Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
🔱
•
ติดตาม
13 พ.ย. 2022 เวลา 00:36 • ปรัชญา
วิญญาณและมายาละคร
มีคนถามผมบ่อยๆว่าถ้าการมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นคน เป็นสัตว์ มาจากการเลือกเองของดวงวิญญาณ
แล้วทำไมวิญญาณเราถึงเลือกให้ตัวเองมีความทุกข์ พิการ หรือยากจน?
ในเมื่อชีวิตคือมายาสมมุติ(ตามที่หลายอาจารย์ชอบพูดกันอยู่บ่อยๆ)
ทำไมดวงวิญญาณถึงต้องเลือกเข้ามาอยู่ในอำนาจของมายาทุกข์แบบนี้ เราอยู่ในหนทางนี้เพื่ออะไร?
เอาจริงๆเรื่องนี้พูดถกกันได้เรื่อยๆ ถ้าผู้ถามยังไม่รู้ถึงเรื่องตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เรื่องเกมส์การวิวัฒน์ และเรื่องมายา
ถ้าตอบแบบตัดจบและให้เข้าใจง่าย...
พวกเราคงชอบดูหนังภาพยนตร์กันอยู่บ่อยๆ ตลอดชีวิตนี้รวมแล้วก็คงหลายร้อยหรือหลายพันเรื่อง ไม่รวมซีรีย์ที่ติดกันงอมแงม
หนังจะสนุกก็ต้องไม่ถูกสปอย ยิ่งสนุกถ้าคาดเดาตอนจบไม่ได้ หรือหักมุมแบบคิดไม่ถึง
บางวันเราก็อยากดูแนวแอคชั่น บางวันก็คอมเมดี้ บางวันก็ดราม่า บางวันก็อยากดูฆาตกรรมสืบสวน
เอาจริงๆหนังที่ดีมันก็ควรจะมีหลายอารมณ์หลายรสในเรื่องเดียว ใช่ไหม?
บางเรื่องเราก็ชอบดูวนซ้ำๆ ฉากไหนเคยร้องไห้ พอมาดูใหม่เราก็ยังร้องไห้หรือยิ้มหัวเราะอยู่นั่นอีก ทำไมล่ะ?
คำถาม ทำไมพวกเราถึงทำแบบนั้น พวกเราดูหนัง ดูซีรีย์ทำไม?
คำตอบอาจจะง่ายๆ
แค่ชอบ!
ก็มันเป็นเรื่องความบันเทิง พักผ่อนยามว่างคลายเครียด
หรือถ้าจะตอบให้ดูดีหน่อย ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์จินตนาการ และหาแรงบันดาลใจสำหรับข้อคิดใหม่ๆ
ที่ต้องชี้อีกประเด็นสำคัญไว้ด้วยคือ
ในแต่ละครั้งเป็นเราเองในการเลือกเรื่องที่จะดู เลือกเวลา หรือเลือกที่จะไม่ดูแล้วนอนหลับไปเฉยๆ หรือจะไปทำอย่างอื่นก็แล้วแต่
แต่ไม่มีใครที่ร่างกายปกติจะเลือกหลับไปตลอดชีวิตตลอดกาลหรอกจริงมั้ย
ชีวิต ยังไงเราก็ต้องทำอะไรบางอย่างอยู่เสมอ ถ้าไม่งั้นมันคงน่าเบื่อที่สุดและไร้ความหมาย
วิญญาณคือผู้ดูละครชีวิตของเรา เหมือนเราที่เป็นผู้ดูหนังดูละครซีรีย์ และเป็นผู้มีอารมณ์ร่วมกับเรา
วิญญาณต้องการรู้และเป็นทั้งหมดที่มันสามารถจะมีประสบการณ์ได้ผ่านทางชีวิตสมมติที่มันสร้างขึ้น
หากแต่ทุกขณะมันก็มีความรู้ชัดว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นการแสดง
เรา เป็นผู้สวมบทแสดงในละครชีวิตของตนเองร่วมกันกับผู้แสดงอื่นๆบนโลก
และเราเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตัวเอกของหนังภาพยนตร์ทั้งหมดบนโลกนี้ ไม่ได้จำกัดไว้แค่ต้องเป็นราชามหาเศรษฐี ต้องหล่อโคตรหรือสวยเว่อร์
(ถ้าเราเกิดมารวยและหล่อสวยทุกชาติเราจะได้รู้อะไรในความเป็นตรงข้าม)
ที่นี่ในจักรวาลนี้เป็นโรงภาพยนตร์ ที่ไม่มีใครตายจริง เจ็บจริง ทุกข์จริง
