5 ธ.ค. 2022 เวลา 15:11 • นิยาย เรื่องสั้น
เด็กหญิงไม้ขีดไฟ
“อย่าเพิ่งหลับนะจ๊ะ ลูกรัก”
อากาศห้องนอนอบอุ่นจากกองไฟในเตาผิง เงาสะท้อนสีส้มเต้นเร่าๆ บนผนังห้อง บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าที่สุดในเมืองนี้ จะต้องมีเตาผิงส่วนตัว ช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บฤดูเหมันต์โหดร้ายไปได้แต่ละวัน ก็มักจะมาพร้อมกับมหันตภัยธรรมชาติประจำฤดูกาลนี้ช่างรุนแรง มันจะมาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ และกินเวลาติดต่อนานหลายวัน หลายสัปดาห์ ปีนี้ยังไม่มาในเร็ววันนี้
ร่างกายเธอจะไม่ทรมานเลย มันช่างอบอุ่นสบายกายภายใต้ชุดนอน เสื้อกันหนาวตัวหนาทับอีกที ทาบด้วยผ้าห่มผืนใหญ่เกินความจำเป็นสำหรับร่างเล็กของเด็กหญิงหกขวบ
สายตาเด็กหญิงจับจ้องใบหน้าของแม่ของเธอใคร่สงสัย แม่ไม่เคยบอกให้เธอทำแบบนี้มาก่อนเลย
“ทำไมเหรอคะ”
“ไว้สักวันหนึ่ง---”
เธอกล่าวเป็นเสียงกระซิบ
“ลูกจะสานต่อในสิ่งที่แม่ทำ เพื่อประชาชนในเมืองนี้ของเรา”
“ทำไมต้องทำเพื่อพวกเขาด้วยละคะ”
“เพราะพ่อไม่เคยสอนหนูยังไงละคะ”
เธอตอบ
“แม่อยากให้พวกเขารักหนู รู้จักหนู แค่ลำพังพ่อคนเดียวก็เป็นที่ชังมากเกินพอแล้ว แม่ไม่อยากให้หนูพลอยถูกใส่สีร้ายๆ ไปด้วยอีกคน เมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะไม่อยากปรายตาแม้แต่มองหน้าหนูสักนิด”
“แล้วพวกเขาจะเกลียดหนูทำไมกันคะ”
เธอเด็กเกินกว่าจะเข้าใจโลกภายนอก ชีวิตมากมายล้วนยากเข็ญมิหนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมด้วยอำนาจนิยมกดขี่ข่มเหง เป็นเหมือนการสุมไฟแห่งความเกลียดชังในอกของพวกเขา แต่ไม่เคยปะทุออกมาได้เลย ประหนึ่งจุดไฟเผาสายฝน
“เพราะพวกเขาจะคิดไปเองว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นเท่าไร”
เธอกล่าว ก่อนจะกล่าวปัด คงจะมีคำถามอีกมากมายของเด็กตัวเท่านี้ต้องการคำตอบที่ฟังแล้วเธอเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งได้เลย มันจะไม่เป็นอย่างนั้นจนกว่าเธอจะได้เผชิญกับตัวเอง หวังว่าวันข้างหน้าเธอจะไม่มองข้ามชีวิตทรมานสุดแสนเหล่านั้นไป
“แต่ก็ช่างเถอะจ้ะ”
หญิงสาวรุดไปที่ประตู เธอคำนวณเวลาไว้แล้ว เขามักจะขลุกอยู่แต่ในห้องทำงานของเขา
นั่งตรวจนับบัญชีการเงินบ้าๆ ของเขาเพียงลำพัง สุขสำราญกับตัวเลขบาปกรรม ที่ได้มาจากการขโมยจากประชาชนมาเสวยสุขตัวเองอย่างไม่มียางอายเลยสักนิด เรียกมันว่าภาษีแบ่งจ่ายสมุนตัวเองกันถ้วนหน้า
