19 พ.ย. 2022 เวลา 02:25 • ความคิดเห็น
การร้องเพลงถือเป็นการแสดงออกทางอารมณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ รวมทั้งเป็นศิลปะที่ช่วยให้เกิดความสุนทรี เป็นความบันเทิงที่ช่วยให้เกิดความผ่อนคลายทางด้านจิตใจ นอกจากนั้น การร้องเพลงยังมีประโยชน์ในการบำบัดโรคอีกหลายชนิดด้วย
SINGING THERAPY
SINGING THERAPY คือ “การออกเสียงตามท่วงทำนอง” ซึ่งมีประโยชน์โดยตรงกับผู้มีปัญหาด้านการเปล่งเสียงพูดออกมาเป็นคำ หรือเป็นประโยค นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของพัฒนาการทางสมองอีกด้วย ซึ่งการออกเสียงตามจังหวะนี้ ไม่ใช่การร้องเพลงแบบทั่วไป แต่เป็นการร้องเพลงในรูปแบบของการรักษา แต่มีความใกล้เคียงกัน
MUSIC THERAPY คือ การใช้เสียงดนตรี ส่วน SINGING THERAPY คือ การใช้สารร้องเพลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงอะไรก็ได้ที่เราถนัด หรือใช้เพลงที่มีความชื่นชอบเฉพาะบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
การร้องเพลงคือการจดจำท่วงทำนอง จดจำเสียง จดจำคำ เหมือนตอนที่เรายังเด็ก เราท่องบทกลอน ท่องอาขยาน หรือท่องสูตรคูณต่าง ๆ เหล่านี้เป็นท่วงทำนองทำให้เราจดจำได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยลดความบกพร่องของเสียงพูดได้
SINGING THERAPY ลดอาการติดอ่าง
“ติดอ่าง” คือ ภาวะความผิดปกติทางระบบประสาทและสมอง การร้องเพลงบำบัดโรคจะช่วยในเรื่องของการพูดติดอ่าง ซึ่งเป็นความผิดปกติโดยมีการสะดุดของคำพูด มีลักษณะการพูดคำซ้ำ ๆ วลีซ้ำ ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ มักจะเกิดขึ้นในเด็กที่กำลังมีพัฒนาการทางด้านภาษา
จากการทดลองพบว่า การร้องเพลงช่วยลดความถี่ในการพูดติดอ่างลงได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงมาก ถ้าเปรียบเทียบกับการออกเสียงโดยทั่วไปที่เป็นวิธีการแก้ไขภาวะติดอ่างแบบมาตรฐาน
การร้องเพลงเหมือนกับการฝึกพูด ซึ่งเป็นการฝึกพูดอย่างสนุกสนานและลื่นไหล จึงทำให้ได้ผลดี ดังนั้น บางคนพูดติดอ่างแต่ร้องเพลงได้ลื่นไหลก็มีให้เห็นมาก
SINGING THERAPY บรรเทาโรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสัน (PARKINSON) คือ ภาวะเซลล์สมองเสื่อม โดยเฉพาะส่วนที่ทำหน้าที่ผลิตสารสื่อประสาท “โดมามิน” ซึ่งส่งผลให้มนุษย์เคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก บางทีมือเท้าไม่ค่อยจะขยับ ทำให้เดินยากรวมทั้งพูดติดขัด
ปัจจุบันในกลุ่มโรคความเสื่อมทางสมอง มีคนเป็นโรคพาร์กินสันมากเป็นอันดับสองรองจากโรคติดอ่าง แต่ส่วนใหญ่เกิดกับผู้สูงอายุ
มีการทดลองนำผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมาแบ่งกลุ่มร้องเพลง หลังจากร้องเพลงครบ ๑๓ รอบ แล้วพบว่าผู้ป่วยสามารถปรับปรุงการอ่านออกเสียง และควบคุมอาการของโรคได้ เพราะการร้องเพลงนั้นเน้นควบคุมการออกเสียงและการหายใจ โดยจะต้องเป็นเพลงที่ใช้การออกเสียงลึก แล้วแปลงเสียงออกมาจากท้อง ซึ่งเป็นการบำบัดที่ไม่ต้องใช้เงินมากและสร้างความบันเทิงได้
SINGING THERAPY บรรเทาโรคอะเฟเซีย APHASIA
โรคอะเฟเซีย (APHASIA) คือ ภาวะความเสื่อมของสมองที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางการสื่อสาร ภาษาสูญหายไป ไม่สามารถแปลความหมายได้
โดยความผิดปกติทางด้านภาษามีสองแบบใหญ่ ๆ คือ แบบรับฟังเข้าใจแต่สื่อสารออกไปไม่ได้ หรือ แบบรับฟังไม่เข้าใจและสื่อสารออกไปไม่ได้ ทั้งนี้ จะมีอาการสำคัญคือพูดไม่ค่อยได้ หรือพูดได้แต่ไม่เป็นภาษา โดยการฝึกร้องเพลง ซึ่งต้องเป็นเพลงที่ผู้ป่วยชอบและคุ้นเคย อาจจะเป็นเพลงเก่าในอดีตของเขาก็ได้
SINGING THERAPY บรรเทาโรคออทิซึม
โรคออทิซึม (AUTISM) คือ ภาวะความบกพร่องทางพัฒนาการ การแสดงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสารร่วมกับพฤติกรรมที่เป็นแบบแผนซ้ำ ๆ ในเด็กเหล่านี้มักจะมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม หรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น บางรายมีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือควบคุมไม่ได้ร่วมด้วย
ความผิดปกติด้านออทิซึมถือเป็นอันดับสาม ซึ่งในแง่ความผิดปกติด้านพัฒนาการนั้น อันดับหนึ่งคือสมองอัมพาต อันดับสองคือความล่าช้าทางสติปัญญา อันดับสามคือออทิซึม
เด็กที่มีลักษณะ TEMPER TANTRUMS คือ มีความก้าวร้าว มักจะมีอาการกรีดร้อง อาละวาด โวยวาย ล้มตัว ชักดิ้นชักงอ ซึ่งเป็นการแสดงอารมณ์โกรธ หรือไม่พึงพอใจของเด็ก พบได้บ่อยหลังช่วงอายุ 1 ปี และพบมากขึ้นเมื่ออายุ 2-3 ปี อาการเหล่านี้พอส่งไปเรียนร้องเพลงจะสามารถปรับเปลี่ยนบุคลิกของเด็กได้ ทำให้ใจเย็นลง และสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น การร้องเพลงยังช่วยพัฒนาทักษะทางการพูด พัฒนาระบบประสาทและสมองและยังมีผลดีต่อร่างกายอีกด้วย
ในขณะที่เราร้องเพลง สมองจะหลั่งสารความสุข (ENDORPHIN) และสารแห่งความสบายใจ ความพึงพอใจ (OXZTOCIN) ออกมาด้วย สารทั้งสองตัวนี้เป็นยาตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยอาจจะเกิดจากท่วงทำนอง และความพึงพอใจต่าง ๆ
เพราะฉะนั้น ในระยะยาวเป็นการรักษาที่ทำให้อาการของโรคต่าง ๆ แม้กระทั่งเบาหวาน ความดันหรือโลหิตสูง ดีขึ้นด้วย
ซึ่งประเภทหรือเนื้อหาของเพลงมีผลมาก ถ้าเรามีบาดแผลทางใจ กำลังรู้สึกเศร้า แล้วร้องเพลงเศร้า ก็จะกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมา สารความสุขก็ไม่หลั่ง
ดังนั้น ควรร้องเพลงที่คัดเลือกมาแล้วระดับหนึ่ง ถ้าจะบำบัดโรคด้วยการร้องเพลง ก็ต้องเข้าใจหลักการว่า การร้องเพลงที่จะทำให้โรคภัยต่าง ๆ หายไปได้นั้น ต้องสร้างความสบายใจด้วย ทั้งท่วงทำนอง การฝึกหายใจ เนื้อร้องของเพลงที่จะนำไปสู่ความสบายใจ ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย พออารมณ์ดีร่างกายก็ดีตามไปด้วยได้
การรักษาด้วยเสียงสวดมนต์
SINGING THERAPY คือ การรักษาโรคด้วยการร้องเพลง ทางการแพทย์ค้นพบว่า การร้องเพลงสามารถใช้ในการรักษาโรคได้ ไม่จำเป็นต้องป่วยไข้แล้วรักษาด้วยยาเพียงอย่างเดียว แม้แต่คนธรรมดาที่ปกติแข็งแรงดี เมื่อร้องเพลงด้วยจังหวะที่สม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง ประมาณ ๑๕ นาที ขึ้นไป จะทำให้เกิดความสดชื่น แจ่มใส เบิกบาน และแข็งแรงมากขึ้นไปอีก
สำหรับชาวพุทธ เราคุ้นเคยกับการสวดมนต์อยู่แล้ว ซึ่งเหมือนการร้องเพลงรูปแบบหนึ่ง สวดไปด้วยจังหวะทำนองที่สม่ำเสมอ เสียงสวดมนต์ภาษาบาลีมีสระที่สม่ำเสมอเป็นจังหวะ “โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ .....” หรือ “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา .....” สวดอย่างนี้เป็นจังหวะที่สม่ำเสมอไปเรื่อย ๆ จะให้ผลดี
เราต้องสวดด้วยใจที่เป็นสมาธิ ถ้าเราสวดมนต์แต่จิตใจฟุ้งซ่านคิดเรื่องอื่น อาจจะได้ผลแต่ไม่มาก ถ้าเราสวดมนต์ด้วยใจจดจ่อกับเสียงสวด ผลก็จะเกิดมหาศาลเลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์อยากรู้ว่า ทำไมคนที่สวดมนต์จึงแข็งแรงขึ้น เสียงสวดมนต์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้สารพัด ทั้งโรคทางใจ โรคทางกาย เขาจึงพยายามศึกษาวิจัยแล้วพบว่า เวลาที่คนเราสวดมนต์ด้วยจังหวะสม่ำเสมอจนใจนิ่ง สมองก็สร้างสารที่เรียกว่า “SEROTONIN” และ “DOPAMINE” ซึ่งทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ ภายในร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล เซลล์ประสาทเกิดความสดชื่น ทำให้รู้สึกแจ่มใส เบิกบาน และมีความสุข
การสวดมนต์ยังมีนัยยะที่ลึกซึ้งลงไปอีก ทั้งเนื้อหาสาระของบทสวด เมื่อใจผู้สวดนิ่งแล้วเป็นบุญเป็นกุศล ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย บุญกุศลส่ง ตรงจุดนี้วิทยาศาสตร์ยังก้าวไปไม่ถึง
ความจริงแล้วการสวดมนต์มีอานิสงส์มาก บทหนึ่งที่นิยมสวดกันมากตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบันสำหรับคนป่วยไข้คือ “โพชฌงค์เจ็ด”
มีคราวหนึ่ง พระมหากัสสปะเถระและพระโมคคัลลานะเถระ อัครสาวกเบื้องซ้ายเกิดไม่สบาย พอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์สาธยายโพชฌงค์เจ็ดให้ฟัง พอท่านได้ฟังแล้วก็แช่มชื่นเบิกบานใจ น้อมไปตามกระแสเสียงสวดมนต์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวดจบก็หายป่วยทันที
มีอีกคราวหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าทรงพระประชวร พระองค์ให้พระจุนทเถระมาสาธยายโพชฌงค์เจ็ดให้ฟัง ทำให้พระองค์หายป่วยได้ การสวดมนต์มีผลขนาดนี้เลย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ยังใช้เป็นวิธีในการบำบัดอาการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
เพราะฉะนั้น เรามียาวิเศษอยู่ในมือแล้ว ขอให้ใช้การสวดมนต์นี้ช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเอง ใครยังสวดมนต์ไม่คล่อง ไม่รู้ว่าจะสวดมนต์บทใดให้ได้ 15 นาที ก็ให้เริ่มจากสวดซ้ำ ๆ เช่น “สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง .....” ย้ำไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ร้อยจบพันจบ ภายใน ๑๕ นาที หรือครึ่งชั่วโมงก็ได้
แล้วเราจะพบว่า สุขภาพร่างกายของตนเองดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ มิหนำซ้ำไม่เฉพาะตนเองเท่านั้น คนรอบข้าง กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าที่ได้ฟังเสียงสวดมนต์ก็สดชื่นแจ่มใส งอกงาม เจริญเติบโตไปด้วย พอต้นไม้ได้ฟังเสียงสวดมนต์ด้วย ก็ออกลูกมากกว่าเดิมหลายเท่า ให้ผลหวานกรอบอร่อย
เพราะฉะนั้น เจ้าของเรือกสวนไร่นา เวลาสวดมนต์ใจเขาก็รวมเป็นสมาธิ แล้วนึกว่าอยากจะให้สวนของตนเองได้ผลผลิตดี พอใจกำหนดขอบเขตบริเวณสวนของตนเอง คลื่นส่งผลสะเทือนออกไปถึงต้นไม้ ผลผลิตก็เพิ่มขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมผลไม้ประเทศไทยมีรสชาติดีกว่าที่อื่นมาก เราได้กินผลไม้อร่อย ๆ กันเป็นปกติจนชิน พอได้ไปต่างประเทศ ก็รู้สึกได้เลยทันทีว่า ผลไม้จากประเทศไทยมีรสชาติดีกว่ามาก
ส่วนหนึ่งก็เพราะคนไทยเป็นชาวพุทธ เราสวดมนต์ นั่งสมาธิเป็นประจำสม่ำเสมอ จนกระทั่งคลื่นบรรยากาศบ่มเพาะไปถึงต้นหมากรากไม้รอบ ๆ ตัว ทำให้มีความละเอียดละมุนแฝงอยู่จนถึงระดับยีนส์เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่าประเทศไทยเป็นมหาอำนาจทางด้านผลไม้ก็ไม่เกินเลยไปนัก เพียงให้เราคิดหาวิธีทำการตลาด ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ดี แล้วรักษารูปลักษณ์ความสวยสดและรสชาติความอร่อยเอาไว้ให้ได้เท่านั้น
คนทั่วโลกได้ชิมก็จะติดใจ ขายดีอย่างแน่นอน เหล่านี้เป็นอานิสงส์จากการสวดมนต์ นั่งสมาธิของบรรพบุรุษ เราอย่ามัวแต่กินบุญเก่าจากปู่ ย่า ตา ยายอย่างเดียว ขอให้สร้างบุญใหม่ด้วย โดยตั้งใจสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ เช้าหนึ่งรอบ เย็นหนึ่งรอบ ถ้าใครมีเวลาว่างจะสวดมนต์ตอนกลางวันด้วยยิ่งดี หมั่นสวดมนต์ นั่งสมาธิ ไม่ว่าจะเวลาเดินทางไปโรงเรียน เวลาไปทำงาน หรือเวลาอยู่ในรถก็ตาม
แทนที่เราจะปล่อยใจคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย เราก็สวดมนต์เบา ๆ หรือจะสวดในใจก็ไม่ผิด แต่ถ้าสวดมนต์ออกเสียงได้ก็ยิ่งดี เช่น “สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง สัมมา อะระหัง .....”
สวดไปเรื่อย ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องกลัวลืม หรือจะสวดมนต์บททำวัตรเช้าวัตรเย็น กางหนังสือสวดมนต์ ท่องตามเดือนเดียวก็จำได้แล้ว สวดไปใจก็จะชุ่มอยู่ในบุญ ไม่เสียเวลาเปล่าเลย
ทำให้เวลาเดินทาง กลับกลายเป็นเวลาทองของชีวิต พอไปถึงโรงเรียนหรือที่ทำงานใจก็เบิกบานสดชื่น พอเรียนหนังสือก็จำได้แม่น แจ่มใสตลอดทั้งวัน
ไม่ว่าจะคิดอ่านโจทย์เลขโจทย์ฟิสิกส์ก็ทะลุปรุโปร่งไปหมด หรือจะทำงานการอะไรก็สะดวกราบรื่น ถึงคราวมีปัญหาเกิดขึ้น ก็มองเห็นช่องทางการแก้ไขได้ชัดเจน เพราะใจเราเบิกบาน มีความคิดเชิงบวกเกิดขึ้นในใจ แล้วชีวิตเราจะประสบความสำเร็จ มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงด้วย
เคยเห็นหรือไม่ บางคนที่มีญาติสนิท หรือคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิต สมมุติว่าลูกอยู่สหรัฐอเมริกา แต่คุณพ่อคุณแม่อยู่ประเทศไทย ลูกกลับสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจ ใจมันหวิว ๆ รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เพราะคลื่นจากใจของคุณพ่อคุณแม่สื่อไปถึงลูกได้
ดังนั้น ไม่ต้องรอให้เสียชีวิต ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ ให้ลูกตั้งใจสวดมนต์ ส่งบุญให้คุณพ่อคุณแม่อธิษฐานให้ท่านมีร่างกายแข็งแรง แล้วบุญจะส่งถึงคุณพ่อคุณแม่ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ให้นึกถึงลูก สวดมนต์แล้วอธิษฐานส่งบุญนี้ไปให้ลูกแข็งแรง ให้ลูกประสบความสำเร็จในธุรกิจการงาน การเรียน ลูกจะได้เจริญรุ่งเรือง
เหล่านี้คืออานิสงส์ของการสวดมนต์ เพราะฉะนั้น เราอย่าดูเบา กิจวัตรหลักของชาวพุทธคือการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอให้เราปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
โดยหลักแล้ว เราสวดมนต์ทำวัตรเช้าประมาณ 15 นาที แล้วสวดมนต์ทำวัตรเย็นอีกประมาณ 15 นาที บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย ท่านวางหลักการดำเนินชีวิตไว้อย่างนี้ ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ดังนั้น ตั้งใจสวดมนต์เป็นประจำสม่ำเสมอทุก ๆ วันเถิด
เจริญพร
โฆษณา