แล้วเราจะไม่ลองเลือกดูหนังที่ตัวเอกเป็นแมวพิการ เป็นม้าแข่งธาตุทรหด เป็นวัวที่เลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหาร หรือลองเป็นทาสเป็นขอทานดูหน่อยหรอ
อารมณ์มันจะเป็นยังไงถ้าได้ดู
เราจะได้เรียนรู้อะไรขณะรับบทบาทนั้น
เว้นแต่ถ้าเราเชื่อว่าละครภาพยนตร์ที่คนในโลกนี้ทำออกมาฉายจะไม่สามารถมีอยู่จริงได้
มันจึงจะเหมือนกับที่เชื่อว่าชีวิตของเรานี้ล้วนเป็นความจริงไม่ใช่การแสดง
เราก็ย่อมที่จะไม่อยากเลือกเกิดเป็นปลาตัวเล็กๆอย่างแน่นอน
และก็คงไปโทษว่าเป็นเพราะผลของบาปอีกเวลาที่คิดอะไรไม่ออก
แล้วก็วนกลับมาที่มองว่าการเกิดมันเป็นทุกข์เหมือนเดิม
ความจริงถ้าเบื่อจะดู ก็ไม่มีใครห้าม ถ้าอยากจะพักก็เชิญกลับไปนอน ไปพักผ่อน
ซึ่งก็ไม่มีอย่างอื่นให้ต้องทำหรอก เว้นแต่เราจะสร้างสรรค์มันขึ้นมาเอง
เรามีเสรีภาพอยู่เสมอ ทั้งที่นี่ และในโลกปรมัตถ์
เหงาๆก็ไม่มีใครบังคับอีก ถ้าอยากจะลืมตาขึ้นมาดูซีรีย์เพลินๆต่อเมื่อไหร่ก็ได้
สังสารวัฏหนึ่งๆ ก็คือซีรีย์ยาวๆหลายตอนเรื่องหนึ่งเท่านั้นเองแหละ
พอบรรลุสภาวะสูงสุดแล้ว จะไม่ไปเริ่มต้นดูซีรีย์เรื่องใหม่หรอ
ในเมื่อเราไม่เคยหายไป ยังมีเราอยู่เสมอในความเป็นนิรันดร์
บางคนบอกจิตฉันคลายกำหนัดหลุดพ้นจากกิเลสความอยากทั้งปวงแล้ว ไม่อยากดูอะไรแล้วล่ะ ฉันนิพพาน
ใช่ คุณก็ไปนอนไง ไปพักจากการดู นั่นคือนิพพานในความเป็นจริง
แต่ก็อย่างที่บอก ไม่มีใครจะหลับไปตลอดกาล
เพราะเราคือพลังงาน คือการสั่นสะเทือน คือการเคลื่อนที่ คือความรักมิใช่ความกลัว
สิ่งที่พวกเราลืมไปอีกอย่างแต่สำคัญที่สุดคือ ชีวิตประกอบด้วย 3 คุณลักษณะรวมกัน กาย ใจ และวิญญาณ
(ไม่ได้มีแค่ 2 ของนามและรูป, วิญญาณเป็นผู้ที่สร้างทั้งนามและรูปออกมาจากมัน)
สมัยก่อนมนุษย์คิดได้แค่ว่าปัญหาของการเวียนว่ายตายเกิด มันมาจากจิต (จากใจ จากความคิด จากอารมณ์และความรู้สึก)
จะยุติวัฏสงสารก็ต้องไปจบที่จิต ชำระจิต ละอัตตา,ตัณหา,อุปาทาน อะไรก็ว่าไป
แต่พวกเขาไม่รู้เลยเรื่องของดวงวิญญาณ ซึ่งมีอำนาจเหนือระดับของจิตใจอย่างไม่ต้องสงสัย
วิญญาณไม่ใช่แค่ตัวรู้ แต่เป็นทั้งหมดที่สร้างตัวชีวิตนี้ขึ้นมา รวมทั้งทุกสิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตด้วย
วิญญาณเป็นทั้งผู้สร้าง ผู้กำกับ และผู้ดู ในขณะเดียวกัน
สิ่งที่พวกเราเคยรู้เพราะการสั่งสอนสืบทอดกันมา มันยังเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผุดออกมาจากจิตใจ,ความคิด ไม่ใช่จากระดับของวิญญาณ ไม่เลย และไม่เคยแม้แต่จะใกล้เคียง
ความน่าสนใจในการที่ยังไม่รู้ถึงสภาวะสูงสุดของพวกเราตอนนี้คือ
แล้วอะไรคือความจริงของชีวิตเราจากความคิดของตัวเราเองล่ะ มีไหม?
ความจริงที่งดงามที่สุดของเรา
ซึ่งไม่ใช่เพราะถูกบอกให้ต้องเชื่อน่ะ เราจะเลือกเชื่อในอะไร?