เธอรู้สึกรังเกียจตัวเอง และลูกก็อาจด้วย ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกประหลาดใจกับตัวเองอย่างมาก เมื่อราชรถมาเกยให้ชีวิตสุขสบาย ละทิ้งความลำบากลำบนไว้บนถนนกรวดข้างนอกมานานนับหลายปี
มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงเธอให้กลายเป็นอสูร มองเหยียดสายตากลับพวกชังเธอ แต่ไม่มีอะไรเทียบเคียงเธอได้เลยสักนิด
เธอไม่ได้กลัวสายตาเหล่านั้น หรือคำสบถประชดประชันไล่ตามหลังเธอตลอดเวลาที่ผ่านหรอก
เธอเข้าใจว่าในสิ่งเหล่านั้นที่มอบมาให้เธอ มันเป็นการขอความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ให้เธอได้เห็นหัวอกของพวกเขาสักครั้ง
เธอเห็นมาตลอด
และกลับมาที่เตียงของลูกสาว
“ไปกันเถอะจ้ะ”
“ไปไหนเหรอคะ”
“เป็นที่ที่หนูจะต้องไป”
เธอตอบ
“และอย่าให้พ่อรู้ว่าเราไปที่นั่นในเวลาอย่างนี้ หรือไม่เวลาไหนๆ ก็ตาม จะไม่พูดมันกับพ่อได้ไหม”
เธอพยักหน้า
หากไม่ได้ทำให้หญิงสาวยึดมั่นได้ เพียงได้แค่หวังเท่านั้น
เธอคว้าเสื้อโค้ตสองตัวแขวนไว้ข้างประตูห้อง พาเด็กหญิงอำพรางกายในเงามืด ฝีเท้าย่ำเบาราวกับเคลื่อนที่เหนือพื้นอย่างไรอย่างนั้น
มือคว้าที่จับแล้วเปิดออก
เบื้องหลังจำนวนกล่องไม้ขีดไฟนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนชั้น เธอย้อนกลับไปทางประตูที่เคยเข้ามา สำรวจลาดเลา จนไม่พบใคร --- และคงไม่มีใครในพื้นที่รโหฐาน
“แม่กลัวพ่อจะมาเห็นน่ะ”
เธอกล่าวเสียงกระซิบ ก่อนจะคว้าไม้ขีดไฟมาสองกล่อง
ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่จัดการเรื่องไฟในเตาผิงทุกฤดูหนาวมาเยือน เธอก็เลินเล่อไม่ได้ เขาจะไม่ได้มาสนใจ แต่ไม้ขีดไฟก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างเวลานี้
เขากักตุนอย่างตะกละตะกลาม ไม่แจกจ่ายถึงมือประชาชนของเขา เขามองว่าไม่สำคัญ ถึงจะขึ้นอยู่กับหนึ่งชีวิตที่เขาทอดทิ้งไปไม่แยแส หรือหวนกลับมาตระหนักได้ ทุกชีวิตก็ย่อมรักชีวิตของตน
บางคนก็คิดได้ง่ายกว่าการรักชีวิตตนไปทำไมอีก ความตายจริงแล้วคือสิ่งที่มีค่ากว่าการมีชีวิตอยู่
เธอสังเวช เมื่อต้องเข้าไปมีส่วนร่วมรับรู้โศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า หากที่น่าเศร้ายิ่งกว่าเธอออกหน้าออกตาอะไรไม่ได้เลย
ในกลุ่มพวกเธอจะมีหูตาของสามี พร้อมจะเป็นนกคาบข่าวไปรายงานเอาหน้าเสมอๆ
เธอเกลียดและอยากถลกหนังหน้าความไร้ผิดชอบชั่วดีของคนจำพวกนี้เหลือเกิน พอๆ กับตัวเธอเองที่ใช้ชีวิตสำราญบนความทุกข์ยากของคนอื่นอย่างง่ายๆ
