16 พ.ย. 2022 เวลา 00:00 • สุขภาพ
ครู-ผู้ปกครอง ต้องรู้ “กล้ามเนื้อบกพร่อง” ในเด็ก หลัง “เรียนออนไลน์” ยาวเพราะโควิด หลังจากโรงเรียนส่วนใหญ่จำเป็นต้องให้เด็กทุกวัย “เรียนออนไลน์” เพราะการระบาดของโควิด ทำให้เด็กบางกลุ่มเมื่อกลับมาเรียนที่โรงเรียนแล้วพบว่ามีอาการ “กล้ามเนื้อบกพร่อง” และส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต
การระบาดของโควิด ทำให้เด็กบางกลุ่มกลับมาเรียนมีอาการ “กล้ามเนื้อบกพร่อง”
ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิดทำให้โรงเรียนต้องทำการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์แทนการเรียนแบบออนไซต์ (On-Site) เพื่อความปลอดภัยของครูและนักเรียน การเรียนออนไลน์แน่นอนว่ามีข้อดีคือทำให้นักเรียนสามารถเรียนได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน รวมถึงมีการสอบวัดระดับเพื่อเลื่อนชั้น แต่การที่เด็กต้องนั่งเรียนกับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือแท็บเลตเป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน ส่งผลเสียต่อพัฒนาการมากกว่าที่คิด
โดยเฉพาะในเด็กประถมวัยที่กำลังอยู่ในวัยที่ต้องการการเรียนรู้จากโลกภายนอก มากกว่าจะจมอยู่แต่กับหน้าจอ แม้ว่าปัจจุบันโรงเรียนจะกลับมาทำการเรียนในห้องเรียนตามปกติแล้ว แต่ในเด็กประถมวัยกลับพบว่าเด็กบางกลุ่มมีอาการ “กล้ามเนื้อบกพร่อง” รวมถึงมีภาวะ “พัฒนาการถดถอย” ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน จะพบเจอได้มากในเด็กอนุบาลและเด็กประถมต้น
  • ปัญหาของเด็กอนุบาลที่เกิดขึ้นในยุคโควิด
จากผลการวิจัยของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand School Readiness Survey: TSRS) เพื่อประเมินว่าเด็กปฐมวัยมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นทางการในระดับประถมศึกษาหรือไม่ พบว่าทักษะที่ได้รับผลกระทบจากการไม่ได้เรียนที่โรงเรียนตามปกติเป็นเวลานาน มีอยู่ 2 ทักษะ คือ
1. ทักษะด้านภาษา เนื่องจากหยุดเรียนเป็นเวลานานทำให้ไม่รู้จักตัวอักษรภาษาไทย โดยจากร้อยละ 9 ก่อนการระบาดของโควิด เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 หลังการระบาดของโควิด
2. ทักษะด้านคณิตศาสตร์ หลังการหยุดเรียนเป็นเวลานานทำให้เด็กจำเลข 0-9 ไม่ได้ หรือจำได้ไม่ครบ จากร้อยละ 25 ก่อนการระบาดโควิด เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 36 หลังจากการระบาดของโควิด
  • สัญญาณ “กล้ามเนื้ออ่อนแรง” ในเด็ก ที่ผู้ใหญ่ต้องพิจารณา
นอกจากปัญหาด้านพัฒนาการทางสมองแล้ว อีกปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปิดเรียนเป็นเวลานานของเด็กเล็กก็คือ พัฒนาการด้านร่างกาย เพราะผลสำรวจยังระบุอีกว่า ทักษะขั้นพื้นฐานในทุกมิติที่เด็กเคยสะสมไว้หายไป ได้แก่ ลืมวิธีการอ่านและเขียน ส่งผลให้ไม่สามารถจับดินสอได้ถูกวิธี
สอดคล้องกับข้อค้นพบของ “โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง” ที่นอกจากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียน ได้นำเครื่องวัดแรงบีบมือทดสอบวัดสมรรถภาพความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1,918 คน จาก 74 โรงเรียน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ สตูล ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช ยะลา และนราธิวาส พบว่า 98% ของเด็กๆ มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งปกติค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ 19 กิโลกรัม และจากการทดสอบมีผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น
ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากภาวะ “กล้ามเนื้อบกพร่อง” ในเด็กประถมต้น ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หากผู้ปกครองคอยสังเกตบุตร-หลานของตนเองว่ามีอาการเข้าข่ายหรือไม่ ดังนี้
1. เด็กเดินต่อเท้าและทรงตัวไม่ได้
2. กระโดดขาเดียว และกระโดดสองขาพร้อมกันไม่ได้
3. เมื่อนอนหงายราบไปกับพื้น ไม่สามารถยกศรีษะโดยให้ไหล่ติดพื้นไม่ได้
4. ไม่สามารถใช้กรรไกรตัดกระดาษได้เนื่องจากจับไม่ถูกวิธีหรือไม่มีแรง
5. มือและตาไม่ประสานกันขณะทำงาน
6. จับดินสอผิดวิธี เพราะจัดท่านั่งให้พอดีไม่ได้ มือและตัวเกร็งทำให้เมื่อยจึงต้องก้มคอหรือนอนเขียน ไปจนถึงควบคุมการเขียนไม่ได้
7. ลุกเดินบ่อย นั่งหลังตรงนานไม่ได้ นั่งห้อยเท้าไม่ได้
8. ต้องลงบันไดทีละขั้น พร้อมกับใช้มือสองข้างจับราวบันได
9. หยิบหรือจับสิ่งของไม่คล่อง เมื่อรับของจะทำตกบ่อย
10. ไม่มั่นใจเมื่อต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน อยากแยกตัวจากเพื่อน ไม่มีสมาธิ
11. อ่านและเขียนไม่ได้แม้แต่ศัพท์ขั้นพื้นฐาน
12. ไปห้องน้ำบ่อยและนาน หรือขอไปห้องพยาบาลเพราะปวดท้องหรือปวดหัวบ่อยผิดปกติ
13. ไม่โต้ตอบสื่อสาร หรืออาจจะพูดได้ไม่เป็นคำ ไม่เป็นประโยค เล่าเรื่องไม่ได้
14. ขาดเรียนบ่อย ไม่อยากไปโรงเรียน
1
แม้ว่าปัจจุบันจะเปิดเรียนให้เด็กเข้าห้องเรียนได้ตามปกติแล้ว แต่ทั้งครูและผู้ปกครองเองก็ต้องคอยสังเกตด้วยว่าเด็กมีอาการผิดปกติหรือมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในเรื่องของพัฒนาการบ้างหรือไม่ เพื่อที่จะได้รู้ทันอาการภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง และรีบรักษาได้ทันทีก่อนจะสายเกินไป
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับพัฒนาการถดถอยและกล้ามเนื้อบกพร่องเพิ่มเติม :
โฆษณา