8 พ.ย. 2022 เวลา 23:00
KLINIQ พารวย"4 เซียนหุ้น"ฟาดกำไรวันเดียวกว่า 200 ล้านบาท
เปิดโผผู้ถือหุ้นใหญ่ KLINIQ พบ 4 เซียนหุ้น "ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ,วิชัย วชิรพงศ์ หรือเสี่ยยักษ์, คเชนทร์ เบญจกุล และ พีรนาถ โชควัฒนา" ถือหุ้นใหญ่ มูลค่าพอร์ตรวม 545 ล้านบาท ฟาดกำไรหุ้น KLINIQ วันเดียวรวมกว่า 222 ล้านบาท ราคาพุ่ง 65- 70 % จากราคาไอพีโอ ปิดที่ 24.50 บาท
ไม่ผิดดหวังราคาหุ้น บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (MAI) วันแรกเมื่อ วันที่ 7 พ.ย.65 ปิดที่ระดับสูงสุด 41.50 บาท เพิ่มขึ้น 17.00 บาท หรือ บวก 69.39% จากราคาไอพีโอ 24.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 5,563 ล้านบาท โดยราคาหุ้น KLINIQ เปิดซื้อขายอยู่ที่ระดับ 36.00 บาท และระหว่างวันทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 35.50 บาท สูงสุดที่ 41.50 บาท มีปริมาณการซื้อขายมากถึง 143.84 ล้านหุ้น ขณะที่การเสนอขายไอพีโอเพียง 60 ล้านหุ้นและทุนชำระแล้ว 220 ล้านหุ้น
ล่าสุดราคาหุ้น KLINIQ วันนี้ ( 8 พ.ย.) เปิดซื้อขายที่ 41.00 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือลบ 1.20% และเมื่อเวลา 11.32 น.ราคาอยู่ระดับ 40.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ ลบ 2.41% แต่ยังสูงกว่าราคาไอพีโอ 65.31% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 627.05 ล้านบาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 42.75 บาท และต่ำสุดที่ 40.00 บาท โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 41.41 บาท
ขณะที่โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ KLINIQ 10 อันดับแรก จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 7 พ.ย.65 มีรายชื่อดังนี้
  • นายแพทย์ อภิรุจ ทองวัฒน์ ถือ 70,421,220 หุ้น สัดส่วน 32.01%
  • บริษัท ทีเคคิวเอช แคปปิตอล แมนเนจเมนท์ จำกัด ถือ 23,709,091 หุ้น สัดส่วน 10.78%
  • นาง พจนันท์ ศรีอภัย ถือ 21,024,000 หุ้น สัดส่วน 9.56 %
  • บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) ถือ 16,000,000 หุ้น สัดส่วน 7.27%
  • นาย รัฐพล กิตติชัยตระกูล ถือ 15,754,780 หุ้น สัดส่วน 7.16%
  • นาย ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ถือ 5,818,182 หุ้น สัดส่วน 2.64%
  • นาย วิชัย วชิรพงศ์ ถือ 2,500,000 หุ้น สัดส่วน 1.14%
  • นาย คเชนทร์ เบญจกุล ถือ 2,424,242 หุ้น สัดส่วน 1.10%
  • นาย พีรนาถ โชควัฒนา ถือ 2,424,242 หุ้น สัดส่วน 1.10 %
  • N C B TRUST LIMITED-NORGES BANK 30 ถือ1,992,000หุ้น สัดส่วน 0.91%
2
ทั้งนี้พบว่า 4 เซียนหุ้นแถวหน้าของไทยได้แก่ นายไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ,นายวิชัย วชิรพงศ์ หรือเสี่ยยักษ์, นายคเชนทร์ เบญจกุล และนายพีรนาถ โชควัฒนา มีมูลค่าพอร์ตรวมกันกว่า 545 ล้านบาท ( ข้อมูล ณ 8 พ.ย.65 อิงราคาเฉลี่ย 41.41บาท ) ทำกำไรทางบัญชีวันเดียวกว่า 222 ล้านบาท จากราคาไอพีโอ ดังนี้
  • นายไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา มูลค่าพอร์ต 240.93 ล้านบาท มูลค่าไอพีโอ 142.55 ล้านบาท กำไร 98.38 ล้านบาท
  • นายวิชัย วชิรพงศ์ มูลค่าพอร์ต 103.53 ล้านบาท มูลค่าไอพีโอ 61.25 ล้านบาท กำไร 42.28 ล้านบาท
  • นายคเชนทร์ เบญจกุล มูลค่าพอร์ต 100.39 ล้านบาท มูลค่าไอพีโอ 59.39 ล้านบาท กำไร 41.00 ล้านบาท
  • นายพีรนาถ โชควัฒนา มูลค่าพอร์ต 100.39 ล้านบาท มูลค่าไอพีโอ 59.39 ล้านบาท กำไร 41.00 ล้านบาท
ส่วนชื่อ"อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ" ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่าได้เข้าลงทุนโดยถือหุ้นใน KLINIQ ด้วยนั้น
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า การจัดสรรหุ้นไอพีโอครั้งนี้ บริษัทได้จัดสรรให้กับ อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท
อนึ่ง หุ้นไอพีโอ KLINIQ ได้จัดสรรให้กับผู้มีอุปการคุณ รวมไม่กิน 9,000,000 หุ้น คิดเป็น 15% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ เผยว่า ราคาหุ้นของ KLINIQ ที่พุ่งสูงกว่าราคาไอพีโอ ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วไป นักลงทุน VI และนักลงทุนสถาบัน ที่มองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตได้อีกมาก หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตอย่างก้าวกระโดด สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ชู 3 จุดแข็ง
KLINIQ ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ความงามครบวงจร คลินิกเจ้าแรกของประเทศไทย เข้าระดมทุนตลาดหุ้นสำเร็จ ภายใต้ 3 จุดแข็ง
  • 1.แบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ นวัตกรรมเครื่องมือ US FDA และประสบการณ์มายาวนานกว่า 13 ปี
  • 2.จุดแข็งในเรื่องของโมเดลธุรกิจ Asset Light และ
  • 3.ฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง ไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (Cash Rich-Zero Debt) รวมทั้งการมีลูกค้ากว่า 2 แสนราย เข้ามาใช้บริการซ้ำ ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Income)
เมื่อผนวกกับแผนการขยายคลินิกเวชกรรม 6-10 สาขา/ปี ทั้งในกรุงเทพฯ หัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง ทำให้เห็นภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ KLINIQ ในช่วง 1-3 ปีขางหน้า
สำหรับเงินที่ได้รับจากการขยายไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุม พื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองหลัก และหัวเมืองรอง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี
โฆษณา