ใบหน้าเป็นเพียงพื้นที่เดียวบนร่างกายทั้งสองคนเปิดโล่ง รับลมหนาวจนรู้สึกแสบตึงใบหน้ายิบๆ
เธอและลูกสาวฝ่าลมหนาวและน้ำแข็งเกาะพื้นถนนสีดำด้าน ไม่ให้ลื่นล้ม หลบซ่อนทหารลาดตระเวนสายตาของสามีเธอ จนมาถึงชุมชนร้างทิศตะวันตกของเมือง
“เธอ ---”
เสียงหนึ่งโพล่งอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นเงาดำของเธอ
“เธอมานู้นแล้ว”
เธอรีบเร่งฝีเท้าตรงเข้ามา ปาดน้ำตาบนใบหน้าหญิงสาววัยเดียวกันกับเธอ
“เธอมากับนางฟ้าตัวน้อยที่น่ารัก”
เธอนัดรวมพวกเขามาที่นี่ ตอนเย็นวัน หลังจากไปรับลูกสาวของเธอกลับจากโรงเรียน
“เธอควรจะมา”
หญิงสาวอังมือกับใบหน้าลูกสาว ยิ้มปลื้มอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันอาจไม่แน่ไม่นอนสักวันหนึ่ง”
เธอกล่าว ทำหญิงสาวตรงหน้าหน้าซีดเผือด กังวลจนใจว้าวุ่นไปหมด
หากกลับกัน เธออยู่บนความกลัวมากมายกว่าคนพวกนี้ ที่กลัวว่าจะไร้ที่พึ่งในวันข้างหน้าสืบต่อไป
“อย่ากล่าววาจาแช่งตัวเองเช่นนั้นเลยนะ”
เสียงหญิงสาวตรงหน้าสั่นเครือ เธอปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลลงบนแก้มนั้น
“โลกใบนี้จะไม่เหลือพื้นที่ให้กับคนจิตใจดี หรือผู้กล้าเลยหรือไงกัน พระเจ้าจะไม่เห็นความไม่เสมอภาคเลยใช่ไหม”
“ช่างมันเถอะจ้ะ”
เธอกล่าวปัด
“หากพระองค์เห็นความเสมอภาค คงไม่ต้องการการเคารพบูชายกยอตัวเองเป็นการตอบแทนหรอกจ้ะ”
เธอเหนื่อยหน่ายกับสิ่งนี้มานานมากแล้ว ไม่ได้มีอยู่จริงไม่พอ ยังทำให้คนหมดศรัทธาในการมีชีวิตหลอกตัวเองอยู่ร่ำไป ว่าจะได้รับพรบันดาลสมปรารถนาสักครั้งแก่ชีวิตตน
...เธอไม่รู้ว่าแม่จากไปไหน และไม่เคยได้รับคำตอบจากพ่อ แถมยังถูกโมโหใส่อีกด้วย
เธอจะต้องทนอยู่กับสายตาดูแคลนของแม่เลี้ยง กับลูกสาวฝาแฝดเหมือนลูกไม้ไม่ไกลต้นเลย
แม้จะมีแม่นมคอยประคับประคองจิตใจและความรู้สึกของเธอในแต่ละวันผ่านพ้นไปไม่ให้รู้สึกว่าโดดเดี่ยวลำพังในโลกบิดเบี้ยวนี้
เด็กชายวิ่งชนร่างเธอ แต่เขากลับล้มไปกองอยู่ที่พื้นเสียเอง เธอช่วยเขาให้ลุกขึ้นยืน
“อย่าไปยุ่งกับมัน ลูก”
แม่ของเด็กชายมาคว้าลูกชายไปให้พ้นจากเธอ ทำราวกับเธอเป็นตัวน่ารังเกียจ สกปรกไม่ต่างจากขยะจะแตะต้องไปให้เสียมือ
เธออยากจะร้องไห้เหลือเกิน ที่ตรงนี้ ไม่ต่างจากที่บ้านของเธอ ไม่มีใครต้องการเธออีกแล้ว
“พ่อมันจัญไรอย่างไร ลูกของมันก็ไม่ต่างกัน”
“ไม่จริง”
หญิงสูงวัยกล่าวจากทางด้านหลังของเธอ พลางถ่มน้ำลายตรงจุดที่เด็กชายเคยล้มมาก่อน สีหน้าและแววตาเดือดดาลใส่พวกขี้แพ้แล้วพาลเรี่ยราด
“ไม่จริงอะไรเหรอคะ”
เธอหันไปเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจได้ทันที
“เธอไม่เหมือนมันหรอก อย่าเศร้าหมองมัวใจไปเลย แม่หนู”
“มันนี่หมายถึงใครเหรอคะ”
“เดรัจฉานในบ้านของเธอน่ะนะ ไม่ต้องให้ฉันเอ่ยชื่อให้เสนียดปากตัวเองหรอก”
“หนูไม่เข้าใจค่ะ”
“คนที่เธอจะรู้สึกเกลียด หรือไม่รู้สึกถูกเข้าข้างยังไงละจ๊ะ”
เธอพยักหน้าทันที
“อย่าสุมไฟในอกแผดเผาจนเป็นอย่างคนพวกนั้นเลยนะ หนูน่ะเหมือนแม่ อันที่จริงแล้วน่ะนะ แม่ของหนูคือนางฟ้าผู้กล้า และหนูก็เป็นนางฟ้าตัวน้อยที่น่ารักอีกด้วย”
“ทำไมเธอถึงต้องเกลียดหนูด้วยคะ”
เธอไม่เข้าใจเลย ครั้งอดีตเธอเคยทำอะไรไม่ดีไว้ ซึ่งเท่าที่ครุ่นคิดในหัวมานาน นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกสักที
“เพียงเพราะพวกเขาเกลียดพ่อของหนู เขาก็เลยพาลไปเกลียดหนูไม่ต่างกัน”
“พ่อหนูคือคนไม่ดีเหรอคะ”
“คำว่าไม่ดียังน้อยเกินไปสำหรับคนอย่างมันน่ะนะ แม่หนูเอ๊ย”
หญิงสูงวัยกล่าวด้วยเสียงฉุนเฉียว
“พวกเราต่างกล่าวโทษมัน ที่แม่ของหนูหายตัวไปอย่างเป็นปริศนามาหลายสิบปี ก็เป็นเพราะมันทั้งนั้น เกลียดนักแลพวกที่ขัดผลประโยชน์กับตน จ้องจะขจัดทิ้งไม่ให้รกทาง”
เด็กสาวเข้ามานั่งในบ้านไม้โกโรโกโสชั้นเดียว พร้อมกับรับชาในถ้วยจากหญิงสูงวัย หลานสาวของหญิงสูงวัยกวาดสายตามองเธอไม่ให้คลาดเลยทีเดียว
“มันเป็นความจริงเหรอคะ”
“จริงทีเดียว หาใดมาบิดเบือนได้ไม่จ้ะ แม่หนู”
หญิงสูงวัยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวข้างๆ อังมือกับใบหน้าของเธอด้วยความใคร่เอ็นดู มันอบอุ่นจนเธออยากจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ น้ำใสๆ ปริ่มเบ้าตา
“หนูไม่เคยสังเกตเห็นหรือ หรือการกระทำที่มันไม่สมควรเป็นพ่อของหนูเลยแม้แต่น้อย เมื่อแม่ของหนูหายตัวไปตลอดกาล มันก็เอาหญิงอื่นที่อยากจะเทิดทูนมันขึ้นมาเป็นศรีภรรยาอย่างน่าไม่อาย ไม่เห็นแก่ลูกสาวของมันบ้างเลย ว่าจะอยู่กับความรู้สึกอย่างไร อีตัวเมียคนนี้ มันก็เลวทรามไม่ต่างกันนักหรอก”
“ค่ะ”
เธอเพียงได้แต่กล่าวออกไปเท่านั้น
หลานสาวพายายไปพักผ่อนที่ห้องนอนแล้ว และเด็กสาวก็แวะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอด แม้จะกังวลเรื่องการกลับถึงบ้านไม่ตรงเวลาของเธอ เธอสัมผัสได้ว่าเด็กสาวคนนี้มีความเป็นมิตรที่ดีมากทีเดียว
“ให้ฉันไปส่งไหม”
เห็นว่าดึกมากไปแล้ว พระจันทร์โจ่งแจ้งบนท้องฟ้าสีหมึก ประดับดวงดาวมากมายพร่างพรายหลากสีสันระยิบระยับ