ภาพยนตร์มันมีจุดประสงค์เพื่อความบันเทิง ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นการแสดงพวกเราก็ยังรักมัน สุขและทุกข์ไปกับมัน
ส่วนลักษณะของปัญญาที่มาจากวิญญาณนั้นจะแสดงออกมาในนิยามของรักสมบูรณ์แบบเสมอ
ไม่บอกให้มองชีวิตเป็นความทุกข์
ไม่บอกให้กลัวการมีชีวิต
แต่บอกสอนให้รักทุกสิ่งที่ชีวิตมอบให้
เราสามารถมาเกิดเพื่อรับบทบาทเดิมซ้ำๆ เหมือนที่เราทำกับการดูภาพยนตร์เรื่องโปรด
ใช่รวมทั้งการเลือกผู้แสดงสมทบก็เช่นกัน (ที่มีคำว่าบุพเพสันนิวาสก็เพราะจากการเลือกนี้)
เราสามารถจะเลือกช่วงเวลาและสถานที่เกิด เหมือนที่เราเลือกได้ว่าจะดูภาพยนตร์ในเวลาและสถานที่ไหน
เราสามารถที่จะเลือกเนื้อเรื่องของชีวิตเพื่อรวบรวมความรู้ใหม่ๆ เหมือนที่เราเลือกได้ว่าจะดูภาพยนตร์แนวใดเพื่ออะไร
ทั้งหมดที่เราเห็นในจักรวาลนี้และจักรวาลอื่นๆล้วนเป็นการแสดง เป็นภาพมายา
ไม่มีนักแสดงคนไหนที่ต้องถูกกฏหมายลงโทษในบทบาทที่เขาเล่น ก็มันไม่ใช่เรื่องจริง!
ดังนั้นโปรดเลิกเชื่อเรื่องนรก,เรื่องบาปเวรข้ามภพชาติเสียด้วยเถิด มันไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับการเรียนรู้เหตุผลของการมีชีวิต
ความกลัวจะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน นี่ต่างหากคือกฎของจักรวาล
ซึ่งเพราะความกลัวไม่เป็นผลดีต่อจิตใจและพลังงานลบที่ส่งออกไปจะวนกลับมาที่ตัวเองในรูปของประสบการณ์
คำถามที่ว่าไอ้เรื่องแย่ๆทั้งหลายที่เกิดกับชีวิตเราและกับที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มันไม่ได้ทุกข์อย่างนั้นเหรอ?
กายและใจในมายาสมมุติจะเป็นทุกข์น่ะใช่ แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น (โอ้ พวกเรารู้วิธีจัดการกับมันดีอยู่แล้วล่ะ)
ไม่ได้ทุกข์กับวิญญาณซึ่งเป็นผู้ดูและตระหนักรู้ว่ามันเป็นใคร เป็นอะไร เป็นสิ่งใด
สิ่งที่วิญญาณต้องการจากเราในขั้นสุดท้ายหลังจากที่รวบรวมทุกสภาวะจิตไว้จนครบถ้วนแล้ว
คือการมองเห็นชีวิตด้วยมุมมองเดียวกันกับมัน ซึ่งนั่นคือกระบวนการวิวัฒน์ของเราล่ะ
มองด้วยสายตาของความรักบริสุทธิ์ ตอบสนอง และแสดงออกอย่างสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับเจตจำนงของวิญญาณ
นี่คือสภาวะสูงสุด, จิตสำนึกสูงสุด ตามความหมายที่แท้จริง
(ใช่ มันยังเป็นนิยามของคำว่าจิตประภัสสร,จิตเดิมแท้,และพระเจ้า)
1
โลกกำลังสอนให้พวกเราคิดบวก มองปัญหาให้เป็นโอกาส
ไม่ใช่ให้คิดลบแล้วพยายามจะหนีจากมันเหมือนเช่นอดีต
ตอนนี้พวกเราคิดกับละครซีรีย์ของตัวเองแบบไหน?
มองมันเป็นอย่างไร?
จะรักหรือจะกลัว จะขอบคุณหรือจะประณาม จะรังสรรค์หรือจะละทิ้ง
ชีวิตคือผลรวมของความคิดที่เรามีต่อมัน สิ่งใดที่เราเชื่อมันจะกลายเป็นความจริงสำหรับเรา
ชีวิตจะสุขหรือจะทุกข์ก็เริ่มต้นจากตรงนี้
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่กับการมาเกิดที่นี่ นั่นคือผลของความคิดจิตใจในมายามนุษย์
ซึ่งไม่ได้มีผลอะไรกับการเลือกจากจิตปัญญาของวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นขอให้สนุกกับการชมละครนี้ร่วมกับวิญญาณของตนเถิด ขอบคุณครับ.
บันทึก
5
5
1
5
5
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย