หลังจากที่ได้ใช้เวลาไปกว่า 40 กว่าชั่วโมงในที่สุดผมก็จบ God of war จนได้ ต้องบอกได้คำเดี่ยวครับว่าคุ้มค่าแก่การรอคอยมากๆวันนี้เลยจะมารีวิวให้ฟังกันครับว่าเกมนี้ดีงามเพียงใดพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยครับ
ภาคนี้จะอยู่ในตำนานของ Norse โดยเรื่องราวของภาคนี้จะเกิดขึ้น 3 ปี หลังจบเหตุการใน God of War (2018) ซึ่งเป็นช่วงปลาย Fimbulwinter ก่อนเกิดมหาสงคราม Ragnarok นั่นเอง
ในด้านของเนื้อเรื่องนั้นก็ยังคงมาตรฐานการเล่าเรื่องจากเกมในปี 2018 อยุ่ครับแต่จะเพิ่มมุมมองของตัวอัลเทอุส ไปอีกทางซึ่งจะเล่าตัดไปตัดมาระหว่างตัวเครโทสและอัลเทอัสซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับ God of war เพราะปรกติจะเล่าผ่านตัวเครโทสไปเลย ก็น่าแปลกว่าอนาคตอัลเทรอุสอาจจะได้มีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองหรือเปล่า? (เดา) แต่ต้องชมในเรื่องของการพัฒนาของตัวละครไม่ใช่แค่เฉพาะอัลเทอุส แต่ก็เป็นตัวของเครโทสด้วย (ที่ผ่านมาพี่แกคงสำนึกผิดหลายๆอย่างแหละนะ)
ในส่วนนี้คงไม่มีอะไรให้พูดมากเท่าไหร่เพราะกราฟฟิกของซีรีย์นี้มันแสดงผลออกมาเกือบจะข้าม Gen เสมอเช่น God of War 3 บน PS3 ภาพก็ออกมาดีระดับเกม PS4 และ God of War (2018) บน PS4 ภาพก็ออกมาดีระดับเกม PS5 เพราะงั้น God of War Ragnarok ก็ภาพน่าจะใกล้ๆเกม PS6 นั้นแหละ
ความยากในภาคนี้จัดว่าทำออกมาให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ไม่ได้ยากโหดจนต้องปาจอย (แน่นะวิ?) หรืออย่างความยากระดับ Give me God of War ในภาคนี้ก็จะใกล้เคียง Give me Challenge ของ God of War (2018) จัดว่าอยู่ในความอยากระดับที่เล่นกำลังสนุก (อ่อ เหรอ?)
ข้อดีของภาคนี้คือสามารถเปลี่ยนระดับความยากลงได้ตลอดเวลา ยกเว้นระดับ Give me God of War ที่เลือกได้ตอนเริ่มเกมเท่านั้น ระหว่างเกมสามารถปรับลงได้ แต่จะปรับขึ้นมาเป็น Give me God of War ไม่ได้อีก
สรุป
สรุป:
นอกจากกราฟฟิกที่สวยขึ้น และ sound track เพราะๆ ตัวเกมไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากภาคเดิมมากนัก อารมณ์ประมาณเล่น God of War 2 กับ God of War 3 ต่อกัน
-โดยภาพรวมแล้วภาคนี้จัดว่าสนุกกว่า God of War (2018) แต่อาจจะไม่ได้รู้สีกว่ามีอะไรแตกต่างจากภาคก่อนมากนัก หรืออาจเป็นเพราะแอดคาดหวังไว้เยอะด้วยแหละ อย่างไรก็ดีสำหรับเกมนี้ก็ขอ recommend เลยว่าถ้าเป็นแฟนซีรีย์ หรือสายเกม Action RPG ก็ห้ามพลาดเด็ดขาด!!
🚩เตรียมพบกับ Promotion PAY DAY 25/11 เก็บโค้ดส่วนลด สูงสุด 1500.-