14 พ.ย. 2022 เวลา 12:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ
กรณีศึกษาหุ้น MORE ทำธุรกิจอะไร ก่อนจะมีวันนี้
ช่วงนี้กระแสหุ้นที่ร้อนแรงที่สุด คือ หุ้น MORE
แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า กว่าจะมาเป็นหุ้น MORE มีประวัติความเป็นมาอย่างไร บริษัทเคยทำธุรกิจอะไรมาก่อน
เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ...
แต่เดิม MORE มีชื่อเดิมว่า "ดีเอ็นเอ 2002" ทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าโฮมเอนเตอร์เทรนเมนท์ ภาพยนตร์ และเพลง เช่น เทป ซีดี วีซีดี ดีวีดี หนังสือ วารสาร ภายใต้ชื่อร้านค้า DNA ENJOY EVERYDAY ซึ่งมีจุดจำหน่ายมากกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ
บริษัทมีรายได้หลักจากการขายสื่อภาพยนตร์ และเพลงเป็นหลัก จนกระทั่งปี 2555 ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI โดยเสนอขาย IPO ให้กับประชาชนจำนวน 80 ล้านหุ้น ที่ราคา 1.90 บาทต่อหุ้น โดยมีราคาพาร์ที่ 0.5 บาทต่อหุ้น
การเปิดซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นร้อนแรง +1.62 บาท หรือคิดเป็น 86% ภายในวันเดียว ไปทำจุดสูงสุดที่ 3.52 บาทต่อหุ้น
บริษัทได้เงินจากการเพิ่มทุนไปกว่า 300 ล้านบาท โดยมีจุดประสงค์เพื่อการขยายสาขา ในห้าง Modern Trade พร้อมกับการหาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ
ในปี 2556 DNA ได้รุกธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเข้าซื้อกิจการ "มิสเตอร์บัน" ก่อนที่จะขายธุรกิจออกไปในช่วงกลางปี 2561
ในปี 2558 DNA ได้ร่วมมือกับ CTH เปิดธุรกิจ "Primetime" ผู้ให้บริการดูหนังและซีรีส์ออนไลน์แบบออนดีมานด์ระดับพรีเมียมที่ถูกลิขสิทธิ์จาก 6 ค่ายใหญ่ของฮอลลีวู้ด หนังฝรั่งอื่่นๆ หนังไทย หนังเกาหลี
ในปี 2560 DNA มีความพยายามในการปรับเปลี่ยนจากธุรกิจสื่อโฮมเอนเตอร์เทรนเมนท์ มาเป็นธุรกิจจำหน่ายสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริม ภายใต้ชื่อ "คิงคอง โฟน" โดยปัจจุบันมี 36 สาขา งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท
ในปลายปี 2561 DNA มีธุรกิจหลักจากการขายโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์ คิงคอง โฟน ในการดูแลของบริษัทย่อย บริษัท ดีเอ็นเอ รีเทล ลิ้งค์ จำกัด หรือ DNL ได้ตัดสินใจขายธุรกิจหลักออกไป เป็นเงินกว่า 168 บาท ให้กับบานาน่า กรุ๊ป
DNL มีสัดส่วนรายได้หลักให้กับ DNA สูงถึง 87% เมื่อขายธุรกิจหลักออกไป ทำให้ DNA มีสินทรัพย์ทั้งหมดในรูปของเงินสด และมีความเสี่ยงที่จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ อีกทั้งธุรกิจใหม่ก็ยังมีแน่ชัด
แน่นอนว่า ราคาหุ้นตอบรับในเชิงลบ โดยร่วง "ติดฟลอร์" -30% จากราคา 0.23 บาท เหลือเพียง 0.09 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับมาซื้อขายบริเวณ 0.25 บาท
DNA แสดงความคิดเห็นว่าการทำธุรกิจขายมือถือแข็งขัดดุเดือด กำไรน้อย ใช้เงินลงทุนสูง จึงขายธุรกิจออกไปมูลค่า 168 ล้านบาท และนำเงินมาทำธุรกิจ "ประหยัดพลังงาน"
... โดย DNA จะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งเครื่องประหยัดพลังงานเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ติดให้กับโรงงานอุสาหกรรม โรงพยาบาล ออฟฟิศให้เช่า ห้างสรรพสินค้า ที่ต้องการประหยัดพลังงาน
โดย DNA จะคิดส่วนแบ่ง 50% ของค่าไฟฟ้าที่ลดลง เป็นรายเดือน ซึ่งบริษัทมั่นใจว่า รายได้ดี มาร์จิ้นสูง และความเสี่ยงก็ยังต่ำ ...
ต่อมาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อใหม่จากริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จํากัด (มหาชน) หรือ DNA มาเป็น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ในชื่อย่อว่า "MORE"
โดยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก ประกอบไปด้วย
1. ธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน (Energy Saving)
และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานทดแทน (Renewable Energy)
2. ธุรกิจวางระบบน้ำประปาเพื่อบริหารจัดการน้ำประปาบนเกาะเสม็ด
3. ธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
โดยผลประกอบการที่ผ่านมา
ปี 2561 บริษัทมีรายได้ 62.54 ล้านบาท กำไรสุทธิ 115.82 ล้านบาท
ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 40.31 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 15.77 ล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 42.27 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 47.22 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 143.73 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.15 พันล้านบาท **
ปี 2565 บริษัทมีรายได้ไตรมาส 3 อยู่ที่ 21.39 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 6.83 ล้านบาท
ผลประกอบการ 9 เดือน อยู่ที่ 90.87 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.15 ล้านบาท
โดยคำอธิบายผลประกอบการ แยกสัดส่วนผลประกอบการออกเป็น ...
1. ธุรกิจส่วนงานบริการ สัดส่วนรายได้ 38%
2. ธุรกิจงานสาธารณูปโภค สัดส่วนรายได้ 53%
3. ธุรกิจซื้อมาขายไป สัดส่วนรายได้ 9%
ในช่วงปี 2563 บริษัทได้รุกธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ จำหน่ายและพัฒนาสมุนไพรไทย ภายใต้แบรนด์ "การบูร"
และธุรกิจแร่กรองน้ำไพโรลูไซต์ (Pyrolusite) โดยแหล่งเงินทุนมาจากการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ มีปัญหาไม่มาเพิ่มทุนตามเวลานัดหมายทำให้โครงการนี้ต้องถูกเลื่อนออกไป
ต่อมาในปี 2564 บริษัทมีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ขายบริษัทย่อยบางส่วนออกไป เช่น ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหันไปลงทุนในธุรกิจ กัญชา กัญชง ใบกระท่อม รวมถึงขายสารกรองน้ำแร่ไพโรลูไซต์
จากธุรกิจขายสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ สู่ร้านเบเกอร์รี่ ตลอดจนทำธุรกิจ Video On Demand ก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น MORE ดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะไปในแนวทางไหน
แต่จากประเด็นที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
นักลงทุนต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดครับ ....
โฆษณา