17 พ.ย. 2022 เวลา 08:46 • กีฬา
#SSColumn
จุดเริ่มฟุตบอลโลก! (ฉบับหลังหนาม)
โดย : เบียร์ หลังหนาม
ย้อนกลับไปในช่วงต้น ค.ศ. 1800 โรงเรียนแฮร์โรว์ หนึ่งในโรงเรียนรัฐแห่งเกาะอังกฤษ เป็นโรงเรียนแรกที่ตั้งใจเพิ่ม ‘ฟุตบอล’ เข้ามาอยู่ในกีฬานักเรียนนอกเหนือจากกีฬาอื่น ๆ ด้วยเหตุผลสุดเรียบง่ายตามสไตล์ผู้ดี ที่ไม่ต้องการให้เด็กฉลาดและมีสติปัญญาดั่งสุภาพบุรุษเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายและจิตใจสมชายชาตรีด้วย
ทว่าฟุตบอลในตอนนั้นเล่นกันไม่เป็นระเบียบ เดี๋ยวเท้าบ้าง เดี๋ยวมือบ้าง ยุ่งเหยิง ชุลมุนวุ่นวาย แต่โคตรสนุก!! ทำให้หลายโรงเรียนเริ่มเอาอย่างโรงเรียนแฮร์โรว์ และกลายเป็นว่าฟุตบอลเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในเกาะอังกฤษ
ไม่เพียงแต่ในรั้วโรงเรียน เพราะตามชุมชนต่าง ๆ ไม่ว่าจะตัวเมืองหรือชนบท ชายอังกฤษเกือบทุกคนนิยมเล่นฟุตบอลกันเป็นกิจวัตร ถึงขั้นที่เริ่มมีการก่อตั้งชมรมหรือสโมสรเล็ก ๆ ขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ เมื่อเด็กจากโรงเรียนรัฐมาเตะฟุตบอลกับเด็กถิ่น มักจะจบด้วยการค่อยตีกันเป็นประจำ เนื่องด้วยกติกาและวิธีการเล่นที่ยังไม่แข็งแรง
ในปี ค.ศ. 1863 เหล่าศิษย์เก่าฐานะดีจากโรงเรียนรัฐที่คลั่งไคล้การเล่นฟุตบอล ตัดสินใจรวมตัวกันและก่อตั้งสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) ขึ้นมาเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาและควบคุมการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ ซึ่งกฎข้อแรกที่เอฟเอบัญญัติคือ ห้ามเล่นฟุตบอลด้วยมือ เพื่อแบ่งแยกฟุตบอลออกจากรักบี้อย่างชัดเจน และให้ฟุตบอลใช้กติกา เคมบริดจ์ รูส์ ซึ่งเป็นกติกามาตราฐานที่ถูกเขียนไว้ก่อนหน้านี้
การมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือ FA ทำให้กีฬาฟุตบอลในประเทศอังกฤษยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มมีลีกการแข่งขันที่จริงจังและสร้างนักฟุตบอลระดับอาชีพขึ้น ซึ่งความร้อนแรงเร้าใจของฟุตบอลอังกฤษ ได้ขยายอิทธิพลไปยังประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป
วันเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วง ค.ศ. 1900 ฟุตบอลกลายเป็นกีฬามหาชนของประเทศยุโรป มันฮิตถึงขั้นที่ว่าถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในกีฬาโอลิมปิก! ทว่ามาตรฐานของทุกประเทศยังเป็นรองฟุตบอลอังกฤษอยู่มาก ตัวแทนสมาคมฟุตบอลยุโรปหาลือและเห็นตรงกันว่า ฟุตบอลในยุโรปควรมีมาตราฐานเดียวกันหมด สมาคมจึงต้องส่งคนเข้าไปปรึกษากับ FA ซึ่งตัวแทนคนนั้นก็คือ ‘โรแบรต์ แกแร็ง’ หนุ่มฝรั่งเศส บรรณาธิการนิตยสารกีฬา Le Marin ที่มีชื่อเสียงในประเทศ และยังเป็นถึงเลขาธิการสหพันธ์กีฬาฝรั่งเศส (USFSA)
แม้ว่าแกแร็งจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงและน่าเคารพของผู้คนมากหลาย แต่สายตาของ ‘ลอร์ด คอนแนรด์’ ประธานเอฟเออังกฤษในเวลานั้น กลับไม่ได้มองแกแร็งอย่างที่ควรจะเป็น แกแร็งพยายามเข้าไปปรึกษากับลอดร์ด คอนแนรด์ถึง 2 ครั้ง 2 ครา และทุกครั้งแกแร็งต้องพบกับสายตาเหยียดหยามของลอร์ด คอนแนรด์ที่เป็นศักดินาชั้นสูง พร้อมทั้งคำพูดเหยียดหยาม ไม่ให้เกียรติ ลอร์ด คอนแนรด์ไม่สนใจที่จะร่วมมือกับสมาคมฟุตบอลยุโรปแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังมองว่าฟุตบอลอังกฤษกับฟุตบอลยุโรป...ไม่มีทางเทียบชั้นกันได้!
โรแบรต์ แกแร็งโกรธจัดกำหมัดกลับฝรั่งเศส เขาเก็บความช้ำใจที่ได้มาจากลอร์ด คอนแนรด์มาเป็นแรงผลักดันสำหรับการพัฒนาวงการฟุตบอล! แกแร็งใช้เวลาอยู่นานสำหรับการประสานงานกับคนในสมาคมฟุตบอลยุโรป จนได้มีการประชุมครั้งใหญ่เกิดขึ้น แนวความคิดของแกแร็งได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย และในท้ายที่สุด สหพันธ์ฟุตบอลสากลหรือ FIFA ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น! โดยที่มีโรแบรต์ แกแร็งคนดีคนเดิมขึ้นแท่นเป็นประธาน FIFA คนแรก!!
FIFA เริ่มต้นได้อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องด้วยบุคลากรที่เก่งรอบด้านและเงินทุนจำนวนมหาศาล ทำให้ FIFA เป็นองค์กรกีฬาชั้นนำของโลก และเป็นรองแค่ IOC หรือคณะกรรมการโอลิมปิกสากลเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ FIFA ทำ คือการแผ่ขยายการควบคุมกีฬาฟุตบอลสากลทั่วโลกให้อยู่ใต้อำนาจขององค์กร ทำได้ถึงขั้นที่สามารถไปดูแลจัดแจงกีฬาฟุตบอลที่อยู่ในโอลิมปิก และก็แน่นอนว่าการทำแบบนั้น FIFA ก็ต้องคอยรับมือกับ FA ของอังกฤษอยู่เป็นประจำ เพราะ FA ยังไม่ยอมอยู่ใต้การดูแลของ FIFA และยังต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเองในกีฬาฟุตบอลอยู่
นานวัน...กีฬาฟุตบอลในยุโรปเริ่มพัฒนาจาก ‘ฟุตบอลสมัครเล่น’ เป็น ‘ฟุตบอลมืออาชีพ’ ทาง FIFA จึงยื่นข้อเสนอกับทางโอลิมปิก เรื่องที่สามารถส่งนักฟุตบอลอาชีพเข้าร่วมการแข่งขันในรายการโอลิมปิกได้ แต่โอลิมปิกก็หนักแน่นมากพอและยืนยันว่า “นักฟุตบอลที่เข้าร่วมการแข่งขันต้องเป็นระดับมือสมัครเล่นเท่านั้น เพื่อเป็นความเทียบเท่ากับกีฬาชนิดอื่น”
FA อังกฤษตัวเปิดเจ้าประจำที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของโอลิมปิก ตัดสินใจไม่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกในปี ค.ศ.1924 ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ทีมจากสหราชอาณาจักรครองแชมป์กันอยู่ยาว ๆ ทั้งนี้เพราะพวกเขาเชื่อว่า “ฟุตบอลของจริง คือฟุตบอลมืออาชีพเท่านั้น!” เมื่ออังกฤษเป็นตัวเปิด หลายชาติในยุโรปเริ่มเป็นตัวตาม ทำให้โอลิมปิกเริ่มเอามือกุมขมับ
‘ฌูลส์ ริเมต์’ ประธาน FIFA คนที่ 3 ชาวฝรั่งเศส มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะผลักดันให้นักฟุตบอลอาชีพมีพื้นที่สำหรับการแข่งขันใหญ่ ถ้าในเมื่อคนเหล่านั้นไม่สามารถไปโอลิมปิกได้!
โชคดีที่ริเมต์มีมือขวาดีอย่าง ‘อองรี เดอโลเนย์’ ที่รู้ใจ พวกเขาช่วยกันดำเนินการโปรเจ็คใหญ่ได้จนสำเร็จ ในการประชุมใหญ่ของบอร์ดบริหาร FIFA ที่จัดขึ้นในซูริค เดอโลเนย์ได้กล่าวขึ้นในที่ประชุมอย่างหนักแน่น “จากนี้ไป การแข่งขันฟุตบอลรายการใหญ่ระดับสากล จะไม่ได้มีเพียงแค่ในโอลิมปิกเท่านั้น! แต่ละประเทศมีนักฟุตบอลที่ดีที่สุด หากพวกเขาไม่สามารถเล่นในโอลิมปิกได้ ก็ควรมีทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเขาได้แข่งขันกัน! ถึงเวลาที่ FIFA จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่!...และนั่นก็คือฟุตบอลโลก!!! ”
การถือกำเนิดขึ้นของการแข่งขันฟุตบอลโลกหรือ FIFA World Cup สร้างความแตกตื่นฮือฮาให้กับวงการฟุตบอลทั่วโลก นี่คือรายการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่และจะถูกจัดขึ้นแค่ 4 ปีครั้ง หลายประเทศในยุโรปพยายามออกหน้าขอเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งแรก แต่พอจับเข่าคุยเรื่องเงินกัน กลับกลายเป็นว่าพากันถอนตัวแทบไม่ทัน เพราะการจัดการแข่งขันต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล มีความเสี่ยงมากมาย หนำซ้ำยังต้องหักกำไรบางส่วนให้กับทาง FIFA อีก…แต่แล้วฮีโร่ก็ปรากฏตัวขึ้นจนได้! อุรุกวัยใจกล้าพอที่จะขอเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งแรก ในปี 1930!!
ทั้ง ๆ ที่คนจากยุโรปเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้างฟุตบอลโลก แต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกกลับไปเริ่มที่แดนอเมริกาใต้ เรื่องนี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปไม่ค่อยพึงพอใจกัน หลายประเทศออกมาประท้วงไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของริเมต์
อังกฤษ และสหราชอาณาจักรบริเตนไม่เข้าร่วมฟุตบอลโลกอยู่แล้ว เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกของ FIFA ส่วนชาติอื่น ๆ ในยุโรปที่ก่อนหน้านี้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี กลับออกมาพากันปฏิเสธการเข้าร่วมฟุตบอลโลกด้วยเหตุผลที่ว่า...เดินทางลำบาก
หากฟุตบอลโลกไม่มีทีมจากยุโรปไปร่วมแข่งขัน เช่นนั้นจะเรียกว่าฟุตบอลโลกได้อย่างไร?
ฌูลส์ ริเมต์จึงทำทุกวิถีทางในการหาทีมชาติจากยุโรปเข้าร่วมรายการ และก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มอีกไม่ถึงครึ่งเดือน ริเมต์ได้ออกมาประกาศรายชื่อ 4 ประเทศที่เป็นจะเป็นตัวแทนของยุโรป ซึ่งประกอบไปด้วย
1) ฝรั่งเศส ที่เป็นประเทศบ้านเกิดของริเมต์
2)เบลเยี่ยม ที่ผ่านการร้องขอจากการทูตระดับประเทศ ที่ประสานโดย ‘เอนริเก บวยโร’ รองประธานฟีฟ่าชาวอุรุกวัย ที่เป็นคนออกตัวให้อุรุกวัยเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก
3) โรมาเนีย ที่กษัตริย์โปรดปรานการชมฟุตบอลเป็นอย่างมาก จึงส่งนักฟุตบอลเข้าร่วมด้วยตัวเอง
4) ยูโกสลาเวีย ทีลือกันว่าริเมต์เป็นคนว่าจ้างและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อให้ทีมเข้าร่วมการแข่งขัน
ซึ่งก่อนที่การแข่งขันฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น สื่อจากประเทศอื่น ๆ ในยุโรปต่างก็ให้ข่าวปรามาสในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ หลายคนมองว่าฟุตบอลโลกถูกจัดขึ้นมาอย่างไร้มาตรฐาน แถม 4 ทีมชาติจากยุโรปก็ไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดของทวีป แต่ไปเพื่อไม่ทำให้ประธานฟีฟ่าเขินเท่านั้น!?
ในฟุตบอลโลกครั้งที่ 1 มีทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 13 ทีม ซึ่งการมาของแต่ละทีมคือการถูกรับเชิญ หาใช่การเตะผ่านรอบคัดเลือกมา และทั้ง 13 ทีมนี้ ก็ถูกแบ่งกลุ่มออกมาได้เป็น 4 กลุ่มด้วยกันก็คือ
กลุ่ม 1: อาร์เจนตินา , ฝรั่งเศส , เม็กซิโก , ชิลี
กลุ่ม 2: บราซิล , ยูโกสลาเวีย , โบลิเวีย
กลุ่ม 3 : อุรุกวัย , โรมาเนีย , เปรู
กลุ่ม 4 สหรัฐอเมริกา , เบลเยี่ยม , ปารากวัย
ฟุตบอลโลกนัดแรกของประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1930 เป็นการเจอกันระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสกับทีมชาติเม็กซิโก ซึ่งถือว่าเป็นแมตช์การแข่งขันที่เปิดประตูพาวงการฟุตบอลเข้าสู่โลกใหม่ไปอีกก้าวหนึ่ง ผลของการแข่งขันในครั้งนั้น ฝรั่งเศสสามารถเอาชนะเม็กซิโกไปได้ 4 ประตูต่อ 1
การแข่งขันดำเนินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งคู่ชิงในฟุตบอลโลกครั้งแรกคือ อุรุกวัย – อาร์เจนติน่า ที่เป็นสองทีมฟุตบอลจากทวีปอเมริกาใต้
ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก ยังไม่มีลูกฟุตบอลส่วนกลางสำหรับใช้แข่งขัน แต่ละทีมต้องเอาลูกฟุตบอลกันมาเอง แล้วมาตกลงกันทีหลังว่าจะใช้ลูกฟุตบอลของใคร แต่ในนัดชิงชนะเลิศ ทั้งอุรุกวัยและอาร์เจนติน่ายืนกรานจะใช้ลูกฟุตบอลของตัวเอง สุดท้ายคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ คือทั้ง 2 ทีมจะได้ใช้ลูกฟุตบอลของตัวเอง อาร์เจนติน่าจะใช้ของตัวเองในครึ่งแรก และอุรุกวัยจะเป็นครึ่งหลัง...น่ารักดี
การชิงแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกถือว่าดุเดือดและมันส์มากกว่าที่ใครหลายคนคาดคิด! ครึ่งแรกเจ้าภาพอย่างอุรุกวัยตามหลังอาร์เจนติน่าอยู่ 1 ประตูต่อ 2 แต่พอครึ่งหลังเริ่มได้ไม่นาน อุรุกวัยก็เบิกประตูตีเสมอได้สำเร็จได้ในนาที่ 57 ก่อนที่อีก 10 นาทีต่อมาจะยิงประตูพลิกแซงเป็น 3 ประตูต่อ 2 !
ประตูที่ 3 ของอุรุกวัยเกือบทำให้สนามเกือบถล่ม!! เพราะแฟนบอลเจ้าถิ่นดีใจเกินเหตุ พากันกระโดดโลดเต้น วิ่งเข้ามาวุ่นวายในสนามกันจ้าละหวั่น กว่าเกมจะกลับมาเริ่มต่อได้ก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่
และในนาทีสุดท้ายของฟุตบอลโลกครั้งแรก ‘เฮคเตอร์ คาสโตร’ นักฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัยผู้มีแขนข้างเดียว โขกประตูปิดฉากให้เจ้าบ้านเอาชนะคู่แข่งไปได้ 4 ประตูต่อ 2 ทำให้อุรุกวัยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นชาติแรก ถือเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติ 100 ปีเอกราช ตามที่คนชาติคาดหวัง
ถึงแม้การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกจะเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคที่มากมายเหลือเกิน แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่! มันได้ถูกส่งต่อผ่านมือผู้คนมาจากรุ่นสู่รุ่น ถูกพัฒนาไปตามยุคสมัย ทุกวันนี้มันได้กลายเป็นมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่างที่ผู้ริเริ่มตั้งใจ!
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ยังมีเรื่องราวอีกนับร้อยที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก และควรค่าอย่างยิ่งสำหรับการมาเล่าสู่กันฟัง และมันจะยังเกิดขึ้นอีกไม่รู้จบ
SoccerSuck พร้อมนำเสนอรายการที่ได้รู้ความจริง ได้ยิ่งกว่าฟุตบอล!
ผ่านทุกช่องทางของ SoccerSuck TH แล้วที่
สนใจติดต่อโฆษณา
Tel. 065-4695416 (คุณหวา)
โฆษณา