“เธอเป็นคนที่มีความเกลียดมากไหม”
เด็กสาวข้างกายเธอส่ายหน้า
“คนเรามักจะมีเหตุผลในการเกลียดกันมากมาย และไม่มีเหตุผลน้อยนิด แล้วเธอละไม่มีเหตุผลจะเกลียดใครเลยบ้างหรือ”
“มีสิ”
เธออยากกล่าวออกไปสุดจะอัดอั้นในใจมานาน เคยคิดอยากตะโกนให้สุดเสียง แต่ไม่กล้าแม้จะเปล่งเป็นเสียงออกมา แม้แค่กับเสียงกระซิบก็ตาม
“ไม่ต้องบอกหรอก”
เด็กสาวกล่าวปนขำ ทำให้เธอหลุดขำออกมาด้วย ถึงมันจะเป็นเรื่องตลกร้าย ซึ่งมันเป็นเพียงความสุขในใจที่ได้เบ่งบานในอก เป็นช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอได้รู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ ก่อนกลับถึงบ้าน
แล้วกลับกลายมาเป็นผู้แพ้ในมุมมืดของบ้านหลังนี้อีกครั้ง
เด็กสาวกล่าวลาเธอที่หน้าบ้าน
“ไปหาฉันที่บ้านได้ตลอดนะ ต้อนรับทุกเมื่อ”
เธอพยักหน้ารับคำ อย่างน้อยๆ เธอรู้สึกว่าชีวิตจะได้พานพบเพื่อนที่จริงใจสักคน เธอหลงรักอีกฝ่ายเต็มหัวใจ
ไม่มีใครมาต้อนรับการกลับบ้านของเธอหรอก นอกจากแม่นมที่โผเข้ามาหาด้วยความใคร่เป็นห่วงจนใจไม่ดี
ถึงเด็กสาวคนนั้นจะไม่เชื้อเชิญเธอ เธอก็จะแวะไปหาเรื่อยๆ อยู่ดี เธอไม่อยากจะกลับบ้านไปอยู่กับมรสุมเลย
ใกล้เข้าฤดูหนาวอีกครา ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีเพลิงบนต้น และที่พื้นถนน เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดกำลังเก็บกวาดให้พื้นถนนสะอาดตา แลกกับเบี้ยขยันเล็กๆ น้อยๆ ตามชนชั้นงานของตน ถูกมองว่าไร้ค่าไร้ความสำคัญจะจ่ายด้วยราคาแพง
ม้านั่งไม้พวกเธอนั่งด้วยกันในสวนไม้เล็กๆ ไม่มีราคาทางทัศนียภาพชวนมองเท่าไร
เสียงฮัมเพลงจากในลำคอของเด็กสาวข้างๆ ปะปนมากับสายลมเย็นๆ ในเย็นวันหยุดนี้
“เพลงอะไรน่ะ”
เด็กสาวหยุดเสียงฮัมในลำคอ
“ฉันว่าจะถามอยู่พอดี --- ว่าเคยได้ฟังบ้างไหม”
เธอส่ายหน้า
“แปลกจัง”
เธอหัวเราะหลังจากนั้น
“ก็จริงสินะ”
เด็กสาวกล่าวต่อ
“เพลงนี้เคยถูกขับขานจากวีรบุรุษคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหายไปตัวอย่างลึกลับ และไม่กี่ปีต่อมา ก็พบร่างของเขาในป่านอกเมือง บ่วงรัดคอของเขาจากที่สูง ห้อยร่างของเขาขาไม่ถึงพื้น”
“ร้องให้ฟังได้ไหม”
แม้ในใจเธอไม่อยากจะให้เด็กสาวข้างกายเอื้อนเอ่ยคำเหล่านั้นถักทอออกมาเป็นเนื้อเพลงประหารชีวิตเลย
“ได้สิ”
“เธอไม่กลัวเหรอ”
เด็กสาวส่ายหน้า พลางยิ้ม
“ชีวิตของฉันมีค่าพอแค่ได้ร้องมันให้ใครอีกคนได้สดับรับฟังน่ะนะ”
เธอจับใจแต่ท่อนสำคัญของเพลงร้องว่า
...
เธอจะไม่ช่วยฉันร้องเพลงแห่งอิสรภาพนี้ด้วยกันเลยหรือ
ร้องมันเพื่อเธอเอง
หาเพื่อใครไม่
เธอจะกลัวไปไย
หากเรามีชัยก็จงภาคภูมิใจแก่ตนเอง
เพียงแม้แต่เสียงขับขานเพลงแห่งอิสรภาพ
เธอยังกล้าที่จะเปล่งมัน
...
ค่ำคืนนี้อบอุ่นสำหรับเธอ ทว่า ค่ำคืนนี้จะหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจของผู้น้อยที่ไม่ถูกเห็นหัว จะเหลียวแลแยแส
แม่นมส่งเธอเข้านอน หากเธอไม่ได้หลับในทันที
เธอรู้เวลาจะย่องออกจากห้องนอน เธอจำห้องนั้นได้แม่นยำ และเด็กสาวคนนั้นจะมาเจอเธอตามสถานที่นัดกันไว้
เธอคว้ากล่องไม้ขีดไฟออกมาห้ากล่องยัดใส่ในกระเป๋าเสื้อโค้ต ก็รีบเร่งไปที่ประตูหน้าบ้าน
ไม่ทันจะได้ไปไหนไกลจากหน้าบ้าน สายตาตื่นตระหนกก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดของแม่เลี้ยงพลันมาจับจ้องที่เธอ
เธอผลักชายหนุ่มข้างกาย ซึ่งอายุอ่อนกว่าเธอหลายปีไปพ้นจากหน้าบ้านทันที ชายหนุ่มผู้นั้นช่างหล่อเหลา แลมีเสน่ห์ยั่วยวนหญิงสาวผู้ต้องอยู่กับสามีบ้างานมากกว่าตัณหาที่ควรสนองเธอบ้าง เธอก็หาได้สนใจไม่ หากจะนอกกายบ้าง เพื่อบำเรอสุขตนเอง
กลิ่นกายคละคลุ้งสุราหึ่ง ด้วยท่าทีเงอะๆ งะๆ พยายามจะประคองตัวเองไว้ให้มั่นบนสองเท้าดูจะไม่แน่นอนว่าจะทรุดฮวบไปกองกับพื้นเมื่อไร
“แกจะไปไหน ดึกป่านนี้แล้ว”
“เรื่องของฉัน”
เธอกล่าวอย่างไม่สน ตั้งท่าจะจากไป ไม่อยากเสียเวลาเสวนาให้มากความจะเสียท่าเอาได้
แต่แล้วแม่เลี้ยงก็โผเข้าใส่ร่างชะงักเธอไว้ก่อน มือข้างหนึ่งซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตที่มีกล่องไม้ขีดไฟ คว้ามันติดมือ และชูมันใส่หน้าเธอ
เสียงแหลมสูงแผดลั่น จนปลุกความสนใจพ่อของเธอที่ห้องทำงาน
“แกจะเอาไปให้ใคร อีนังตัวดี”
แม่เลี้ยงเอ็ดดุดัน
“อีเนรคุณ แกจะเอาไปให้ไอ้พวกง่อย ที่วันๆ ไม่ทำอะไร ดีแต่สาปแช่งให้ผัวของฉันตายวันตายพรุ่งอย่างนั้นหรือ”
“อะไร --- มีเรื่องอะไรกัน”
เสียงแข็งขี้หงุดหงิดแทรกขัดจังหวะ ขณะก้าวลงมาตามบันไดกลาง สองแฝดหน้าสลอนอยู่ที่ราวกันตกข้างบน
“ลูกตัวดีของคุณจะเอาไม้ขีดไฟไปให้ไอ้พวกชาวบ้านไร้ค่าพวกนั้น”
