“ใช่ว่าทุกคนจะคิดเป็นเสียงพูด”
เมื่อไม่นานมานี้ มีไวรัลหนึ่งที่เกิดจากทวิตเตอร์เพียงทวิตเดียวซึ่งทำให้กลายเป็นกระแส คนเอาไปคุยต่อทำเป็นคลิปพูดถึงกันมากมายใน YouTube
เรื่องที่ว่าก็คือเรื่อง Inner speech \ Internal dialogue หรือเสียงพูดในหัวเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ช็อคคนส่วนใหญ่ เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยจนเกิดกระแสไวรัลเรื่องนี้ขึ้นมา และบล็อกนี้จะมาเล่าเรื่องนี้เพื่อเปิดโลกใหม่ให้คุณฟัง
ไวรัลนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีหนุ่มคนหนึ่งชื่อ Kyle ทวิตขึ้นมาตอนช่วงเกิดโควิดใหม่ๆเดือนมกราคม ปี 2020 ว่า “คุณรู้หรือไม่ว่ามีคนบางคนที่มีความคิดเป็นเสียงพูดในหัว คนกลุ่มนี้คิดเป็นเสียงพูดที่เป็นประโยคในหัวเลย แต่บางคนมีความคิดในหัวเป็นเพียงนามธรรม ไม่มีเสียงพูดเลย ต้องพูดออกมาทางปากเท่านั้นจึงจะเป็นคำพูดที่มีเสียง และคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนอื่นที่มีกระบวนการคิดเกิดขึ้นในหัวไม่เหมือนกับตัวเอง”
ทวิตนี้ทำให้คนที่มาอ่านต้องพูดพร้อมกันว่า “เอ๊ะ จริงเหรอ เป็นไปได้ยังไง”
มีคนเข้ามาโพสว่า “เฮ้ย! มีคนที่คิดโดยไม่มีเสียงพูดได้ด้วยเหรอ”
อีกคนบอกว่า “นี่จะบอกว่ามีคนที่ไม่มีเสียงพูดดังในหัวในโลกนี้ด้วยเหรอ บ้าไปแล้ว”
แล้วคนก็เข้ามาเมนท์กันใหญ่ว่านี่มันเรื่องแหกตาหรือเปล่า จะเป็นไปได้ยังไง?
ไม่นานนัก ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเริ่มแสดงตัวขึ้นมา…
มีคนเข้ามาเมนท์ว่า “เฮ้ย มีพวกคุณบางคนคิดออกมาเป็นคำพูดในหัวเป็นประโยคได้จริงๆด้วยเหรอ ฉันจะบ้าตาย”
มีคนตอบว่า “ไม่ใช่เป็นประโยค แต่เป็นทั้งพารากราฟเลย มีเสียงพูดทั้งเรื่องหลายเรื่องในหัวพร้อมกันเลย นี่ผมตกใจมากเลยนะที่มีคนที่ไม่มีเสียงในหัวได้ด้วย”
คนนี้บอกว่า “ผมมีปัญหาในการพูดให้ถูกโครงสร้างประโยค ต้องพูดออกมาดังๆ ลำบากแทบตายกว่าที่จะรู้ว่าต้องพูดยังไงจึงจะถูก แต่นี่มีคนบอกว่าสามารถคิดเป็นประโยคที่มีเสียงในหัวก่อนที่จะพูดออกมาได้ บ้าไปแล้ว”
คนนี้บอกว่า “ผมก็มีความคิดแบบที่ไม่มีเสียงพูดเหมือนกัน เวลาคิดอะไรต้องเขียนออกมาจะง่ายกว่าพูดเพราะมีเวลามากกว่าในการคิด ตอนนี้รู้แล้วว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยว มีคนเป็นแบบผมเหมือนกัน”
มีคนถามเขาว่า “สงสัยจังว่าเวลาคุณอ่านหนังสือ คุณมีเสียงอ่านในหัวหรือเปล่า”
เขาตอบว่า “ไม่มีอ่ะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ผมเห็นคำต่างๆในหนังสือแล้วก็รับรู้มันเข้าไปในหัวเลย ไม่มีเสียงอ่าน สงสัยนี่แหล่ะที่น่าจะทำให้ผมเป็นคนอ่านหนังสือได้เร็ว”
มาถึงตอนนี้ คนก็เริ่มรู้แล้วว่ามีคนที่มีกระบวนการคิดที่ต่างกัน
มีคนเข้ามาถามว่า “แล้วพวกคุณที่มีความคิดเป็นเสียงนี่ เวลาฝันพวกคุณฝันมีเสียงพูดเป็นประโยคเลยเหรอ”
มีคนตอบว่า “ใช่ แต่ปกติจะจำทั้งหมดไม่ได้เมื่อตื่น มีบางครั้งเท่านั้นที่จะจำบทสนทนาในความฝันได้หมด บางครั้งก็เหมือนจริงมากจนรู้สึกโกรธคนในฝันเลย”
ทีนี้ก็มีคนสงสัยว่ามีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่มีความคิดเป็นเสียงพูด มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่คิดแบบไม่มีเสียง จึงมีคนตั้งโพลขึ้นมาถาม
จากจำนวนสองหมื่นคนที่เข้ามาตอบ
มี 59% ที่บอกว่าตัวเองคิดเป็นเสียงพูด
มี 14% ที่บอกว่าตัวเองคิดแบบนามธรรม ไม่มีเสียงพูด
มี 19% บอกว่าตัวเองคิดทั้งสองแบบ
มี 8% บอกว่า “พวกมึงพูดเรื่องอะไรกันวะ”
แปลว่ามีคน 59+19 = 78% ที่คิดเป็นเสียงได้
และมีคน 14+8 = 22% ที่คิดแบบไม่มีเสียง
อย่างไรก็ดี จำนวนที่แท้จริงของคนแต่ละแบบนั้น ยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด เนื่องจากการเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวจริงๆ นั้นทำได้ยาก (อาจจะต้องรอฝัง NeuralLink ของอีลอนมัสก์เข้าไปในหัวคนก่อน เราจึงอาจจะบอกได้มากกว่านี้)
จากการศึกษาของ ศจ Russell Hurlburt พบว่าคนที่มีความคิดเป็นเสียงพูดนั้น มีอยู่เพียง 30-50% เท่านั้น ส่วนที่เหลือกว่า 50% ไม่มีเสียงในหัว
แต่รายงานการศึกษาอื่นๆ ด้วยวิธีที่ต่างออกไป พบว่าจริงๆแล้วคนที่มีเสียงในหัวมีจำนวนมากกว่านั้น โดยมีถึง 75% เลยทีเดียว (ใกล้เคียงกับโพลบนทวิตเตอร์)
ไวรัลใน Twitter นี้กลายเป็นกระแสที่ทำให้คนเอาไปทำคอนเทนท์กันบน YouTube โดยคลิปนี้เป็นคลิปที่มีคนเอาเพื่อนที่ไม่มีเสียงพูดในหัวมานั่งสัมภาษณ์ สร้างความประหลาดใจให้แก่คนดูเป็นจำนวนมาก และมีคนทำคอนเทนท์เกี่ยวกับเรืรองนี้ออกตามกันมามากมาย
จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดว่าทำไมบางคนจึงมี internal voice หรือมีเสียงพูดในหัว ขณะที่คนอื่นๆไม่มี
แต่มีข้อสังเกตุที่เอาไว้ดูได้ว่าคุณเป็นกลุ่มคนที่มีเสียงพูดในหัวหรือเปล่า โดยดูได้จาก
1) คุณเคยพูดกับตัวเองในหัว
2) คุณมีเสียงเพลงติดอยู่ในหัว (ear worm)
3) บางครั้งก็มีบทสนทนาในหนังหรือ podcast ดังขึ้นในหัว
4) คุณเคยซ้อมบทละคร หรือซ้อมพูดกับเจ้านาย หรือซ้อมนำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียนโดยพูดในหัวไม่มีเสียงออกมา
5) คุณอ่านหนังสือในใจโดยมีเสียงอ่านดังอยู่ในหัวขณะอ่าน
6) คุณคิดเลขในใจ ท่องสูตรคูณในใจ หรือท่อง ก ไก่ ในใจหรือร้องเพลงเป็นเสียงในใจได้
ฯลฯ
ลองสังเกตุตัวเองดูว่าคุณจัดอยู่ในกลุ่มไหน แล้วช่วยกันเขียนคอมเมนท์เล่าด้านล่างนี้ ช่วยแชร์บทความให้เพื่อนหรือคนใกล้ชิดเข้ามาช่วยกันตอบว่าแต่ละคนอยู่ในกลุ่มไหนกันบ้าง อาจจะได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับคนใกล้ตัวก็ได้
ปล. ไม่ได้เขียนมานาน เพิ่งกลับมาเขียนใหม่ ฝากติดตามกดไลค์ กดแชร์ ฟอลโล่ ด้วยครับ ยังมีเรื่องสัพเพเหระแปลกๆ ในโลกที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เชื่อว่าคุณคงอยากรู้มาเล่าให้ฟังอีกหลายเรื่องเลย
- 7
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
