1 ธ.ค. 2022 เวลา 11:04 • ประวัติศาสตร์
"สงครามนกอีมู (Emu War)" สงครามระหว่างกองทัพออสเตรเลียกับ "นกอีมู"
ในปีค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) กองทัพออสเตรเลียต้องพบเจอกับคู่ปรับที่น่าเกรงขาม
คู่ปรับนี้ไม่ใช่กองทหารของชาติอื่น หากแต่คือกองทัพ "นกอีมู"
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อรัฐบาลออสเตรเลียได้ออกโปรแกรมสำหรับทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปีค.ศ.1915 (พ.ศ.2458) โดยมีการแจกจ่ายที่ดินให้ทหารผ่านศึกเพื่อใช้ในการเพาะปลูกและเลี้ยงแกะ
มีการแจกจ่ายที่ดินให้ทหารผ่านศึกกว่า 5,030 นาย และภายในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) รัฐบาลก็มีการจัดสรรที่ดินไปแล้วกว่า 562,500 ไร่
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องจัดสรรที่ดินจำนวนมากกว่านี้เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนทหารผ่านศึกในโปรแกรมทั้งหมด และรัฐบาลก็เริ่มจัดสรรที่ดินให้ทหารผ่านศึกมากขึ้น ซึ่งที่ดินจำนวนมากก็เป็นที่ดินที่แห้งแล้ง ไม่ค่อยเหมาะกับการเพาะปลูก
นอกจากที่ดินที่แห้งแล้ง ผู้คนยังต้องพบเจอกับพายุลูกที่สอง คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
แต่นอกเหนือจากปัญหาความแห้งแล้งและสภาพเศรษฐกิจ ที่ดินแถบตะวันตกของออสเตรเลียยังเป็นถิ่นที่อยู่ของนกอีมูนับหมื่น ซึ่งนกอีมูเหล่านี้ล้วนแต่อยู่มานานก่อนเหล่าทหารผ่านศึกหรือชาวนามือใหม่เหล่านี้ซะอีก
นกอีมูนั้นทำให้ข้าวในไร่เสียหาย และยังทำลายรั้วในไร่ สร้างความเสียหายให้ชาวนาชาวไร่
นกอีมูนั้นเป็นสัตว์อนุรักษ์มาตั้งแต่ปีค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) และภายในปีค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) นกอีมูกว่า 20,000 ตัวก็ได้สร้างความเสียหายให้ไร่นาไปทั่ว ซึ่งเหล่าชาวนาชาวไร่ต่างก็พยายามจะป้องกันนกอีมู หากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรฝูงนกอีมูได้
เมื่อเป็นอย่างนี้ เหล่าชาวนาชาวไร่จึงขอให้กองทัพช่วยเหลือ และกองทัพก็ได้ส่งกำลังมาเพื่อต่อกรกับกองทัพนกอีมูกว่า 20,000 ตัว ซึ่งกองทัพออสเตรเลียก็จะได้เรียนรู้ว่า ศัตรูคราวนี้ไม่ใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ เลย
ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) สงครามระหว่างกองทัพออสเตรเลียกับกองทัพอีมูก็ได้เริ่มขึ้น
นายทหารจำนวนสามนายได้ขนปืนกลพร้อมกระสุนจำนวน 10,000 นัด พร้อมกับกองถ่ายเพื่อบันทึกภาพการสังหารนกอีมู โดยเหล่าทหารคิดว่านี่คงเป็นงานง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก
สงครามครั้งแรกคือการรบกับนกอีมูจำนวน 50 ตัว หากแต่เหล่านกอีมูต่างวิ่งไปทั่ว ไม่อยู่นิ่งๆ ทำให้การกำจัดนกอีมูเป็นไปอย่างยากลำบาก และสามารถจัดการนกอีมูได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น อีกทั้งนกอีมูหลายตัวที่ถูกยิงก็ไม่ตาย
อีกไม่กี่วันต่อมา มีการพบนกอีมูอีกกว่า 1,000 ตัว และทหารก็ได้ใช้ปืนกลเพื่อรบกับนกอีมู หากแต่ก็สามารถจัดการนกอีมูได้เพียง 10-12 ตัวเท่านั้น ทำให้สื่อเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ และกองทัพก็ต้องออกมาตอบคำถามของเหล่านักข่าว
วิธีการต่อไป ก็คือการขับรถบรรทุกและไล่ยิงนกอีมู หากแต่วิธีการนี้ก็ยังไม่ได้ผล เนื่องจากการยิงปืนกลจากรถที่กำลังวิ่ง ทำให้ความแม่นยำในการยิงนั้นลดลง
หลังจากผ่านไปไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ กองทัพก็ได้ใช้กระสุนไปแล้วกว่า 2,500 นัด และฆ่านกอีมูไปได้เพียง 200 ตัวจากนกอีมูกว่า 20,000 ตัว
ในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) การล่านกอีมูครั้งที่สองก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยกองทัพออสเตรเลียสามารถฆ่านกอีมูได้จำนวน 40 ตัว ก่อนที่เดือนต่อมาจะฆ่าได้อีกสัปดาห์ละ 100 ตัว หากแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
มีการคำนวณว่าการฆ่านกอีมูหนึ่งตัวต้องใช้กระสุนจำนวน 10 นัด ทำให้มีการถอนทัพ และจบลงด้วยชัยชนะของนกอีมู สร้างความอับอายให้กองทัพออสเตรเลีย และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก
แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลก็ยังไม่ยอมแพ้นกอีมู โดยมีการมอบกระสุนและอาวุธให้ชาวนาชาวไร่ในพื้นที่เพื่อกำจัดนกอีมูด้วยตนเอง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
ภายในปีค.ศ.1934 (พ.ศ.2477) นกอีมูทั่วประเทศจำนวนกว่า 57,034 ตัวถูกกำจัด
แต่ต่อมาในปีค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) ก็ได้มีการนำนกอีมูกลับไปไว้ในรายชื่อสัตว์คุ้มครองอีกครั้ง โดยในทุกวันนี้ คาดว่ามีนกอีมูอยู่ทั้งหมดราว 600,000-700,000 ตัว
นี่ก็เป็นสงครามที่ค่อนข้างโดดเด่นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
โฆษณา