23 พ.ย. 2022 เวลา 13:20 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
เก็บตก 'Beatrice is a Badass' ที่สุดของ Warrior Nun นักรบแห่งศรัทธา เมื่อย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนซีซัน 2
(ยาวมาก แต่คิดเอาเองว่าอ่านสนุกแน่ ... มีการพูดถึงเนื้อหาซีซัน 1 อย่างชัดเจน พยายามแล้วที่จะไม่สปอยจนเสียอรรถรส)
มีหนังหรือซีรีส์ไม่น้อยที่สุดท้ายกลายเป็น Queerbaiting ชาว LGBTQIAN+ รู้เรื่องนี้ดีจากความชอกช้ำใจมาหลายต่อหลายครั้งที่อัตลักษณ์ถูกช่วงชิงไปหากินอย่างขอไปที
แต่หนนี้อาจพูดได้ว่าแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับ Warrior Nun นักรบแห่งศรัทธา เพราะมันถึงทีที่แม่ชีจะเอาคืน
#เมื่อไหร่Netfilxจะลงทุนโปรโมทเรื่องนี้สักที
Warrior Nun เป็นเรื่องราวจาก Comic เกี่ยวกับเหล่าภคินีนักรบ (ลึกลับ) ผู้ทำหน้าที่ในการปกป้องวงแหวนเฮโลซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับประทานมาจากเทพให้พ้นเงื้อมมืออสุรกายนรกที่บุกมายังโลกเพื่อช่วงชิงมัน เฮโลถูกส่งต่อผ่านทาง Warrior Nun มานานนับพันปี ก่อนถูกมอบให้ 'Ava' (Alba Baptista) เด็กสาวกำพร้า โดยบังเอิญและทำให้เธอฟื้นขึ้นจากความตาย
Warrior Nun ปูตัวละครมาค่อนข้างเซอร์ไพรส์สำหรับเรากับตัวละครแม่ชีที่เราอวยยศให้เป็น 'กุนซือหัวหน้าแก๊งสเมิร์ฟ' และมองว่าเป็นเพียง 'One of the Gang' แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่มีบทโดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ ซิสเตอร์ 'Beatrice' หรือ 'Beatrice is a Badass' เดอะแบกแห่งคณะ OCS (Kristina Tonteri-Young)
ในฐานะเกย์ เราเป็นคนหนึ่งที่มองตัวละครเกือบทุกตัวเป็นเกย์ (เอาไว้ก่อน รู้กัน..นะ) ดังนั้นซอกมุมหนึ่งเล็ก ๆ ในใจ แม่ชีทั้งคณะเป็นเกย์สำหรับเรา แต่ซิสเตอร์ Beatrice คือตัวละครที่มีคำว่า 'เกย์' เขียนไว้บนหน้าผากตั้งแต่ Ep.แรกของซีรีส์อย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อเทียบกับ Mary แล้ว Beatrice เป็นตัวละครหลักที่ถูกซ่อนไว้เนียนที่สุดตัวหนึ่งจนกว่าจะเริ่มขยับเข้า Ep.3 หรือสังเกตเห็นจริง ๆ ช่วงครึ่งหลังของซีซันแรกโน่นเลย
ดังนั้น วันนี้เราไม่ได้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อพูดถึงเนื้อเรื่องหรือรายละเอียดของมัน แต่เรามาที่นี่เพื่อสวดมนต์สรรเสริญให้กับความอดทนอดกลั้นตลอดชีวิตของซิสเตอร์ Beatrice ผู้เป็นที่รักของเรา ...ใช่ค่ะ ฉันลำเอียง #teamBeatrice
ความกาวทั้งหมดนี้จะยึดตามที่ปรากฏในซีรีส์เท่านั้น เนื่องจากฉันไม่ได้อ่านคอมมิก ถ้าใครมีอะไรเสริมก็เติมได้เลยเต็มที่
(บางครั้งเราอาจเรียกตัวละครว่าเป็นเกย์แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็น Gender ของเขานะ แต่หมายความว่าเขาเป็นหนึ่งในคอมมูฯ LGBTQIAN+ ซึ่งจะเป็นอะไรนั้นก็ไปดูเอง แต่เราเรียกรวมไปว่าเกย์)
ความละอายต่อบาปและจุดที่ไม่อาจเดินไปถึง
ย้อนกลับไปที่ Ep.แรกของ Warrior Nun ซีซัน1 เป็นที่ชัดเจนว่า Mary (Toya Turner) กับซิสเตอร์ Shannon (Melina Matthews) มีความสัมพันธ์ทางความรู้สึกที่มากกว่าความเป็น Sisterhood ซิส-Shannon อาจสงวนท่าที แต่ Mary ชัดเจนล้านเปอร์เซ็นต์ว่าเกย์แน่นอน
(ดัก1: Sisterhood ในที่นี้มีความหมายเป็นพี่น้องในทางศาสนาตามเรื่อง ไม่ใช่ทางสายเลือด เพราะ Incest มัน fucked up เราจะไม่สรรเสริญมัน)
จากช่วงเวลาสั้น ๆ ของ Ep.แรก สองคนนี้ค่อนข้างจะใกล้ชิดกัน แต่มากยิ่งกว่านั้นคือการที่ Mary แสดงออกทางความรู้สึกและความเสียใจอย่างตรงไปตรงมาต่อตัว Shannon ผิดกับ Beatrice ที่ค่อนข้างวางตัวห่างเหินและสงวนความรู้สึกตามสถานะของพี่แกที่เป็นแม่ชี
จนหลังจากที่ Shannon ตาย เราจะเห็น Beatrice กันความรู้สึกของเธอออกจากหน้าที่และแบ่งแยกมันอย่างชัดเจน โดยการรายงานเหตุการณ์ต่อคุณพ่อ Vincent (Tristán Ulloa) แบบที่เรียกได้ว่าไร้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลจนโดน Mary ด่า แต่เธอก็ตอบกลับไปว่า
'I loved her, too. I just... need something to focus on.' (ฉันก็มีหัวใจนะเฟ้ย ยัยโชกุน!)
ซึ่งในฉากเดียวกันนี้ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย คุณจะเห็นสายตาของ Beatrice ที่เฝ้ามองความเสียใจอย่างเปิดเผยของ Mary หนแรกเรามองสายตานั้นเป็นความรู้สึกแย่ของ Beatrice ที่เธอต้องเก็บกดความเป็นตัวเธอเอาไว้และไม่สามารถแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกับ Mary ได้
(รู้กันดีว่า Mary ไม่ได้ปฏิญาณตนเป็นแม่ชีด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ยังได้อยู่กับคณะต่อเพราะมีประโยชน์ ....โถ่ นี่มันสถานะของคอมมูฯ ในวงการบันเทิงแท้ ๆ)
ชัดเจนว่า Mary คือภาพสะท้อนที่ Beatrice ไม่อาจไปถึง ทั้งในแง่ของความรู้สึกและตัวตน
ขณะเดียวกันภาพการสูญเสีย Warrior Nun และความเสียใจของ Mary (ผู้รัก Warrior Nun) ในตอนนั้นก็เป็นหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตทางความรู้สึกของ Beatrice ความหวาดกลัว และการ Coming out ในเวลาต่อมา
ในฉากนี้บวกกับตอนหลังที่ Beatrice คุยกับ Ava บนโต๊ะอาหาร ใน Ep.3 ทำให้เราอดสงสัยความรู้สึกของ Beatrice ที่มีต่อ Shannon ไม่ได้ อาจมีความรู้สึกลึกซึ้งกว่านั้น เป็นความชื่นชม หรือแค่เพียงในฐานะ Sister Warrior คนหนึ่ง (ตรงนี้กาวเองล้วน ๆ) แต่ดูรวม ๆ แล้วน่าจะไปทางความผูกพันแบบมิตรภาพ...กับอีกนิดหนึ่ง
เมื่อพูดถึง Ep.3 แล้วก็ .... 'พวกเราทุกคนมีอดีต Ava'
มีอย่างน้อยสองครั้งที่สองคนนี้เปิดอกคุยกันในช่วงต้นเรื่อง ก่อน Ava จะหนีไป แต่จะสังเกตเห็นว่าครั้งสองนั้น Beatrice ลดกำแพงลงเยอะมากเมื่อเทียบกับหนแรก
ถึงอย่างนั้นทั้งสองหน เราก็ไม่ทันนึกเลยว่าเรื่องราวในอดีตของ Beatrice คือเรื่องอะไร (พลาดมาก ๆ) แค่สงสัยว่ามันต้องมีอะไรค่อนข้างเป็นความลับในทางดำมืดสุด ๆ เท่านั้น จนไป make sense อีกทีตอน Ep.8 ที่อ่านบันทึกของซิสเตอร์ Melane
But none of that matters once you realize that not everything is about you.
quote ข้างบนนี้เป็นคำพูดของ Beatrice ที่ใช้นำทาง Ava พอ Ep.9 Ava ก็เอากลับมาย้อนคนพูด และอีกครั้งตอน Ep.8 ss2 เปลี่ยนบริบทนิดหน่อย (กรี๊ดสิคะ รออะไร)
ซึ่งใน Ep.3 นี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า Beatrice เป็นคนที่ให้หน้าที่มาก่อนความรู้สึกและเรื่องส่วนตัว จนกำแพงมันไปแตกเพราะ Ava วาร์ปทะลุผ่านเข้าไปได้นั่นเอง ...ว่าไปนั่น
ก็คือน้องพังกำแพงความห่างเหินของ Beatrice ลงได้ (เร็วด้วย) เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความเป็นตัวเองของ Ava และค่อนข้างเปิดเผย สังเกตผ่านการพูดคุยกันและความซื่อตรงของของน้องตอนน้องโดดกอด Beatrice ครั้งแรกหลังโดนคุณแม่อธิการหยุมหัว
แม้ Beatrice จะให้หน้าที่มาก่อนความรู้สึกหรือเรื่องส่วนตัวของตัวเอง แต่ก็เป็นคนใส่ใจความรู้สึกคนอื่นและพวกพ้องพอสมควรเลย ยกเว้นตอนที่โดน Mary ด่า เพราะตอนนั้น Beatrice น่าจะตัดสินผ่านมุมมองความรู้สึกของตนเองที่มีต่อการสูญเสีย Shannon มากกว่า เลยยกเอาหน้าที่มาก่อน
และจะสังเกตเห็นว่า Beatrice ห่วงใยความรู้สึกน้อง Ava ขนาดไหนผ่าน Action ในการกอดครั้งนั้นที่ค่อนข้างทะนุถนอมความรู้สึกน้องเหลือเกิน
แต่ถึงอย่างนั้น ในการกอดหนนี้แหละค่ะท่านผู้ชม ที่คุณจะได้สังเกตเห็นในอีกมุมหนึ่งว่า...
'Beatrice มักไม่สัมผัสอย่างถึงเนื้อถึงตัวแบบท่วมท้นไปด้วย Emotional' (อาจเพราะเป็นชีด้วย)
ดังนั้นถึงแม้ Beatrice จะเต็มใจกอดปลอบ Ava แต่ก็มีกำแพงบางอย่างตึงตามมา นอกจากความทะนุถนอมแล้ว เลยเห็นความกังวลบางอย่างของ Beatrice ในฉากนี้ด้วย แต่ก็ยอมปล่อยให้น้องเต็มที่ (กาวอีกและ)
(มีการแสดงออกแบบนี้อีกครั้งตอนกอด Camila แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอาการชะงักแบบนี้อีกเลย ถ้าจำไม่ผิดนะ)
นึกย้อนกลับไป Ep.แรกค่ะ ย้อนกลับไปที่ Mary กอด Shannon ตอนใกล้ตาย และสายตาของ Beatrice ที่เฝ้ามอง Mary หรือแม้ตอนพี่บีแกบอกลา Shannon ก็จูบลาอย่างเย็นชาที่หน้าผากเท่านั้นเอง ค่อนข้างจะวางตัวห่างเหินจากคนอื่น ๆ พอสมควร มันเหมือนมีบาปมาครอบความรู้สึก Beatrice ไว้ ก่อน Ava มาปลดมันออก จนซีซัน 2 เป้าหมายพี่แกถึงได้กลับตาลปัตรแบบนั้น ผู้หญิงคนนี้อดทนอดกลั้นมามากจริง ๆ
I guess it kind of struck.
Beatrice in EP.3 SS1
'สันโดษ' คือคำดูถูก'
ตอน Ep.5 ที่ Beatrice คุยกับคาดินัล Duretti เป็นการสะท้อนมุมมองของตัวเองที่น่าเศร้าและน่าสนใจพอสมควร เพราะพี่แกเลือกใช้คำว่า ''สันโดษ' คือคำดูถูก'
นอกจากจะสะท้อนความโดดเดี่ยว ความสันโดษของพี่แกเองแล้ว แล้วยังชี้ให้เห็นอีกว่า นั่นอาจเป็นมุมมองที่ Beatrice เชื่อว่าคนอื่นภายนอก มองและตัดสินเธอเป็นแบบนั้น เป็นการสะท้อนภาพกำแพงของเธอที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยตัวเธอเองหรือเพราะเหตุผลอย่างอื่น ทั้งที่เธอไม่ควรต้องกลายเป็นคนสันโดษแบบนั้นเลยก็ได้ นำไปสู่คำพูดถัดไปที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
"I, for one, thought 'loner' was a judgmental term for an official assessment."
"Well, think of it as you had more time to prepare for whatever life would throw your way."
"And less time to actually to enjoy it."
แทรกๆ ชอบบทสนทนาช่วงสุดท้ายที่คุยกับ Duretti มาก โคตรขัดขืน 'เรื่องความศรัทธาเชื่อมือฉันได้เลยค่ะ ต่อพระเจ้าอ่านะ' Duretti ไม่สั่งย้ายก็แปลกแล้ว
ถ้าลองสังเกตก็จะเห็นว่าช่วง Ep.4 มา ที่ Ava หนีไป ฉากชีวิตของ Beatrice กับ Ava จะมีความสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พี่บีแก 'Faith is my business' ทำภารกิจรับใช้พระเจ้ารัว ๆ Ava ก็คือเที่ยวสนุกเลย เหมือนเพิ่งเกิดใหม่ได้ไม่กี่วัน แต่เต็มที่กว่า Beatrice ทั้งชีวิต
ตรงนี้เราเชื่อมไปถึงคำพูดของ Shannon ในนิมิตได้ ไว้จะมาพูดถึงบทความหน้า จะเขียนแน่นอน!
แล้วเราก็มาถึง Beatrice is a Badass!!!
ใน Ep.7 มันมีฉากหนึ่งที่น่าสนใจมาก มาก มาก ๆ แน่นอนว่าเป็นอีกฉากที่เราไม่เลย... ไม่ทันสังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยตอนดูรอบแรก ดังนั้นเราจึงบอกได้ว่า ซีรีส์ซ่อนไว้เนียนมากค่ะ ก็คือฉากห้ามเลือดบนรถตู้
คนที่ห้ามเลือดให้ Ava ในฉากนั้นมีอยู่ 2 คน คือ Beatrice และ Camila แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ในฉากนี้เราจะเห็นตำแหน่งการวางมือของทั้งสองที่สลับกันอยู่โดยมีมือพี่บีอยู่ล่างสุดพยายามเอาผ้ามากดปิดแผล
และเนื่องจากบาดแผลของ Ava มันอยู่บนหน้าอกซ้ายพอดี พอกดปิดแผลเข้าที่แล้ว Beatrice กลับลังเลแล้วเลือกที่จะดึงมือออกมาวางมือประกบไว้บนสุดที่หลังมือของ Camila แทน กลายเป็นมือ Camila ที่อยู่ล่างสุด
ตรงนี้จะมีฉากสั้น ๆ ที่ตัดให้เห็นหน้าของ Camila ที่หันไปมอง Beatrice อย่างสงสัยและดูออกในทันทีว่ามีคนกำลังซวย ณ ตรงนั้นแหละที่ Cap.Camila กัปตันเรือชิป Avatrice ได้ถือกำเนิด
(สาระอยู่ตรงไหน..เนี่ย)
ฉากนี้มองง่าย ๆ ได้สองมุม แต่มุมไหนก็ชิปทั้งนั้น
หนึ่งคือ Beatrice ไม่กล้าแตะตัว Ava พูดง่าย ๆ ก็คือ แพนิคที่จะโดนหน้าอกเขา แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์คับขันก็ตาม
สองคือ ความสุภาพที่ไม่อยากฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวน้อง ในสถานการณ์นี้ที่จำเป็นและไม่ได้เกินเลย ที่แทบทั้งรถก็มีแต่ผู้หญิง จึงเกิดคำถามว่า ทำไม? ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นห่วงมากจนออกนอกหน้าและกัปตันเรือชิปก็สังเกตเห็นอยู่ดี
ยังไม่นับตอน Ava ระเบิดพลัง แล้ว Beatrice เท Mary วิ่งไปหา Ava ก่อนนะ มันออกจะ..inTEResting!! ตรงนี้เป็นหนึ่งคำใบ้ของ Beatrice ที่ยอมรับว่าตัวเองตาถั่วมาก
จริงอยู่ที่ Beatrice เป็นคนห่วงพวกพ้อง แต่หลังจากตรงนี้ไปเราก็จะเห็นพี่แกเป็นห่วง Ava มากเป็นพิเศษตลอดการฝึกซ้อม แสดงออกอย่างถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้นอย่างลืมตัว และแพนิคตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
She came out, but not too much.
Ep.8 เป็น Ep. แห่งการเฮโล...โห่ร้อง เมื่อ Beatrice ได้เปิดเผยความลับของตัวเองต่อ Ava ก่อนเข้าเรื่องเราจะเห็น Beatrice ยิ้มน้อย ๆ ตอน Ava ด่านาซีว่า 'ห่วยบรม' จากนั้นจึงแสดงความเจ็บปวดที่เชื่อมโยงกันกับเรื่องราวของซิสเตอร์ Melane ออกมา
เราจะไม่ลงรายละเอียดมากนัก แต่จากเรื่องเล่ามีความเป็นไปได้ว่า Beatrice น่าจะเคยถูกเรียกด้วยคำพูดเดียวกันกับ Melane ในเชิงดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งทำให้เธอพยายามสร้างคุณค่าในตัวเอง เพื่อที่คนอื่นจะได้ยอมรับเธอ
มันเหมือนการกล่าวว่า "เป็นอะไรก็ได้ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ" แล้วถ้าเธอดีไม่พอล่ะ? เท่าไหนถึงจะพอ เท่าไหนถึงจะยอมรับได้ สำหรับคนที่ถูกขับออกไปอยู่นอกขอบของคำว่า 'ปกติ' และตกอยู่ภายใต้ความกลัวอย่างเดียวกันกับ Beatrice เท่าไหนมันก็คงดีไม่พอ เพราะเขาไม่ได้ถูกยอมรับจากตัวตนที่เขาเป็น เขาต้องพิสูจน์บางสิ่งก่อน จึงจะถูกยอมรับได้ ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับ
It was everyone but you.
Beatrice
สิ่งที่น่ายินดีเกี่ยวกับเรื่องนี้คือการที่ Ava ไม่ได้ทำตัวเฮงซวย แม้น้องจะมีความคึกคะนองแบบเด็กเพิ่งฟื้นจากความตายและห้าวเป้งอยู่ไม่น้อย แต่น้องกลับเข้าใจและพยายามทำความเข้าใจ Beatrice
ซึ่งนำไปสู่การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ให้หลุดออกจากความกลัวของตัวเอง เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
เพราะการปฏิบัติของ Ava ทำให้เรารู้สึกดีแทน Beatrice ที่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจและพร้อมจะยอมรับ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าถูกเลี้ยงมาโดยแม่ชีแบบนั้นน้องเป็นเด็กดีขนาดนี้ได้ยังไง
คิดว่าความรู้สึกของ Ava และ Beatrice น่าจะอยู่ในโหมดจริงจังมากขึ้นหลังจากจุดนี้ไป เพราะไม่มีความลับอีกแล้ว ส่วนซีซัน 2 ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละค่ะ ท่านผู้ชม ใส่ฟีลเตอร์สีรุ้งได้คงทำไปแล้ว
ยอมรับว่าหลายรายละเอียดของตัวละครเราไม่ทันคิดจะสังเกตเห็นมันเลย นอกจากคิดอยู่ในใจแต่ว่า "เกย์ เกย์ เกย์ เกย์ ๆๆๆๆ" พอมานึกย้อนดูแล้วมันทำให้เราชอบ Warrior Nun มาก ๆ ที่ใส่รายละเอียดต่าง ๆ นี้ไว้อย่างใจเย็น ตั้งแต่ซีซัน 1 และทำสงครามทั้งหมดเพื่อ....นะ ชาบูนักแสดงและทีมสร้างด้วยการกด '99' สาธุ
และทั้งหมดนี่คือ Beatrice ส่วน Badass ยังไง ต้องไปดูเองใน Warrior Nun นักรบแห่งศรัทธา
ไม่มีแม่ชีเรื่องไหนเท่เท่าเรื่องนี้อีกแล้ว การได้เห็นแม่ชีบุ๊คือความฝัน
ซีซัน 2 มาแล้ว และหวังว่าจะไม่โดนเทซีซัน 3 ไปดูกันเยอะ ๆ ถ้าชอบก็ดูซ้ำหลาย ๆ รอบ ไม่ชอบก็ดูซ้ำกันอีกสักรอบสองรอบ ดูซ้ำ ๆ เป็นล้าน ๆ รอบ (ผิดช่อง!) และบอกให้ Netflix เลิกเมินเรื่องนี้สักทีก่อนแม่ชีจะลงโทษ!
My faith is my mission
โฆษณา