลิตภัณฑ์
แต่ปรากฎมีผ่านอยู่แค่ 1 ผลิตภัณฑ์ และคุณต้องตัดใจจาก
19 ผลิตภัณฑ์ที่มันไม่ผ่าน ที่จริงของแบบนี้มันก็แป้กกันได้ มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบเสมอไปในยุคที่ยากลำบากเช่นนี้
เราต้องยอมรับความจริง ถึงแม้ว่าคุณจะเสียดายเพราะจำนวนที่มาก แต่หากคุณไม่ตัดใจจากมัน คุณก็ไม่สามารถทุ่มเทให้กับผลิตภัณฑ์ที่เหลือเพียงชิ้นเดียวของคุณได้
(ไม่แน่..ผลิตภัณฑ์ 1 ชิ้นที่เหลืออยู่ อาจกลายเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดของคุณก็ได้)
สุดท้ายเป็นการยกตัวอย่างเรื่องเล่าจากการกินบุพเฟต์ที่คุณต้องรู้จักคำว่า Move on ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมมองที่ฟังแล้วยิ้ม
ลองคิดดูดีๆ หากคุณไม่รู้จักการ Move on คุณจะกินจนแน่นพุงแทบเดินไม่ไหว มันคงจะทรมานและเสียสุขภาพ..
บางคนอาจคิดว่าความคุ้มค่าของบุพเฟต์ คือการกินแบบยัดอาหารเข้าไปในพุงให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้….อะไรที่มันฝืนมันย่อมไม่ดีแน่นอน..
หากลองเปลี่ยนมุมมองว่าความคุ้มค่า หรือ คุณค่าของมันอยู่ที่ราคาที่เราจ่ายไป และเราสามารถเลือกกินได้หลากหลาย กินอิ่มแบบพอดี สบายใจ และไม่ทำร้ายร่างกาย..
บทสรุป: จงอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข และอย่าลืมเมตตาตัวเอง เหมือนกับที่เราเมตตาคนอื่น..
ทุกข์ก็ให้รู้ว่าทุกข์ เศร้าก็ให้รู้ว่าเศร้า แล้วพาตัวเราออกไปอยู่ในที่ ที่มีความสุข และให้ความยืดหยุ่นกับชีวิต ไม่ยึดติด หรือจมอยู่กับด้านใดด้านหนึ่ง
หากคุณ Move on ได้ในครั้งนี้ นั่นหมายความว่าคุณได้ทักษะสำคัญของชีวิตเพิ่มมาอีกหนึ่งทักษะ ที่สามารถเอาไว้ใช้ได้อีกเมื่อคราวจำเป็น..และคิดว่าคุณจะสามารถ Move on ได้ง่ายกว่าตอนนี้แน่นอน..
โฆษณา