รู้จัก MEGAPOLY แนวคิดลงทุนใน บริษัทใหญ่ ที่ครอบครองโลก
ถ้าถามว่า ลงทุนแมนมีแนวคิดการลงทุนที่ใช้ได้ง่าย ๆ ที่เป็นสูตรสำเร็จหรือไม่ ?
แนวคิดการลงทุน ที่ลงทุนแมนคิดว่าดี และชอบใช้ คืออะไร ?
วันนี้ลงทุนแมนจะเล่าเรื่อง MEGAPOLY แนวคิดการลงทุนแบบง่าย ๆ ของตัวเองให้ฟัง
จากประสบการณ์ของลงทุนแมน ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายครั้ง ได้ตกตะกอนทำให้เกิดความคิดที่ว่า การลงทุนที่ดี นอกจากผลตอบแทนที่เป็นเรื่องสำคัญแล้ว การลงทุนที่ทำให้ “เรานอนหลับสบาย” ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน..
ถ้าเราต้องกระสับกระส่าย หรือต้องนั่งกังวลใจหลังจากการลงทุนแล้ว ต่อให้การลงทุนนั้นจะให้ผลตอบแทนมากแค่ไหน มันก็จะเป็นการลงทุนที่ใช้ไม่ได้ไปตลอด เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็คงไม่ได้อยากมีเงินมากมายในขณะที่เรา
ยังมีความทุกข์ และความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
และสิ่งที่ทำให้เรานอนหลับไม่สบายก็อาจเป็น
- การลงทุนที่กู้เงินของคนอื่นมาลงทุน เมื่อขาดทุนเราก็กังวลว่าจะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืนเงินกู้
- การลงทุนในบริษัท หรือสินทรัพย์ที่เราไม่รู้จัก และไม่เข้าใจ ว่ามันทำอะไร และสินค้าของมันจะยังอยู่ได้ไปอีกหลายปีหรือไม่
- การลงทุนในสินทรัพย์ที่เราคิดว่าเรารู้จักดีแล้ว แต่มารู้ทีหลังว่าเรารู้จักมันไม่ดีพอ
ดังนั้นวันนี้ลงทุนแมนจะมาแนะนำแนวคิด MEGAPOLY ซึ่งเป็นแนวคิดการลงทุนที่ลงทุนแมนคิดค้นขึ้นมาเอง โดยแนวคิดนี้จะทำให้เราหลับสบาย และเติบโตไปกับมันได้แบบง่าย ๆ
คำว่า MEGAPOLY มาจาก MEGA + MONOPOLY เป็นคำที่ลงทุนแมนตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งหมายถึง บริษัทขนาดใหญ่ที่ครอบครองโลกใบนี้แบบผูกขาด
โดยการลงทุนใน MEGAPOLY จะทำให้เรามีโอกาสชนะ และมีความกังวลที่น้อยกว่า แนวคิดการลงทุนในรูปแบบอื่น
ซึ่งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกบริษัทที่เข้าเกณฑ์ MEGAPOLY มีแค่เพียง 2 ข้อ ดังนี้
1. บริษัทนั้นต้องเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ทุกคนบนโลกขาดไม่ได้ในยุคนี้
ลองให้ทุกคนหลับตา แล้วนึกภาพแบรนด์สักแบรนด์ที่คิดว่ามนุษย์บนโลกจะขาดไม่ได้เลยในยุคนี้
แน่นอนว่าหลายคนจะมีภาพในหัวออกมาแตกต่างกัน แต่ถ้าให้ลงทุนแมนคาดเดา ภาพที่คนส่วนใหญ่คิดออกแวบแรก ก็คงจะเป็น iPhone, Google
หรือบางคนอาจบอกว่า YouTube, Facebook
ลองถามตัวเองว่า เราใช้ iPhone, Google, YouTube, Facebook ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
บางคนอาจบอกว่า “ตอนนี้”
แน่นอนว่าประชากรไทยเกือบทั้งหมด น่าจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 1 ใน 4 แบรนด์นี้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า อาจจะก่อนแปรงฟันด้วยซ้ำ และก่อนนอน.. หลังแปรงฟัน
แล้วถ้าให้หลับตาใหม่
ถามต่อว่า เราไปกินข้าวในร้านอาหารที่เราชอบ 4 อันดับแรก ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
หลายคนคงบอกว่า.. จำไม่ได้
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า การที่เราได้เข้าไปร่วมเป็นเจ้าของสินค้าที่ใคร ๆ ก็ใช้ หรือสินค้าที่ทุกคนบนโลกขาดไม่ได้ มันมีความได้เปรียบมาก
ทั้งในแง่จิตวิทยาการลงทุนที่ทำให้เราสบายใจ เมื่อเห็นใคร ๆ ก็ใช้สินค้าของบริษัทที่เราร่วมเป็นเจ้าของ
และในแง่ของการการันตีรายได้ ว่าบริษัทนั้นจะสามารถทำรายได้ที่กระจายตัวในผู้คนจำนวนมาก ทำให้มีความเสี่ยงที่บริษัทนั้นจะล้มลงได้ยาก เพราะบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้จากแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งถ้าแบรนด์นั้นมีชื่อเสียงแค่เฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็อาจจะไม่ใช่แบรนด์ที่ทุกคนบนโลกขาดไม่ได้
เช่น Alibaba ของจีน หรือ CP ของไทย ถึงแม้ว่าคนจีนหรือคนไทยจะขาดไม่ได้ แต่สำหรับคนประเทศอื่น อาจจะบอกว่า ขาดได้ ซึ่งมันแปลว่า แบรนด์นั้นยังมีการกระจายของสินค้า ไม่มากพอที่จะทำให้เป็นแบรนด์ระดับโลกจริง ๆ
2. บริษัทนั้นต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ
ความใหญ่ของบริษัท อาจจะวัดได้จากตัวเลขรายได้ หรือตัวเลขมูลค่าบริษัท (Market Cap.)
โดยความใหญ่ของบริษัท จะสะท้อนให้เห็นถึงการมีผู้ใช้งานจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก และผู้ใช้งานเหล่านี้พร้อมที่จะทดลองใช้สินค้า หรือบริการใหม่ ๆ ของบริษัทตลอดเวลา โดยที่บริษัทนั้นไม่ต้องใช้แรงในการทำตลาดสินค้าใหม่
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ Apple มีสินค้าเดิมคือ iPhone อยู่มาวันหนึ่ง Apple บอกว่าจะออก AirPods หูฟังไร้สายซึ่งเป็นสินค้าใหม่ของบริษัท
ถ้าเป็นบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ Apple ก็คงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการทำตลาด แต่สำหรับ Apple แค่ทำให้การเชื่อมต่อ AirPods กับ iPhone ไร้รอยต่อ คนที่ใช้ iPhone ก็พร้อมที่จะซื้อ AirPods ในเวลาอันรวดเร็ว
รู้หรือไม่ว่า ตอนนี้ AirPods เป็นหูฟังที่ผู้คนทั่วโลกใช้เป็นอันดับ 1 แซงหน้าแบรนด์หูฟังอื่น ๆ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
ในขณะที่ ถ้าเราลงทุนในแบรนด์หูฟังอื่น ๆ ซึ่งเราคิดว่าเป็นแบรนด์ที่ดี ก็อาจยังไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนและเป็นกังวลได้
เพราะในที่สุดแล้ว มันจะแพ้ “ความใหญ่” ของ Apple ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น แต่เข้ามาตีตลาดได้ในที่สุด
ดังนั้นความใหญ่ของบริษัทนั้นสำคัญมาก ในการแข่งขันในโลกยุคที่มีการโจมตี Disrupt ระหว่างอุตสาหกรรมกันได้ง่ายแบบในยุคนี้
ซึ่งแน่นอนว่า Apple ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่หูฟัง แต่เราได้เห็นว่ามีการขยายไปยังนาฬิกา และในอนาคต ก็อาจจะขยายธุรกิจไปถึงรถยนต์ และธุรกิจการเงิน เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราลงทุนก็ไม่ใช่จะค้างไว้ตลอด เราจะต้องอัปเดตตัวเองอยู่เสมอว่า แบรนด์นั้นยังเป็นแบรนด์สุดยอดระดับโลกที่ทุกคนยังขาดไม่ได้อยู่หรือไม่
ตัวอย่างเช่น โค้ก อาจเป็นสุดยอดแบรนด์ที่ทุกคนบนโลกขาดไม่ได้ แต่ในตอนนี้ถึงแม้ว่าโค้กจะยังเป็นแบรนด์ที่หลายคนชื่นชอบอยู่ แต่ก็อาจตกอันดับลงไปบ้าง เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ
รวมไปถึงความใหญ่ของบริษัทที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เมื่อก่อนบริษัทน้ำมันอย่าง Exxon จะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความใหญ่ของ Exxon มีขนาดลดลง ก็อาจแปลได้ว่า Exxon มีความได้เปรียบที่ลดลง เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ
ถ้าเราลงทุนให้ล้อไปกับยักษ์ใหญ่ของโลก ในช่วงเวลานั้น ๆ ก็จะสามารถรักษาความได้เปรียบไว้ได้อย่างยั่งยืน
สรุปแล้ว
แนวคิดการลงทุนใน MEGAPOLY ของลงทุนแมน ประกอบไปด้วย 2 หลักการแบบง่าย ๆ ก็คือ
1. เป็นแบรนด์ที่ทุกคนบนโลกขาดไม่ได้ มีรายได้ทั่วโลก
2. มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ถ้าเราลงทุนในบริษัทเหล่านี้ โดยเน้นนำเงินกระจายไปสัก 10 บริษัทที่ดีที่สุด และคอยอัปเดตทบทวนรายชื่อปีละ 1-2 ครั้ง
ก็เชื่อได้เลยว่า เงินลงทุนของเราจะทำงานอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ เรายังนอนหลับสบาย อยู่บนเตียง..
ใครอยากมีความรู้เรื่องตลาดหุ้น ลงทุนแมนแนะนำ หนังสือ BLACK SWAN เล่มนี้ ราคา 380 บาท ที่เล่าถึงความล้มเหลวก่อนที่จะสำเร็จของนักลงทุนในตำนาน 12 คน สามารถสั่งจอง ได้ที่
- 69
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
