16 พ.ย. 2022 เวลา 09:11 • การศึกษา
ถ้าเรารู้จักตัวตนของเราเอง .เรารู้จักจิตใจเราเองดีเป็นอย่างไร .เรารู้จักคำว่ากรรม กรรมที่จิตดวงไหนใช้กายวาจาใจอย่างไร ไปตามอารมณ์ที่เกิดในเรือนกายของเค้า เค้าเป็นผู้สร้างกรรม ด้วยกิริยาท่าทางอะไร จะใช้ลมปากคาบไฟ เอาชื่อเราไปอ้างไปเอย..มันก็ลมปากที่เป็นไฟของเค้า แล้วเราจะไปยึดไฟที่พ่นออกมาจากลมปากเค้่าทำไม เราไปยึดมันก็เป็นไฟมาเผาใจเรา
เราก็เมตตาให้ยืมชื่อไปใช้ อย่าไปยึดว่าเป็นชื่อเรา ที่เค้าสมมุติยืมไป ..ให้เค้ายืมไป ..ไปเผาปากเผาใจตัวเค้าเอง เราจะไปทุกข์ร้อนทำไม เราก็ปล่อยเค้าอยู่ในกองเพลิง ..ส่วนเราก็ทำใจ ..แพ้เป็นพระ ..ชนะเป็นมาร ใจเราอยู่กับพระเฉย ๆไม่ทุกข์ร้อน เรื่องที่เค้าอุปโลกน์คิดไปเอง เราก็ให้อารมณ์เป็นทาน อย่าไปยึดถือ..เรื่องราวกิริยาท่าทางกายวาจาใจกรรมของเค้ามันก็เป็นของเค้า ไม่ใช่ของเรา
..ส่วนเราก็เป็นปุถุชน ย่อมต้องมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา สิ่งไหนที่ไม่ดี เรารู้ตัวว่าเผลอสติผิดพลาด เราก็แก้ไข ..แต่เราไม่ไปยึด เรื่องที่เราผิดพลาดเผลอสติไป ..เอามาทับถมจิตของตัวเองให้มันทุกข์ ให้มันหนัก ….เราก็กลั่นกรองแก้ไขที่ตัวเรา..แก้ไขไม่ใ้ห้เกิดเป็นกรรม..คล้องเวรกรรมกัน ถ้าจะคล้องกรรมก็ คล้องกรรมในลักษณะ เกื้อกูล อุปถัมภ์ เห็นอกเห็นใจกัน มันก็เป็นความสุขในการอยู่ร่วมกัน
แต่ในเมื่ออีก..ฝ่ายหนึ่งมีกรรมมาก นิสัยกรรมมาก เราก็แก้ไขเค้าไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่ากรรม แก้ไขกรรมใครไม่ได้ แก้ไขนิสัยเวรกรรมไม่ได้ ..เพราะเป็นกรรมของเค้า เค้าต้องแก้โช่ตรวน ที่ร้อยรัดจิตของเค้า ด้วยตัวของเค้าเอง คือเรื่องการสร้างเรื่องราวดีใก้แก่จิตและกายของเค้าเอง คือ สร้างบุญกุศลบารมีด้วยการกระทำของตนเอง
โฆษณา