หลังสิ้นคำประจาน เธอคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า ด้วยความเป็นลูกอีกคนของเขา เขาคงจะไม่ถือโทษโกรธเธอ เพียงแค่ริบของของเขาคืนไปจากเธอ และไล่ให้เธอกลับเข้าไปในห้อง และให้โทษทัณฑ์เธอส่งๆ ไป เขาไม่เคยจะแยแสเธออีกเลย หลังจากที่แม่หายตัวไป
ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำจนถึงใบหูด้วยอารมณ์โกรธมากมาย เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ฝ่ามือหนาใหญ่ของเขาฟาดลงกับใบหน้าของเธอ จนหน้าหันตก แม่เลี้ยงดูจะสร่างเมาในทันที คู่แฝดตื่นกลัวก็พากันวิ่งเข้าห้องนอนแทบจะไม่ทัน
ความเจ็บปวดน้อยนิดไม่เทียบเท่าอาการชาดิกบนแก้ม น้ำตาค่อยๆ เอ่อท้นล้นออกจากเบ้าตาทั้งคู่
แม่เลี้ยงไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
มือข้างเดียวที่ตบหน้าเธอ คว้าผมเธอกระชากสุดแรง ปลดเสื้อโค้ตเธอทิ้งกลางทาง พาเธอไปยังพื้นที่ที่มืดมิดที่สุด
เสียงกระชากครืดคราดของบานประตูเหล็ก
“เข้าไปอยู่กับแม่ทรยศของแกซะ เนรคุณทั้งคู่”
ยังไม่สิ้นคำ เขาก็โยนเธอเข้าไปข้างในนั้นสุดแรงเหวี่ยง ปิดประตูใส่หน้าเธอทันที แทบจะไม่ได้หันหน้ามาขอร้องความเห็นใจเลยแม้แต่คำเดียว
เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว...
ในเมื่อเขาเคยทำกับแม่ของเธอได้ เธอก็คงไม่ต่างกัน เขาไม่ได้มีเธอเป็นจุดอ่อนเลยสักนิด
เธอคลานสี่ขาไปในมุมหนึ่ง ใกล้ๆ เธอนั้นมีท่อนกระดูกขาวโพลน เสื้อผ้าชุดสุดท้ายของแม่ที่จำได้อย่างเลือนราง
เธอคว้ามันมากอดและห่มตัวเองไว้ ทิ้งหัวลงกับพื้นอิฐ คือจุดที่แม่ของเธอเคยอยู่อย่างสิ้นหวัง
เธอร้องเพลงนั้นออกมาทั้งน้ำตา ในใจปรารถนาว่าแม่ของเธอจะได้ยินมัน ว่าเธอกล้าหาญมากขนาดไหน
...
เธอจะไม่ช่วยฉันร้องเพลงแห่งอิสรภาพนี้ด้วยกันเลยหรือ
ร้องมันเพื่อเธอเอง
หาเพื่อใครไม่
เธอจะกลัวไปไย
หากเรามีชัยก็จงภาคภูมิใจแก่ตนเอง
เพียงแม้แต่เสียงขับขานเพลงแห่งอิสรภาพ
เธอยังกล้าที่จะเปล่งมัน
...
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา