2 ธ.ค. 2022 เวลา 07:51 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Fitch Ratings คงอันดับเครดิตประเทศไทยที่ BBB+ พร้อมติดตาม ‘เงินเฟ้อ-หนี้ครัวเรือน-การเมือง’ ใกล้ชิด
Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) Fitch คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะเติบโตที่ 3.3% และเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่ากลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (Peer) ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ
– การฟื้นตัวอย่างมากของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 10.3 ล้านคน ในปี 2565 เป็น 24 ล้านคน ในปี 2566 จากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
– การประกาศปรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จากการเป็นโรคติดต่อร้ายแรง (Pandemic) เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic)
– อุปสงค์ในประเทศปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย
2) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ เนื่องจากมีกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เข้มแข็ง โดย Fitch คาดว่า การขาดดุลงบประมาณของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องลดลงตามสถานการณ์การระบาดที่คลี่คลาย
จากระดับ 6.8% ในปี 2564 เป็น 4.9% และ 3.8% ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ และคาดว่าจะยังอยู่ในระดับดังกล่าวในระยะต่อไป
ระดับการขาดดุลดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับมีเสถียรภาพและรัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังที่สามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต (Shock)
นอกจากนี้ รัฐบาลสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในประเทศได้ทุกสถานการณ์ และหนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาทจึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และคาดว่ารัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง
3) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็งและยืดหยุ่น แม้ในปี 2565 ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 3.2% แต่ Fitch คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล (Surplus) เป็น 1.9% และ 3.7% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ
ปัจจัยหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในปี 2566 จำนวน 6.9 เดือน ซึ่งสูงกว่า Peers ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การดำเนินมาตรการด้านอัตราเงินเฟ้อ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
#TODAYBizview
#MakeTomorrowTODAY
#สาระความรู้เพื่อวันนี้
โฆษณา