12 พ.ย. 2022 เวลา 04:42 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Coffee or Tea ? ไม่ได้ล้มเหลว แค่ทำไม่สำเร็จ
ในบรรดาหนังที่ฉายในเทศกาลภาพยนตร์จีน ณ กรุงเทพฯ ครั้งที่ 16 ( 5-13 พ.ย.2565 ) ทั้งหมด ไม่ได้คิดจะดูเรื่องนี้ ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าหลิวฮ่าวหลานเล่น ตั้งใจจะดูแค่ B for Busy เพราะได้เข้าชิงรางวัล ไก่ทองคำ 3 รางวัล แต่ไหน ๆ หนังก็ฉายต่อกัน ก็ดูไปเลยล่ะกัน
ปรากฏว่าผิดคาด กลายเป็นชอบเรื่องนี้มากกว่า B for Busy แม้ว่าในแง่บท อาจจะไม่คมคายเท่า
บางครั้งความเรียบง่ายก็มีเสน่ห์ของมัน
เรื่องนี้ฉายไปตั้งแต่ปี 2020 และกลับมาฉายใหม่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา
เปิดเรื่องมา เว่ยจินเป่ย (หลิวฮ่าวหลาน) กำลังจะกระโดดตึกตาย เพราะทำธุรกิจขาดทุน แต่โดน เผิงเสี่ยวปิง (เผิงอวี้ชาง) ซึ่งทำงานเป็นไรเดอร์วันสุดท้ายมาขัดขวาง และชวนกลับไปบ้านที่ยูนนาน เพราะเสี่ยวปิงซึ่งเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งตั้งใจกลับบ้านเพื่อไปทำธุรกิจรับส่งของ จากนั้นก็ได้ไปเจอกับ หลี่เชาฉุน ( อี้ฟาง) ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นหุ้นส่วนทำกาแฟขายด้วยกัน
แม้ว่าโทนของเรื่องเป็นหนังตลก แต่ก็ส่ง “ message ” มาเพียบ ทั้งในแง่มุมมองชีวิต เรื่องความสำเร็จ ความล้มเหลว คุณค่าของครอบครัว และการแฝงแนวคิดโฆษณาชวนเชื่อของทางการจีน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันมาตลอด
ประเด็นที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ว่าด้วยความสำเร็จและความล้มเหลว
จินเป่ย เป็นคนเมืองจบการศึกษาสูง มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ เมื่อล้มเหลวก็สติแตก หมดอาลัยตายยาก เป็นโรคนอนไม่หลับ
ในขณะที่ เสี่ยวปิงเป็นเด็กบ้านนอก ไม่ได้มีการศึกษาอะไรมากนัก ถูกพ่อแม่ไล่ไปทำงานในเมืองเหมือนกับทุกครอบครัว เพราะคิดว่ามีอนาคตกว่าเลี้ยงหมู เก็บชา ที่หมู่บ้าน แต่เขาอยากกลับมาสร้างธุรกิจที่หมู่บ้าน เพื่อให้ลูกหลานของทุกครอบครัวกลับมาอยู่บ้าน แม้จะทำธุรกิจล้มเหลวในครั้งแรก แต่ก็ยังคงมีความหวังเสมอ
คนความรู้น้อย ที่มีแต่ความตั้งใจดีต่อบ้านเกิด กลายเป็นคนที่เตือนที่สติ คนมีการศึกษาสูงว่า
ฉันไม่ได้ล้มเหลว ฉันแค่ทำไม่สำเร็จ
แถมยังบอกว่า เขาอายุยังน้อย ครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม หนังยังคงมีความสมจริงตรงที่การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น แค่ความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ การที่คนทั้งสามประสบความสำเร็จในที่สุด เพราะ คนหนึ่งมี know-how คนหนึ่งมีความตั้งใจดีมีคุณธรรม คนหนึ่งมีความรู้ในการทำธุรกิจ
และที่สำคัญที่สุดคือทั้งสามคนเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งในการทำธุรกิจ ก็สามารถคลี่คลายได้
หนังยังตั้งคำถามเรื่องความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวคิดของคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นนี้ในการทำธุรกิจ คุณค่าของครอบครัว เพื่อน หุ้นส่วน
แม้คำตอบจะกระโดดโลดเต้นในทุ่งลาเวนเดอร์กันหนักมาก แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความหวัง ความอบอุ่น
คนเราไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความหดหู่สิ้นหวัง ถึงในชีวิตจริงอาจไม่ได้ดีงามเท่าในหนังก็ตาม
สำหรับแนวคิดของทางการจีนที่แฝงอยู่ในหนังเรื่องนี้ ( จริง ๆ ก็ในแทบทุกเรื่อง )คือ การให้ความสำคัญกับชนบท สนับสนุนให้คนในชนบทช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของตนเองให้เติบโตมั่งคั่ง เป็นการกระจายความเจริญออกไปทั่วประเทศจีน ไม่ได้กระจุกอยู่แต่ในเมืองใหญ่
นอกจากนั้นยังสร้างความมั่นคงในมิติของครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดและสำคัญที่สุดของสังคมด้วย
นักแสดง
ส่วนตัวชอบหลิวฮ่าวหลาน มาตั้งแต่เรื่องหลางหยาป่าง 2 เรื่องนี้แม้จะเป็นหนังตลก แต่ตัวละครค่อนข้างมีมิติกว่าหนังตลกเรื่องอื่น ๆ ที่เขาเคยเล่น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ชอบ เผิงอวี้ชาง ที่เล่นเป็น เสี่ยวปิง เด็กหนุ่ม ผู้สำนึกรักบ้านเกิดที่สุดในเรื่อง มากกว่า
ส่วนที่น่ารักคือมีชาวบ้านจริง ๆ มาแสดงในหนังด้วย
***สำหรับผู้ที่ไม่ได้ดูในโรง สามารถหาดูซับอังกฤษได้ในยูทูปค่ะ***

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา