1 ธ.ค. 2022 เวลา 03:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์มองไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ชี้มีโอกาสยุบสภากว่า 70% เป็นปัจจัยบวกหนุน SET คาดช่วยดึงเงินต่างชาติไหลเข้ากว่า 6 หมื่นล้านบาท
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทำให้บรรยากาศการเมืองไทยเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งอีกครั้ง ดังนั้นในแวดวงตลาดทุนจะเป็นอย่างไรต่อนับจากนี้ และหุ้นตัวไหนจะมีความน่าสนใจรับธีมเลือกตั้ง Wealthy Thai มีคำตอบให้แล้ว
โดยมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทำให้ปัจจัยการเมืองไม่ต้องกังวลกับภาวะ Overhang อีกต่อไป
ทั้งนี้ในส่วนของพรรคการเมือง คาดว่าจะเข้าสู่โหมดเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งมากขึ้น ซึ่งอย่างช้า คือ กรณีที่รัฐบาลอยู่ครบเทอมวันที่ 23 มี.ค. 2566 กกต.กำหนดวันเลือกตั้งไม่เกิน 7 พ.ค. 2566 หรืออย่างเร็ว คือ กรณี ยุบสภาฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นเร็ว หรือช้า ขึ้นอยู่กับความพร้อมของฝ่ายรัฐบาล
ดังนั้นไม่ว่าจะมีหรือไม่มียุบสภาฯ ฝ่ายวิจัยประเมินภาพการเมืองไทยหลังจากนี้ จะเป็นลักษณะของการเร่งย้ายพรรคการเมือง และเร่งอนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการลงทุนที่ยังค้างท่อก่อนเข้าใกล้วันเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น ในมุมมองของการลงทุน คาดว่ากำลังเตรียมเข้าสู่โหมด Election Rally ซึ่งจะหนุนให้ SET Index เคลื่อนไหว Outperform ภูมิภาคได้ต่อเนื่องถึงครึ่งปีแรกของปี 66
อย่างไรก็ตามประเมินโอกาสยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ที่ระดับ 70% และให้น้ำหนักกับการอยู่ครบเทอม 30% เนื่องจาก 1) ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพียงชุดเดียวที่อยู่ครบเทอม จึงถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการเมืองไทยที่มักยุบสภาฯ เพื่อชิงจังหวะเลือกตั้งก่อนกำหนด
2) การเลือกตั้ง 10 ครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ถึง 50% รองลงมาคือไตรมาส 3 ที่ระดับ 30% ที่เหลือคือไตรมาส 2 และไตรมาส 4 ไตรมาส 10% เท่ากัน โอกาสที่การเลือกตั้งจะเป็นวันที่ 7 พ.ค.2566 จึงอยู่ในระดับต่ำเมื่อพิจารณาจากค่าทางสถิติ
3) เงื่อนไขด้านการเมืองที่การยุบสภาฯ จะช่วยลดเวลา ส.ส.สังกัดพรรคใหม่ให้เหลือเพียง 30 วันจาก 90 วัน 4) เงื่อนไขด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ GDP, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค, การลงทุนภาคเอกชน, และ SET Index กำลังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ขณะที่ปีหน้าจะถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และต้นทุนค่าไฟในประเทศที่เร่งตัวขึ้นตามค่า Ft เพราะฉะนั้นการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งก่อนกำหนดจึงสร้างความได้เปรียบให้กับรัฐบาลมากกว่า
โดยถ้าหากมีการยุบสภาฯ จริง ประเมินเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ SET Index จาก1) เป็นการดึง Election Rally ให้เกิดขึ้นเร็ว ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการเลือกตั้งของประเทศในแถบยุโรปและเอเชียตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถือเป็น Theme ที่กระแสเงินมักไหลเข้าไปเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ 2) ช่วยลดความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศชั่วคราว 3) เป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศทางอ้อมจากเม็ดเงินที่ใช้เตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง
ดังนั้นถ้าพิจารณาประกอบกับแนวโน้มผลประกอบการ และ Valuation คาดว่ากลุ่มที่จะเคลื่อนไหวเด่นสำหรับการเลือกตั้งรอบนี้ คือ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มอาหารเครื่องดื่ม และไฟแนนซ์ ที่แม้ทั้ง 2 กลุ่มจะไม่มีความสัมพันธ์กับการเลือกตั้งในเชิงสถิติ แต่ด้วยความที่การเลือกตั้งครั้งนี้ คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างพรรคใหญ่
ซึ่งจะต้องใช้เม็ดเงินในการหาเสียงจำนวนมาก จึงทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับการบริโภคในประเทศโดยตรง มีโอกาสได้อานิสงส์เชิงบวกตามไปด้วย โดยหุ้นเด่นในแต่ละกลุ่ม คือ BBL, KBANK, CPALL, BJC, MAKRO, DOHOME,LH, ORI, SC, CK, PYLON , TIDLOR, M
ส่วนหุ้นรายตัวที่มีข่าวเชื่อมโยงการเมือง และมักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่มีประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งในครั้งนี้และรอบที่ผ่านมา คือ SC, PR 9 , SIRI, PTG, AMA, STEC, STPI, TKS เป็นต้น อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ดีที่สุด ของการเก็งกำไรใน Election Rally Theme คือ ก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ และหลังเลือกตั้ง 1 เดือน
เงินทุนต่างชาติไหลเข้า 6 หมื่นล้านบาท
ถ้าพิจารณาจากการเลือกตั้งครั้งก่อน คือ 24 มี.ค. 2562 นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 4 เดือนติดต่อกันระหว่าง เม.ย.-ก.ค. 2562 รวม 7.4 หมื่นล้านบาท โดยมีการซื้อสุทธิรอบนั้นรอบเดียวก่อนที่ประเทศไทยจะเผชิญสถานการณ์ COVID-19 นั่นหมายความว่า นักลงทุนต่างชาติมีมุมมองเชิงบวกต่อการเลือกตั้ง
ซึ่งเมื่อพิจารณาการจัดเลือกตั้งทั่วโลกหลังจากนี้ต่อเนื่องถึงกลางปีหน้า มีเพียงประเทศไทยและตุรกีที่จะมีการจัดเลือกตั้ง และตลาดหุ้นสามารถรองรับเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้ การเลือกตั้งของประเทศไทยจึงถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของ Election Rally Theme
ดังนั้นคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหนาแน่นต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากกระแสเงินที่ไหลออกไปในช่วง COVID-19 ระบาดระหว่างปี 2563-2564 รวม 3.1 แสนล้านบาท เทียบกับการไหลเข้าปีนี้ถึง 30 พ.ย. 2565 ที่ 1.9 แสนล้านบาท ยังเหลือช่องว่างให้ไหลเข้าอีก 1.2 แสนล้านบาท เพื่อกลับไปสู่จุดสมดุลในช่วง Pre COVID
โดยฝ่ายวิจัยเคยประเมินว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะคืนกลับมาอย่างน้อย 80 % ของที่ไหลออกไป หรือเทียบเท่าเม็ดเงินราว 2.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการไหลเข้าอีก 5-6 หมื่นล้านบาท เพื่อไปถึงเป้าหมายจึงไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งจากประมาณการ ถ้ากำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่ การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติทุก 1 หมื่นล้านบาท จะหนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นประมาณ 1%
1
โฆษณา