14 พ.ย. 2022 เวลา 15:30 • ข่าวรอบโลก
อินโดนีเซียทำได้! ผู้นำอินโดฯ เก่ง สามารถผลักดันเวที G20 ให้มหาอำนาจโลกอย่าง Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ Xi Jinping ประธานาธิบดีจีนมาพบปะกันได้
ถือเป็นการพบปะกันครั้งแรกของทั้งสองฝ่าย การประชุมหารือกันยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ผู้นำต่างให้คำมั่นว่าจะทำงานในประเด็นที่สำคัญระดับโลกร่วมกัน Biden กล่าวว่า เขาให้คำมั่นว่า จะรักษาระยะการพูดคุยของทั้งสองฝ่ายให้เปิดกว้างในระดับรัฐบาล ไม่ใช่แค่หารือในระดับบุคคลเท่านั้น เพราะทั้งสองประเทศต่างก็มีโอกาสมากมายที่จะต้องทำการเจรจาตกลงร่วมกัน
1
Biden ระบุว่า โลกต่างคาดหวังให้สองประเทศทำงานร่วมกัน เพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ หรือจะเป็นเรื่องความไม่มั่นคงทางอาหาร สหรัฐฯ พร้อมที่จะยืนหยัดทำงานร่วมกับจีน ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จีนปรารถนา
ขณะที่จีนภายใต้การนำของ Xi Jinping ระบุว่า จีนเองก็ต้องการทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เช่นกัน จีนพร้อมที่จะสานสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ให้เข้าที่เข้าทาง พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีและมีเสถียรภาพ เพื่อสานประโยชน์ให้กับทั้งสองประทศและโลก Xi กล่าวว่า สถานการณ์ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนั้นยังไม่สานประโยชน์ของทั้งสองชาติเท่าที่ควร ยังไม่ใช่สิ่งที่ประชาคมโลกคาดหวังนัก
รัฐบุรุษควรจะคิดและทำให้ทิศทางในการพัฒนาประเทศมีความชัดเจน ไปกันได้ดีกับโลกและประเทศอื่นๆ ประชาคมโลกคาดหวังให้จีนและสหรัฐฯ สามารถจัดการความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งจีนและสหรัฐฯ ควรใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกสะท้อนเพื่อนำทางไปสู่อนาคต จีนมองว่า การติดต่อสื่อสารของผู้นำทั้งสองประเทศนี้ ไม่ว่าจะด้วยการประชุมแบบวิดิโอ หรือโทรศัพท์ หรือแม้แต่ทางจดหมาย ทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนการพูดคุยแบบพบเจอหน้ากันได้
Xi กล่าวว่า จีนและสหรัฐจำเป็นต้องทำงานร่วมกันกับทุกประเทศในโลกเพื่อนำพาความหวังให้โลกมีสันติภาพมากขึ้น มีความมั่นใจในสเถียรภาพโลกจากการพัฒนาร่วมกันมากขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องไต้หวันนั้น จีนระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น มีสิ่งสำคัญที่ไม่ควรล้ำเส้นกัน ความแตกต่างกันทั้งในทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และระบบทางสังคมไม่ควรเป็นอุปสรรคในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ
หลังการประชุมต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมง ทำเนียบขาวระบุว่าสหรัฐอเมริกายังยึดมั่นนโยบายจีนเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำฝ่ายเดียวที่จะทำให้สถานะของทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงไป โลกมีผลประโยชน์ที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันไว้ สหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่มีลักษณะรุกรานไต้หวัน เพราะมันบั่นทอนสันติภาพและเสถียรภาพทั้งในไต้หวัน ภูมิภาค และบั่นทอนความมั่งคั่งของโลกไปพร้อมๆ กัน
ประเด็นไต้หวัน
สี จิ้นผิง ยืนยันว่า สหรัฐฯ ไม่ควรล้ำเส้นจากหลักการเดิมที่เคยยึดถือมาตลอด ด้านสหรัฐฯ เองก็ยืนยันว่ายังเคารพนโยบายจีนเดียวต่อไป แต่ก็ไม่เห็นด้วยหากจีนจะมีท่าทีก้าวร้าวรุกรานไต้หวัน เพราะมันสั่นคลอนเสถียรภาพที่ไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ไต้หวันและภูมิภาคใกล้เคียง แต่กระทบต่อทั้งโลก
ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์
สหรัฐฯ ยังแสดงท่าทีกังวลที่เกาหลีเหนือมักจะแสดงพฤติกรรมปลุกปั่น สร้างความไม่สงบให้กับประชาคมโลก ด้วยการแสดงแสนยานุภาพด้านอาวุธนิวเคลียร์อยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้จีนก็แสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับท่าทีเช่นนั้นเหมือนกัน ขณะเดียวกัน จีนก็ไม่เห็นด้วยกับการนำอาวุธนิวเคลียร์มาขู่ คุกคาม หรือนำออกมาใช้ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะที่เกาหลีเหนือ แต่รวมถึงในยูเครนด้วย ไม่มีใครเห็นด้วย และไม่ควรนำมาข่มขู่คุกคามกัน
โฆษณา