27 พ.ย. 2022 เวลา 14:29 • หนังสือ
เรื่องที่ 2 พญาช้างผู้เสียสละ
1
บทที่ 2
2.1บริเวณป่าหิมพานต์ มีช้างป่าอยู่โขลงหนึ่งจำนวนนับเป็น แสนเชือกอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ชาตินั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นช้างขาวปลอดทั้งตัว มองดูแล้วเหมือนกองเงิน ตาทั้งสองข้างกลมเหมือนก้อนแก้วมณี หน้าแดงระเรื่อเหมือนผ้ากัมพลแดง งวงยาวด้วยเหมือนพวงเงินที่ ประดับด้วยหยดทองคำขาว เท้าทั้ง 4 แตงเหมือนทาด้วยน้ำครั้ง และมีชื่อว่า “พญาสีลวะ” เนื่องจากเป็นช้างถือศีล พระเทวทัต เกิดเป็นพรานป่า
1
2.2พญาช้างสีลวะมีรูปร่างสวยงามมาก ถึงคราวเติบโตเป็นช้าง หนุ่ม ที่มีช้าง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็นบริวารห้อมล้อม ต่อมาเกิดเบื่อ หน่ายโขลงช้างที่รับผิดชอบดูแล จึงปลีกตัวไปอยู่ตามลำพัง ต่อมา มีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งเดินทางไป บริเวณป่าหิมพานต์เพื่อหาเก็บผักผลไม้และล่าสัตว์เลี้ยงชีพ เขาเดิน ไปเรื่อย ๆ จนเข้าไปในป่าลึก และจำไม่ได้ว่าทิศไหนเป็นทิศตะวัน ออกหรือทิศตะวันตก ทิศเหนือ หรือทิศใต้ จึงหลงทางกลับเมือง พาราณสีไม่ถูก ตะวันคล้อยต่ำลงทุกขณะป่าที่มืดครึ้ม เริ่มหนาว เย็นมากยิ่งขึ้น
2.3เขาหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อ ไม่เห็นทางที่จะช่วยตนเองได้ ก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กลางป่านั้นเอง พญาช้างสีลวะได้ยินเสียงคร่ำครวญของพรานป่าแล้วเกิด สงสารคิดจะช่วยเขา จึงเดินตามเสียงเขามา และพบเขากำลังยืน ร้องไห้คร่ำครวญดูน่าเวทนา “ชายคนนี้กำลังประสบทุกข์ เราจะต้องช่วยเขา” พญาช้างคิด พลางค่อย ๆ เดินเข้าไปหาพรานป่า ฝ่ายพรานป่าเห็นพญาช้างเดินมาใกล้ก็รู้สึกกลัวจึงถอยหนี พญาช้างเห็นพรานป่าถอยหนีก็หยุดยืนมองอยู่เฉย ๆ พรานป่า เห็นช้างหยุดจึงหยุดบ้าง และขยับถอยหนีอีก เมื่อช้างขยับเดินเข้า
2.4เมื่อช้างขยับเดินเข้า หา พญาช้างเห็นพรานป่าถอยหนีก็หยุดยืนมองอยู่เฉย ๆ อีกเอ๊ะ...ช้างตัวนี้มีท่าทางแปลกประหลาดนัก” พรานป่าเริ่ม คิดได้ “เวลาเราหนีมันกลับหยุด เวลาเราหยุดมันกลับเดินเข้ามา สงสัยจะมาช่วยเรา" F12 ครั้นคิดได้ดังนี้ จึงรวบรวมความกล้ายืนคอยช้างซึ่งค่อย ๆ } เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ พญาช้างเดินมาหยุดอยู่ใกล้ ๆ แล้วส่าย สายตามองดูพรานป่าชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถามไปว่า ล “ท่านผู้เจริญ ท่านเดินร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทำไม” พรานป่ารู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงช้างถามอย่างอ่อนโยน จึง ตอบไปว่า
2.5 “พญาช้าง ข้าพเจ้าร้องไห้คร่ำครวญก็เพราะกลับบ้านไม่ถูก ข้าพเจ้าหลงทางหลงทิศ คงตายอยู่กลางป่านี้เองเป็นแน่” “ท่านมาจากไหน” “จากเมืองพาราณสี “ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้จักหรอกว่าเมืองพาราณสีอยู่ที่ไหน แต่ จะพาท่านออกไปให้พ้นป่าก็แล้วกัน จากนั้นท่านก็ค่อยหาทางกลับ บ้านเอง” “ขอบคุณท่านมาก พญาช้าง” พญาช้างสีลวะ นอกจากแสดงความกรุณาจะพาพรานป่า ส่งแล้ว ยังแสดงความเอื้อเฟื้อด้วยการให้พรานป่าขึ้นขี่หลังของ
2.6ตนแล้วพาไปที่อยู่เลี้ยงน้ำและผลไม้ป่าอย่างอิ่มหมีพีมัน แล้วจึงพา ออกมาส่งนอกเขตป่าหิมพานต์ พญาช้างสีลวะชำนาญเส้นทางมาก เดินลัดเลาะภูเขาและ ป่าไม้มาได้ครึ่งวันก็ถึงบริเวณชายป่าหิมพานต์ แล้วค่อย ๆ ย่อ ตัวลงเพื่อให้พรานป่าลงได้อย่างสะดวก เมื่อพรานป่าลงมายืนบน พื้นดินแล้ว พญาช้างสีลวะก็พูดขึ้นว่า “ท่านผู้เจริญ เลยป่านี้ไปหน่อยหนึ่งก็เป็นทางใหญ่ที่มนุษย์ เดินไปมากัน ข้าพเจ้าเชื่อว่า ทางสายนี้คงจะมีทางแยกไปเมือง พาราณสี+ “ข้าพเจ้าช่วยท่านครั้งนี้มิได้หวังอะไรตอบแทน” ช้างพูดขึ้น “
2.7มีอยู่อย่างเดียวที่จะขอท่าน ท่านจะให้ข้าพเจ้าได้หรือเปล่า” “ท่านขออะไรว่ามาเลย” “ขอให้ท่านอย่าบอกเรื่องที่มาพบข้าพเจ้า และอย่าบอก เรื่องที่ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่” “เท่านี้เองหรือ” พรานป่าแสดงท่ารับคำขอร้องได้ “ได้ ข้าพเจ้าจะไม่บอกใครเลยถึงเรื่องที่มาพบท่านและเรื่องที่อยู่ของท่าน “ขอบคุณท่านมาก” พญาช้างพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้า ป่าลึกไป
2.8ฝ่ายพรานป่า ตลอดเวลาที่นั่งหลังพญาช้างออกมาจากป่า นั้น ก็คอยสังเกตหนทาง โดยอาศัยภูเขาเล็ก ๆ และต้นไม้เป็น + = 06 เครื่องหมาย } “สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีก” เขาคิดอยู่ในใจ “ช้างตัวนี้ งาสวย ถ้าใครต้องการซื้อเราจะมาตัดไปขาย บ แม้จะรับปากกับพญาช้างแล้ว แต่พรานป่าก็ไม่เคยคิดจะ รักษาสัจจะ เพราะคิดแต่เพียงว่าพญาช้างเป็นสัตว์ ดังนั้นเมื่อกลับ ไปถึงเมืองพาราณสีแล้ว วันหนึ่งขณะเดินไปตามท้องถนน เห็น พวกช่างงากำลังเอางาช้างมาทำเป็นรูปแปลก ๆ ก็พลันคิดถึงพญา ๆ ช้างสีลวะ เขาจึงเดินเข้าไปถามพวกช่างงาว่า ง ๕.
2.9ฝ่ายพรานป่า ตลอดเวลาที่นั่งหลังพญาช้างออกมาจากป่า นั้น ก็คอยสังเกตหนทาง โดยอาศัยภูเขาเล็ก ๆ และต้นไม้เป็นเครื่องหมาย } “สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีก” เขาคิดอยู่ในใจ “ช้างตัวนี้ งาสวย ถ้าใครต้องการซื้อเราจะมาตัดไปขาย บ แม้จะรับปากกับพญาช้างแล้ว แต่พรานป่าก็ไม่เคยคิดจะ รักษาสัจจะ เพราะคิดแต่เพียงว่าพญาช้างเป็นสัตว์ ดังนั้นเมื่อกลับ ไปถึงเมืองพาราณสีแล้ว วันหนึ่งขณะเดินไปตามท้องถนน เห็น พวกช่างงากำลังเอางาช้างมาทำเป็นรูปแปลก ๆ ก็พลันคิดถึงพญา ๆ ช้างสีลวะ เขาจึงเดินเข้าไปถามพวกช่างงาว่า
2.10“ท่านอยากได้งาช้างเป็นกันไหม” “พูดเป็นเล่นไป” พวกช่างงาแสดงท่าทางอยากได้ “งาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างตายอีก” “ถ้าพวกท่านอยากได้ ข้าพเจ้าจะไปหามาให้ “ไปเอามาเลย เอามาเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งดี” เมื่อพวกช่างงายืนยันว่ารับซื้อแน่นอน พรานป่าก็รีบกลับ มาบ้าน เตรียมเลื่อยเหล็กและเสบียง แล้วออกเดินทางมุ่งหน้าไป หิมพานต์ที่อยู่ของพญาช้างสีลวะทันที เขาชำนาญการเดินทาง และจำเครื่องหมายได้ดี เดินทางอยู่ไม่กี่วันก็ไปถึงที่อยู่ของพญาช้าง
2.11ท่านผู้เจริญ ท่านกลับมาทำไมล่ะ” พญาช้างสีลวะถาม เขา ซึ่งบัดนี้มายืนอยู่เบื้องหน้า “พญาช้าง” พรานป่าตอบละ “ข้าพเจ้ามาหาท่านนั่นแหละ” “มีเรียงอะไรหรือ” “พญาช้าง ข้าพเจ้าเป็นคนจน อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีญาติ พี่น้อง แถมยังหากินฝืดเคือง มาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของท่านสัก สองท่อนเพื่อเอาไปขาย” “ได้ ถ้างาของข้าพเจ้าจะช่วยให้ท่านเลี้ยงชีวิตอยู่ได้” พญาช้างสีลวะพูดด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็หมอบลง พรานป่าดีใจมากที่จะได้งาช้างเป็นไปขาย ซึ่งจะทำให้เขา ได้ราคางาม จึงรีบเอาเลื่อยออกมาเลื่อยตรงบริเวณส่วนปลายงา
1
2.12ทั้งสองข้าง ทันทีที่งาขาดตกลงถึงพื้นดิน พญาช้างสีลวะก็เอางวง จับงาทั้งสองนั้นขึ้นมาทำไว้แน่นพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าให้งาทั้งสองนี้แก่ท่าน ไม่ใช่เพราะ ว่าข้าพเจ้าไม่รัก ตรงกันข้าม ข้าพเจ้ารักมันมาก เพราะมันทำให้ เรือนร่างของข้าพเจ้าสวยงาม แต่ยังมีงาอีกชนิดหนึ่งที่ข้าพเจ้ารัก ยิ่งกว่า เพราะเป็นงาที่จะทำให้ข้าพเจ้าได้รู้แจ้งธรรมทั้งปวง นั่นคือ
2.13พระสัพพัญญุตญาณ และยังช่วยโลกให้พ้นจากความทุกข์ได้อย่าง ใหญ่หลวง” บ ครั้นแล้ว พญาช้างสีลวะก็ชูงวงตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แล้วยื่นมาให้ พรานป่ารับไป [ พรานป่าได้มาแล้วก็รีบเดินทางกลับไปเมืองพาราณสี นำงา ช้างไปขายให้พวกช่างงาได้ราคางามมากทีเดียว เขาเป็นอยู่อย่าง สุขสบายได้ระยะหนึ่ง เงินก็หมด จึงเดินทางกลับมาขอตัดงาส่วน ที่ยังเหลืออีก“พญาช้าง งาสองท่อนที่ท่านให้ไปขายได้ราคาเพียงแค่ใช้ หนี้เท่านั้น
2.14ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาที่ยังเหลือไปขายอีก” พรานป่าโอดครวญ “เชิญท่านตัดเลย” พญาช้างสีลวะบอกพรานป่า พลาง หมอบลง พรานป่าก็ตัดเอางาไปอีก ๒ ท่อน รายได้จากงา ๒ ท่อน นั้นช่วยให้เขาเป็นอยู่อย่างสบายได้ระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมา ขอตัดงาส่วนที่ยังเหลืออยู่อีก จนครั้งสุดท้ายมาขอตัดเอาโคนงา ส่วนที่ยังฝังอยู่ในเนื้อ “เชิญตัดเลย” พญาช้างสีลวะเสียสละให้เหมือนอย่างเคย
2.15พรานป่ารีบเหยียบงวงแล้วปืนขึ้นไปเหยียบกระพองแล้วเอา ส้นเท้ากระทืบไปที่ปลายงาทั้งสองที่เหลือกุดอยู่จนเนื้อฉีกมองเ โคนงา จากนั้นจึงลงมาเอาเลื่อยแล้วปีนขึ้นไปตัดจนขาด ครั้นได้ตามต้องการแล้วก็รีบจากไปด้วยความดีใจ ขณะที่เขาเดินจากพญาช้างสีลวะไปด้วยความดีใจนั้น พลันเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น คือ แผ่นดินตรงที่เขาเดินอยู่นั้น ได้แยก ออกแล้วสูบเขาจมหายไป แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟจากอเวจี มหานครลุกท่วมร่างของเขาแดงฉานเหมือนห่มคลุมด้วยผ้าสีแดง เทวดาตนหนึ่งสถิตอยู่บริเวณป่านั้น เห็นพฤติกรรมของ
2.16พรานป่ามาตลอดจนกระทั่งถึงเวลาที่ถูกแผ่นดินสูบ จึงพูดขึ้นเสียง ดังว่า “คนอกตัญญูเห็นแก่ได้ แม้ใครยกแผ่นดินทั้งหมดให้เขา ครอบครอง ก็ไม่ทำให้เขาหยุดโลกได้” ฝ่ายพญาช้างสีลวะ แม้บัดนี้จะไม่มีงาแล้ว แต่ก็สู้ข่มความ เจ็บปวดและทุกข์ทรมาน โดยมิได้เจ็บแค้นพรานป่าเลยแม้แต่น้อย แล้วล้มไปเมื่อถึงอายุขัย
2.17ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนอกตัญญูนั้น แม้ตอนแรกจะดู รุ่งเรือง แต่สุดท้ายก็จะพบกับความวิบัติ เหมือนพรานป่ายกตัญญู ต่อพญาช้างสีลวะแล้วพบกับความวิบัติ ฉะนั้น
โฆษณา