Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เดอะสตาร์ทอัพ.ออนไลน์
•
ติดตาม
25 พ.ย. 2022 เวลา 03:01 • ประวัติศาสตร์
ทวีปยุโรป
มีแต่คนรวยเท่านั้นที่มีสับปะรด
มีแต่คนรวยเท่านั้นที่มีสับปะรด
ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 18 สับปะรดมีราคาแพงและหายากมาก การแปลงราคาสับปะรดทั้งลูกในศตวรรษที่ 16, 17 และ 18 ให้เป็นเงินสกุลดอลลาร์ในปัจจุบันนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 ดอลลาร์ต่อสับปะรดหนึ่งลูกขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลไม้และฤดูกาล
แล้วผลไม้ชนิดนี้มีค่ามากได้อย่างไร?
แม้ว่าสับปะรดจะมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้และปลูกที่นั่นมาหลายศตวรรษ แต่ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1493 ระหว่างการเดินทางครั้งที่สองของ “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” เพื่อค้นหาดินแดนแห่งใหม เขาแวะที่ “เกาะกวาเดอลูป” ในทะเลแคริบเบียน ที่เกาะแห่งนี้เขาได้รู้จักกับผลไม้ที่ชื่อว่า “สับปะรด” เป็นครั้งแรกในชีวิต “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” นำสับปะรดกลับไปที่สเปน หลังจากนั้นสับปะรดจึงได้กลายเป็นผลไม้ยอดนิยมของชนชั้นสูงในยุโรป
ในสมัยนั้นยุโรปขาดแคลนน้ำตาลทรายขาวและวัตถุที่ให้ความหวานอื่น ๆ ด้วย วิธีเดียวที่จะได้สับปะรดมาคือ การจ่ายเงินเพื่อนำเข้าโดยตรงซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก เรือขนส่งหลายลำในยุคนั้นแล่นช้าเกินไป และสภาพอากาศบนเรือร้อนเกินไปที่จะป้องกันไม่ให้สับปะรดทั้งลูกเน่าเสียระหว่างการเดินทาง
ดังนั้นการขนส่งสับปะรดทั้งลูกอย่างปลอดภัยจากหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนมาถึงยุโรปจึงต้องใช้เรือที่เร็วที่สุดและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยที่สุด ผลที่ตามมาคือ คนกลุ่มเดียวที่สามารถซื้อสับปะรดทั้งลูกได้ ก็คือคนระดับราชวงศ์หรือมหาเศรษฐีเท่านั้น
สองศตวรรษหลังจากชาวยุโรปค้นพบสับปะรด ชาวดัตช์สามารถเริ่มปลูกสับประรดได้สำเร็จในช่วงปลายทศวรรษ 1600 หลังจากราชสำนักอังกฤษรู้ข่าวการปลูกสับปะรดและพืชและผลไม้แปลก ๆ อื่น ๆ ได้ตลอดทั้งปี ทำให้ขุนนางหลายคนสนใจส่งคนทำสวนของตระกูลตนเอง เดินทางจากอังกฤษไปยังเนเธอร์แลนด์เพื่อเรียนรู้เทคนิคของเขาโดยตรง
1
เหตุใดชาวดัตช์จึงมีอำนาจควบคุมการผลิตสับปะรด?
สาเหตุหลักมาจากบริษัทอินเดียตะวันตกของดัตช์ ซึ่งมีอำนาจผูกขาดการค้าในทะเลแคริบเบียนเกือบทั้งหมดในขณะนั้น ทำให้ชาวดัตช์ผู้มั่งคั่งสามารถนำเข้าพืชสับปะรดจำนวนมาก เพื่อมาทดลองปลูกได้แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงมากก็ตาม
ชายคนหนึ่งชื่อ “จอห์น โรส” มักถูกเข้าใจผิดว่าปลูกสับปะรดต้นแรกในอังกฤษ เนื่องจากมีภาพวาดในปี ค.ศ. 1675 ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขานำเสนอสับปะรดสุกแก่ “พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2” แต่ปรากฎว่าสับปะรดที่เห็นในภาพวาดนั้นเป็นสับปะรดที่นำเข้ามาจาก “บาฮามาส”
จนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. 1714-1716 การปลูกสับปะรดในดินอังกฤษก็ประสบความสำเร็จ เมื่อชาวดัตช์ชื่อ “Henry Telende” สามารถปลูกสับปะรดให้กับนายจ้างของเขา “Matthew Decker”
วิธีการปลูกสับปะรดของ “Henry Telende” คือการรักษาอุณหภูมิของดินในโรงเรือนร้อนที่ออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่งจะมีหลุมสีน้ำตาลที่เรียงรายไปด้วยก้อนกรวดอยู่ข้างใน เขาวางปุ๋ยคอกไว้บนก้อนกรวด แล้ววางบนเปลือกไม้โอ๊คแช่น้ำ ปุ๋ยคอกสร้างความร้อนมากเกินไปในช่วงแรก แต่เปลือกไม้โอ๊คแช่น้ำจะช่วยควบคุมและให้ความร้อนที่สม่ำเสมอมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้อุณหภูมิดินคงที่เหมาะสมสำหรับการปลูกสับปะรด
แม้ว่าการปลูกสับปะรดในดินอังกฤษจะเป็นไปได้แล้ว แต่การสร้างโรงเรือนสำหรับปลูกสับปะรดต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทำให้มีโรงเรือนปลูกสับปะรดในอังกฤษเพียงไม่กี่แห่ง เมื่อผลผลิตออกมาสู่ตลาดมีจำนวนน้อยมาก แต่ความต้องการซื้อมีสูง ดังนั้นการครอบครองสับปะรดสักลูกก็ยังมีราคาแพงอยู่ดี จนขุนนางหลายคนไม่กินมัน
พวกขุนนางอังกฤษเลือกที่จะวางสับปะรดไว้รอบ ๆ บ้าน เหมือนเป็นเครื่องประดับล้ำค่าหรือพกติดตัวไปในงานปาร์ตี้ มีนักธุรกิจหัวใสเปิดร้านให้เช่าสับปะรดทั่วอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ร่ำรวยสามารถเช่าสับปะรดแล้วเหน็บมันไว้ในซอกแขนเพื่อเดินอวดความร่ำรวยในงานปาร์ตี้ได้เช่นกัน สับปะรดลูกนี้จะถูกส่งต่อจากผู้เช่าคนหนึ่งไปยังผู้เช่าอีกคนหนึ่งเป็นเวลาหลายวันจนกว่าจะมันจะสุก และถูกขายให้กับคนที่ต้องการกินมันในที่สุด
ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ บนโต๊ะอาหารจะวางสับปะรดไว้เป็นเครื่องประดับเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งของเจ้าของบ้าน สับปะรดที่วางไว้บนโต๊ะอาหารเพื่อประดับตกแต่งเท่านั้นไม่ได้มีไว้สำหรับกิน แต่มันจะถูกรายล้อมไปด้วยผลไม้อย่างอื่นที่มีราคาถูกกว่าและกินได้ อย่างไรก็ตามสับปะรดจะถูกกินก็ต่อเมื่อมันเริ่มจะเน่าเสียแล้วเท่านั้น
น้อยคนนักที่จะเคยมีประสบการณ์จริง ๆ ว่าการกินสับปะรดนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากความหวานตามธรรมชาติของสับปะรดซึ่งถูกอธิบายว่าคล้ายกับ “ไวน์ น้ำกุหลาบ และน้ำตาล” ผสมกัน ผลไม้ชนิดนี้จึงถูกมองว่าเป็นอาหารอันโอชะของชนชั้นสูงชาวอังกฤษที่ชอบทานรสหวาน
ในปี ค.ศ. 1807 มีคดีการขโมยสับปะรด ซึ่งรวมถึงคดีของ “มิสเตอร์ก็อดดิง” ซึ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 7 ปีในข้อหาขโมยสับปะรด 7 ลูกไปยังออสเตรเลีย
กล่าวกันว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ทรงรักสับปะรดเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหวานและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์รู้สึกขบขันที่ผลไม้ชนิดนี้มีรูปร่างลักษณะเหมือนสวมมงกุฎเล็ก ๆ อยู่บนหัว ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 จึงมักเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า “King-pine”
อันที่จริง หลังจากที่สับปะรดเริ่มเป็นที่รู้จักในอังกฤษ มันก็กลายเป็นลักษณะเด่นของศิลปะและสถาปัตยกรรมในยุคนั้น เช่น บ้านดันมอร์ที่มีหลังคาเป็นรูปทรงสับปะรด บ้านดันมอร์สร้างในปี ค.ศ. 1761 โดยเอิร์ลแห่งดันมอร์ ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของสกอตแลนด์
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1700 และ 1800 ศิลปินวาดภาพสับปะรดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับ เช่น ผ้าเช็ดปาก ผ้าปูโต๊ะ วอลล์เปเปอร์ และแม้กระทั่งเสาเตียง ก็ตกแต่งด้วยภาพวาดและแกะสลักเป็นรูปสับปะรดเพื่อให้แขกรู้สึกอบอุ่น หากผู้คนไม่สามารถซื้อหรือเช่าสับปะรดของจริงได้ พวกเขาจะซื้อจานลายสับปะรด และกาน้ำชาที่มีรูปร่างเป็นสับปะรด ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1760
แต่สถานะของซุปเปอร์สตาร์นี้ก็อยู่ได้ไม่นานนัก เรือกลไฟเริ่มนำเข้าสับปะรดไปยังอังกฤษเป็นประจำทำให้สับปะรดมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ
ไม่ใช่แค่เพียงชนชั้นกลางเท่านั้นที่สามารถซื้อสับปะรดได้ แต่ชนชั้นแรงงานก็สามารถทำได้เช่นกัน
สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นผลไม้หรูหรา ตอนนี้สามารถหาซื้อได้ตามแผงลอยและรถเข็นราคาถูกในเมืองส่วนใหญ่ทั่วประเทศ
#ประวัติศาสตร์ #สับปะรด #ผลไม้ #ยุโรป #อังกฤษ #อเมริกา #Thestartup
อ้างอิง :
https://thestartupdotonline.wordpress.com/
ประวัติศาสตร์
ไลฟ์สไตล์
ฟรีดอมนิวส์
1 บันทึก
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย