15 พ.ย. 2022 เวลา 08:20 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
ตอนที่ 84 อิสรภาพแผ่นดินแม่..
เช้าวันที่ 15 กันยายน 2555
เช้านี้มีโทรศัพท์จากสายข่าวในเรือนจำของพม่าโทรมาหาผม
“อีกสามวันทางการพม่าจะปล่อยคนไทยกลับมาก่อน 83 คน ส่วนอีก 9 คนที่เหลือต้องรอขึ้นศาลก่อนแล้วจะปล่อยตัวกลับ “ปลายสายบอกกับผมถึงข่าวคราวความเหลื่อนไหวจากทางฝ่ายพม่า ที่ผ่านมาเกือบสามเดือนตั้งแต่คนไทยโดนคุมขังในเรือนจำ 9 ไมล์ของพม่า ทางการไทยไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมก็มีสายข่าวภายในเรือนจำของพม่าเพื่อติดตามความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั้งหมด
ข่าวสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของชาวบ้านคนไทยในเรือนจำ เรื่องราวของผมที่ถูกออกข่าวทุกช่องทีวีในฝั่งไทย
หรือแม้แต่การที่เจ้าหน้าที่ไทยไปพูดยุยงกับชาวบ้านให้เอาผิดกับผมให้จงได้โดยพยายามบอกกับผู้ต้องขังคนไทยทั้งหมดว่าผมคือต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ก็ถูกรายงานผ่านสายข่าวของผมที่เป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำคนนึงอย่างลับๆ
ข่าวการที่ทางการพม่าจะปล่อยคนไทยกลับถูกกระจายไปสู่ชาวบ้านอย่างรวดเร็วจนไปเข้าหูฝ่ายเจ้าหน้าที่ไทย
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ถ้ามีการปล่อยตัวคนไทยกลับมาผมต้องรู้ก่อนไอ้ทรายสิ”
เจ้าหน้าที่พยายามบอกกับชาวบ้านจำนวนมากที่เดินทางมาสอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับการการปล่อยคนไทยที่ถูกคุมขังในเรือนจำของพม่ากลับมายังประเทศไทย
“คนมันมีความผิด มันต้องดิ้นเป็นธรรมดา ถ้าคนไทยทั้งหมดถูกปล่อยกลับมาเมื่อไหร่ ผมขอให้ทุกคนไปแจ้งความเอาผิดกับมัน แล้วผมจะลากคอมันมาเข้าคุกเอง” เจ้าหน้าที่ไทยยังคงคิดว่าคงต้องมีใครสักคนที่แจ้งความเอาผิดผม เพราะปักใจเชื่อว่าผมคือตัวการหลอกพวกชาวบ้านเข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวาง
ที่ผ่านมาเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปเยี่ยมคนไทยในเรือนจำก็มักจะพูดถึงผมในแง่ร้ายต่างๆโดยที่ชาวบ้านไม่ได้พูดอะไรตอบ เพราะต่างก็รู้กันดีว่าตัวผมเป็นคนเช่นไร
“เพื่อความสบายใจ วันที่ 18 กันยานี้ผมและท่านทูตจะเข้าไปเยี่ยมพี่น้องคนไทยทั้งหมดที่เรือนจำในพม่า ใครจะฝากของเยี่ยมอะไรก็ขอให้นำมาให้เจ้าหน้าที่และเขียนชื่อคนที่จะมอบให้ด้วย วันนี้ขอให้แยกย้ายกลับบ้านกันไปก่อน หากสงสัยอะไรก็ขอให้โทรหาเจ้าหน้าที่ อย่าไปโทรหาไอ้ทราย”เจ้าหน้าที่บอกกับชาวบ้านที่ต่างมาสอบถามข่าวคราว
จากนั้นชาวบ้านทั้งหมดก็ทยอยกันกลับ
……………
วันที่ 18 กันยายน 2555 ณ.ท่าเรือด่านศุลกากรจังหวัดระนอง
วันนี้เจ้าหน้าที่ไทยหลายคนรวมถึงผู้การและท่านทูตกำลังเดินลงเรือเร็วเพื่อไปเยี่ยมคนไทยทั้งหมดในเรือนจำของพม่า
แต่วันนี้กลับมีชาวบ้านจำนวนมากเดินทางมาที่ท่าเรือแห่งนี้จนผิดสังเกต
“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าทางผมจะให้เจ้าหน้าที่รีบโทรศัพท์แจ้งไปทันที วันนี้กลับบ้านกันก่อนนะครับ ไม่ต้องอยู่รอเจ้าหน้าที่” เจ้าหน้าที่คนนึงพูดกับชาวบ้านเพราะคิดว่าชาวบ้านคงจะมารอสอบถามข่าวคราวของญาติตนเองหลังจากเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้เดินทางกลับมายังประเทศไทยในตอนเย็น
เมื่อเรือเจ้าหน้าที่แล่นออกไปสักพักผมและกุ้งซึ่งตอนนี้ท้องได้แปดเดือนก็เดินทางมาถึงท่าเรือแห่งนี้เช่นกัน
ผมจอดรถบริเวณถนนหน้าท่าเรือแล้วเดินเข้าไปหาชาวบ้านจำนวนหลายสิบคนซึ่งตอนนี้พานั่งหลบร้อนใต้ตึกของท่าเรือแห่งนี้
ขณะที่ผมเดินเข้าไปหาชาวบ้านสายตาผมก็ไปเห็นทหารหลายคนพากันชี้ให้ทหารคนอื่นๆหันมามองผมเป็นจุดเดียว
“ไอ้ตัวร้ายมันไปแล้วเหรอ “ผมถามชาวบ้านถึงทหารคนหนึ่งซึ่งทุกคนรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร
"เรือออกไปได้สักพักแล้วแหละ ว่าแต่ทรายแน่ใจนะว่าชาวบ้านจะถูกปล่อยตัวกลับมาในวันนี้ เพราะทางทหารเขาบอกยังไม่รู้เรื่องเลย” ชาวบ้านบางคนดูยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องข่าวที่ผมบอกเพราะทางทหารปฏิเสธอย่างหนักแน่นเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เชื่อหัวไอ้ทรายสิ ตอนนี้พวกพี่น้องเราในเรือนจำของพม่าเขาเก็บผ้ารอแล้ว ไม่เชื่อก็คอยดูก็แล้วกัน” ผมบอกกับชาวบ้านในขณะที่มองไปยังทหารที่กำลังมองมาทางผมและซุบซิบอะไรบางอย่าง
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมง จู่ๆมีทหารนายนึงวิ่งเข้ามาบอกกับชาวบ้านว่า”เมื่อกี้ผู้การโทรมา บอกว่าวันนี้คนไทยถูกปล่อยกลับมาแล้ว ตอนนี้ทางการไทยกำลังให้เรือลำใหญ่ 2 ลำข้ามไปรับ
เสียงเฮของชาวบ้านดังลั่นท่าเรือ บางคนวิ่งเข้ามากอดผม บางคนโทรหาญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัดเพื่อแจ้งข่าวดีให้ได้ทราบ
จากนั้นไม่ถึงชั่วโมงก็มีชาวบ้านและนักข่าวต่างเดินทางมาที่ท่าเรือแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
ผมบังเอิญได้ยินทหารคุยกันว่า ”ทำไมชาวบ้านมากันเร็วจังวะ” เพราะโดยปกติชาวบ้านพวกนี้มาจากต่างจังหวัดซึ่งใช้เวลาเดินทางอย่างต่ำ3-5 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงท่าเรื่อแห่งนี้
"เนี่ยเราก็ได้ข่าวมาหลายวันแล้ว ทหารบอกเราว่าเขาจะปล่อยคนไทยกลับวันนี้"เสียงของชาวบ้านผู้หญิงที่ชื่อกานดาซึ่งอาศัยอยู่แถวปากจั่นพูดขึ้นมาทำให้ผมกับกุ้งหันไปมอง
"เจอตัวแล้ว กูขอตบสักทีเถอะ"กุ้งภรรยาของผมพูดพลางจะเข้าไปตบผู้หญิงคนนั้นเนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีชาวบ้านคนไหนให้สัมภาษณ์นักข่าวเรื่องในหมู่บ้านอินทนิลขวางเลยสักคน ทหารก็เลยนำผู้หญิงคนนี้มาให้นักข่าวให้สัมภาษณ์โดยเธอได้ให้ข่าวใส่ร้ายผมไม่หยุดหย่อนทั้งที่เธอเองก็ไม่เคยเข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวางหรือรู้จักกับผมเลย
"อย่าๆ ชาวบ้านเยอะอย่าไปทำเขาเลย"ผมห้ามกุ้งภรรยาของผมพลางดึงมือเธอไว้
"ทำไม คิดว่าชาวบ้านจะช่วยมันเหรอ ปากแบบนี้น่าจะโดนส้นตีน"กุ้งพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
"ถ้าเธอไปทำเขา ชาวบ้านทั้งหมดก็ไปกระทืบด้วยแน่ๆเดี๋ยวจะวุ่นวายไปเปล่าๆ ปล่อยให้ตายเองเถอะปากแบบนี้ ใจเย็นๆนึกถึงลูกในท้องไว้"ผมบอกกับกุ้งให้เธอใจเย็น
"เออ กูคลอดเมื่อไหร่มึงเจอกูแน่"กุ้งชี้หน้าตะโกนด่าจนผู้หญิงคนนั้นต้องเดินหนีไป
"ตบเลยมั๊ย"ป้านงค์เดินมาถามกับกุ้งเมื่อเห็นเธอเอะอะโวยวาย
"โธ่ป้านงค์ช่วยกันห้ามก่อน"ผมบอกกับป้านงค์เพราะไม่คิดว่าป้านงค์จะมายุให้มีเรื่อง
"นี่ถ้าไม่ติดว่าแก่นะจะตบให้ดูก่อนเลย"ป้านงค์บอกกับผมพลางมองหาผู้หญิงคนนั้นซึ่งตอนนี้ได้เดินหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว
เวลาประมาณบ่ายสองโมงมีรถตู้ของทหารคันนึงเข้ามาจอดภายในท่าเรือแห่งนี้ ดูท่าทางบุคคลที่โดยสารมากับรถตู้คันนี้ยศคงจะสูงเพราะมีทหารวิ่งมาเข้าแถวทำความเคารพกันทั้งหมด
สักพักทหารที่นั่งในรถตู้ก็ออกมารับฟังรายงานของทหารจากนั้นก็เดินมาทักทายชาวบ้านและเดินผ่านมาทางที่ผมยืนอยู่
“สวัสดีครับมาจากไหนกันบ้างเนี่ย”นายทหารคนหนึ่งถามชาวบ้านที่ยืนคุยกับผม
“สุราษฎร์ครับ”เสียงชาวบ้านตอบกลับไป
“กระบี่ครับ” เสียงพี่เทืองซึ่งยืนใกล้ผมตอบกลับไป
เป็นเวลาสามเดือนกว่าที่พี่ตุ๊กภรรยาของพี่เทืองถูกทหารพม่าจับตัวไปพร้อมกับตาจงและพี่นิตน้องชายของเขา
วันนี้พี่เทืองจะได้พบหน้าภรรยาของเขาหลังจากที่ตั้งตารอทุกวัน
“เดินทางมาไกลเหมือนกันนะครับ”เสียงนายทหารคนนั้นทักทายกับพี่เทืองอย่างอารมณ์ดี
“แล้วคนนี้......อ๋อผมรู้จักแล้ว”นายทหารคนทำท่าจะทักทายผมแล้วเหมือนนึกขึ้นได้จากนั้นก็รีบเดินผ่านผมไปโดยไม่พูดอะไรต่อ
“มันไปรู้จักกูตอนไหนวะ” ผมพูดเบาๆกับตัวเอง แต่ก็นึกได้ว่าเรื่องผมคงดังไปทั้งประเทศแล้วมั้ง ก็คงไม่แปลกที่ทหารในประเทศนี้จะมีข้อมูลของผม ยังไม่นับข่าวทีวีหนังสือพิมพ์ที่ออกทุกช่องอีก
เวลา 14.00 น.
มีรถบัสของทหารมาจอดที่หน้าท่าเรือและหลังจากนั้นอีกไม่ถึงสิบนาทีก็มีรถบรรทุกของทหารจำนวนสองคันมาจอดต่อหลังจากรถบัสของทหาร
จากนั้นทหารจำนวนหลายสิบนายต่างกระโดดลงมาจากรถบรรทุกทั้งสองคันและมาเข้าแถวกันบริเวณถนนบนท่าเรือทั้งสองฝั่ง
“เรือกำลังจะเข้าเทียบเท่า ขอให้พี่น้องทุกคนถอยห่างจากแนวกั้นของทหารด้วยนะครับ”
เสียงของทหารคนหนึ่งใช้โทรโข่งบอกให้พวกเราให้ถอยห่างจากถนนโดยมีพลทหารหลายสิบนายยืนจับมือเป็นแนวกำแพงมนุษย์กั้นพวกเราไว้โดยมีผมเป็นคนที่ยืนใกล้กับท่าเรือที่สุด
เวลาผ่านไปไม่นานมีเรือโดยสารขนาดใหญ่จำนวน 2 ลำแล่นช้าๆเข้ามาเทียบท่า
คนแรกที่เดินขึ้นมาจากเรือคือผู้การซึ่งเคยออกคำสั่งให้จับตัวผม เมื่อผู้การมองเห็นผมก็หยุดชะงักและเดินเลี่ยงไปทางอื่น ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มองมาเป็นตาเดียว
สักพักก็มีพี่ตุ๊กภรรยาของพี่เทืองเดินขึ้นจากเรือเป็นคนแรกโดยสวมชุดนักโทษสีน้ำเงินเข้มแต่นุ่งผ้าถุงแบบผู้หญิงภาคใต้แบบปกติ
แต่ที่ไม่ไม่ปกติคือที่คอของพี่ตุ๊กมีสร้อยทองเส้นใหญ่เหลืองอร่ามที่พี่ตุ๊กชอบใส่เดินโชว์ในหมู่บ้านอินทนิลขวางเป็นประจำจนได้ฉายาว่า”ร้านทองในป่าใหญ่”
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตอนที่ทหารพม่าเข้าโจมตีหมู่บ้านอินทนิลขวางนั้น ทหารพม่าได้ปล้นเอาทรัพย์สินของชาวบ้านไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเงินสดหรือทองคำไม่เหลือไว้แม้แต่ช้อนกินข้าวสักคัน
“นั่นทรายนี่นา” เสียงพี่ตุ๊กตะโกนดังลั่นและพยายามจะวิ่งเข้ามาหาผมแต่ติดทหารที่ยืนจับมือกั้นเอาไว้ จึงทำได้แต่จับมือของผมผ่านตัวของทหารที่ยืนขวางอยู่
"ทำไมทองยังอยู่อ่ะพี่ตุ๊ก” ผมตะโกนถามไปเพราะอยากรู้จริงๆ
"พี่เอาแอบไว้ในยกทรงสิน้อง มันเลยไม่กล้าค้น”เสียงพี่ตุ๊กพยายามตะโกนคุยกับผมหลังจากโดนทหารบังคับให้เดินไปขึ้นรถบัสของทหารที่จอดรออยู่โดยที่ยังไม่ได้พบกับญาติที่มารอกันตั้งแต่เช้า
“น่าสงสารเขานะ” เสียงลุงสิงห์พูดกับผมพร้อมชี้ให้ผมดูผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกปล่อยตัวกลับมา
“ใครเหรอครับ” ผมถามลุงสิงห์กลับไปเพราะผมรู้สึกไม่คุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นเลย
“กิ๊กของ ผอ.โรงเรียนแถวบ้าน วันนั้นดันเข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวางกับ ผอ. เห็นว่าไปดูที่ดินของตาจงมั้งแล้วโดนทหารพม่าจับตัวไปทั้งหมด” เสียงลุงสิงห์อธิบายอย่างอารมณ์ดี
“แล้ว....”. ผมยังคงสงสัยต่อ
“โน่นเมียของ ผอ. มายืนรอรับผัว” ลุงสิงห์ชี้ให้ผมดูผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังยืนมองหาใครบางคนด้วยท่าทางกระวนกระวายหลังแนวกั้นของทหาร
ผมได้แต่อุทานเบาๆ”ชิปหายแน่ๆ”
หลังจากนั้นชาวบ้านทั้งหมดที่ถูกปล่อยตัวมาจากเรือนจำของพม่าก็เดินขึ้นไปรถบัสทหารทั้งสองคันโดยที่ไม่มีโอกาสพบหรือพูดคุยกับญาติที่ต่างเดินทางมารอรับกันตั้งแต่เช้า
จากนั้นรถบัสของทหารทั้งสองคันก็ขับพาชาวบ้านคนไทยทั้ง 83 คนไปสู่ค่ายทหารทันที
โดยมีผมกับกุ้งและชาวบ้านที่มารอรับทั้งหมดขับรถยนต์ตามไป
ที่ค่ายทหารชาวบ้านทั้งหมดที่ถูกปล่อยตัวกลับมาจะถูกตรวจสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและถูกเสียค่าปรับจากเจ้าหน้าที่ตม.อีกคนละ 980 บาท
ในข้อหา”ออกนอกประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาต”
“ก็ทหารพม่ามันจับกูไป กูต้องไปขออนุญาตใครวะ”เสียงชาวบ้านบ่นอย่างหัวเสียหลังจากกลับมาถึงแผ่นดินไทยได้ไม่นานก็ต้องมาเสียเงินอีกทั้งที่พวกเขาต่างโดนทหารพม่าปล้นไปจนหมดตัวแล้ว
หลังจากเสียค่าปรับโดยที่ญาติพี่น้องของชาวบ้านเป็นคนจ่ายให้แล้ว
ชาวบ้านทั้งหมดจะถูกแยกมาสอบสวนโดนเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ
โดยชาวบ้านทั้งหมดจะถูกถามว่า...
รู้จักกับผมมั้ย,ใครเป็นคนชักชวนเข้ามาในหมู่บ้านอินทนิลขวางและผมมีไร่กัญชาหรือไม่..!!!
โดยเจ้าหน้าที่จะนำรูปถ่ายขนาดใหญ่ของผมมาให้ชาวบ้านที่ถูกสอบสวนทุกคนดูและให้ชี้ยืนยันว่าชาวบ้านทุกคนถูกผมหลอกเข้าไปซื้อที่ดินในหมู่บ้านอินทนิลขวาง
หลังจากการสอบสวนผ่านไปจนเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ไม่มีชาวบ้านคนใดให้ข้อมูลหรือยืนยันว่าผมเป็นคนชักชวนพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านอินทนิลขวาง
เพราะความจริงชาวบ้านที่ถูกทหารพม่าจับตัวไปทั้งหมดนั้นมีเพียงพี่สิทธิ์เพียงคนเดียวที่มาซื้อที่ดินกับผม
แต่พี่สิทธิ์ก็ไม่เคยปริปากพูดอะไรออกมา..
“มันยืนท้าทายอยู่โน่น นี่ถ้ามีใครสักคนกล้ายืนยันว่าโดนมันหลอกนะ กูจะจับมันเข้าคุกคืนนี้เลย”เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งนั่งพูดกับเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์โดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกับผม
หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนเสร็จก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนเจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวชาวบ้านทั้ง 83 คนกลับบ้าน
ผมมีเวลาทักทายทุกคนได้ไม่นานนักเพราะกุ้งภรรยาของผมท้องโตได้ 8 เดือนกว่า ผมจึงต้องรีบพากุ้งกลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อน
ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆก็แยกย้ายกันกลับบ้านในกลางดึกคืนนั้น
เดือนต่อมากุ้งก็คลอดลูกชายออกมาซึ่งผมตั้งชื่อลูกชายของผมว่ากัมปนาถ
"เอาให้ดังกว่าพ่อนะลูก"ผมบอกกับลูกชายของผมอย่างภูมิใจ
ผ่านไปอีกเกือบเดือนขณะที่ผมกำลังเลี้ยงลูกชายอยู่ที่บ้านนั้นก็มีโทรศัพท์จากเรือนจำของพม่าโทรมาแจ้งผมว่าชาวบ้านที่ยังถูกขังอยู่ที่เรือนจำของพม่ากำลังจะถูกปล่อยตัวกลับมาอีก 7 คน
ผมจึงโทรบอกข่าวนี้กับชาวบ้านเพื่อจะได้ไปรับพวกเขาที่ท่าเรือ
หลังจากนั้นเพียงวันเดียวข่าวนี้ถูกระจายออกไปอย่างรวดเร็วจนชาวบ้านบางส่วนได้เข้าไปถามกับเจ้าหน้าที่เพราะไม่เห็นว่าทางเจ้าหน้าที่มีการส่งข่าวหรือเตรียมการที่จะรับคนไทยทั้ง 7 คนกลับมาเลย
“ไม่มีทางหรอก ถ้าชาวบ้านที่เหลือถูกปล่อยตัวกลับมา ทางเจ้าหน้าที่ต้องรู้ก่อนไอ้ทราย คนมันดิ้นน่ะ มันกลัวพวกคุณจะแจ้งความมันกลับสิ มันถึงได้บอกพวกคุณไปมั่วๆ”เจ้าหน้าที่บอกกับชาวบ้านเพราะไม่เชื่อว่าข่าวที่ชาวบ้านรับรู้มาจะเป็นความจริง
“แต่ พวกเรามั่นใจนะ คราวก่อนทรายก็บอกพวกเราว่าทางพม่าปล่อยตัวคนไทยกลับมา”ชาวบ้านคนหนึ่งยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่
“ไอ้ทรายมันเป็นคนบอกพวกคุณเหรอ งั้นเดี๋ยวผมเช็คข่าวให้”เจ้าหน้าที่บอกกับชาวบ้านก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออกไป
“คุณเช็คกับทางพม่าให้หน่อยสิ เห็นว่ามีข่าวออกมาว่าคนไทยจะถูกปล่อยตัวกลับมาเดือนหน้า”เจ้าหน้าที่โทรหาใครบางคน
“เขาบอกว่าคนในเรือนจำของพม่าโทรมาบอก อืมเช็คด่วนเลยนะ”เจ้าหน้าที่บอกกับปลายสายก่อนที่จะวางโทรศัพท์
“พวกคุณกลับกันไปก่อนนะ มีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวทางเราจะโทรไปแจ้งเอง เชื่อเจ้าหน้าที่นะครับ อย่าไปเชื่อมิจฉาชีพ”เจ้าหน้าที่บอกกับชาวบ้าน
วันต่อมาสายของผมในเรือนจำของพม่าก็โทรมาโวยวาย
“พวกคุณทำอะไรกัน รู้มั๊ยทางเรือนจำที่นี่เขารู้แล้วนะว่ามีคนไทยโทรออกไปจากเรือนจำได้ พวกผมโดนค้นตัวหาโทรศัพท์กันวุ่นไปหมด”สายของผมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำของพม่าโทรมาโวยวายกับผม
“ผมขอโทษ ครั้งหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้”ผมขอโทษเขาก่อนที่จะวางสายไปเพราะไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนทำให้สายข่าวของผมเกือบต้องโดนเปิดเผยตัวออกมา
1
หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็ไปรับชาวบ้านคนไทยที่ถูกปล่อยตัวกลับมาจากทางการพม่าอีกจำนวน 7 คนที่ท่าเรือประภาคาร
ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากที่การมารับตัวชาวบ้านครั้งนี้นอกจากทหารแล้วก็มีผมกับกุ้งเพียงเท่านั้นที่เดินทางมารับชาวบ้านพวกนั้นไม่มีชาวบ้านคนอื่นเลย
เมื่อเรือของทหารมาเทียบท่าในตอนค่ำผมกับกุ้งก็เดินไปยื่นมือดึงพวกเขาขึ้นมาจากเรือเป็นคนแรก
จนนักข่าวที่มารอทำข่าวต่างต้องบีบมุมกล้องให้แคบจนชาวบ้านพวกนั้นแทบตกทะเลเพราะไม่อยากให้เห็นภาพของผมที่อยู่กับชาวบ้านหลุดออกไป
เพราะสังคมคงต้องตั้งคำถามว่าทำไมบุคคลที่โดนกล่าวหาว่าหลอกลวงชาวบ้านถึงมารอรับชาวบ้านพวกนี้ได้
จากนั้นชาวบ้านทั้ง 7 คนก็ถูกนำตัวไปที่ค่ายทหารและถูกสอบสวนเกี่ยวกับตัวผมเช่นเดิมโดยมีผมไปยืนรอพร้อมกับญาติของชาวบ้านพวกนั้นซึ่งเพิ่งได้รับแจ้งข่าวแล้วเดินทางมาที่ค่ายทหารในเวลาดึก
ซึ่งหลังจากโดนสอบสวนเสร็จชาวบ้านทั้ง 7 คนก็ต่างปฏิเสธถึงความเกี่ยวพันธ์กับตัวผมอย่างสิ้นเชิงก่อนที่ทุกคนจะถูกปรับเงินคนละ 980บาทในข้อหาเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกเช่นกัน
ปัจจุบันเหลือเพียงตาหนอมเพียงคนเดียวที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของพม่าส่วนหมอกัญญาถูกปล่อยตัวกลับมาในปี 2563
ปล. 1 ใน 92 คนที่โดนทหารพม่าจับกุมตัวไปมีข้าราชการตำรวจรวมอยู่ด้วย 1 นาย
#เรื่องเล่าจากอินทนิลขวาง
โฆษณา