6 ธ.ค. 2022 เวลา 11:28 • นิยาย เรื่องสั้น
vvitch
ชุมชนเมืองขนาดใหญ่ ประชากรอาศัยอยู่ร่วมกันหลายพันชีวิต ร่ายล้อมด้วยภูเขาหินเทาสลับกับผืนป่าสนสูงชะลูดหนาทึบ ทั้งมืดมิด ไม่ว่าจะเวลาไหนๆ ก็ตาม น้อยคนนักกล้าย่างกรายท้าพิสูจน์ความมีอยู่จริง มีความเชื่อเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่าสนผืนนี้มากมาย ซึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน
ข้างในนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตชั่วช้าสามานย์ จากคำบอกเล่าของมิชชันนารีต่างแดนมาเยือนกาลก่อน และพวกเขาว่ากันมาอย่างนั้นอีกทอดหนึ่งน่ะนะ
เดิมทีป่าสนเคยเป็นป่าปกติทั่วๆ ไป มีอยู่ดาษดื่นในโลกใบนี้นั่นแหละ ครั้นให้หลังจากนั้นไม่นานนัก ป่าสนผืนนี้เปลี่ยนแปลงสิ้นเชิง ชาวบ้านเคยใช้ป่าประกอบอาชีพหาเลี้ยงตน กลับไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปข้างในนั้นกันอีกเลย
ตั้งแต่เหมือนมีม่านหมอกดำหนาปกคลุมผืนป่าเงียบสงัดผิดแผก ไร้ซึ่งสรรพเสียงแห่งชีวิต ขาดชีวา มิชชันนารีผู้นี้เริ่มต้นด้วยการพยายามปลูกถ่ายความคิดฝังหัวว่า ป่าสนผืนนี้มีความชั่วร้ายจากต่างแดนเข้าครอบงำ โดยมีพ่อมด ไม่ก็แม่มดอาจแฝงตัวอยู่ในมวลหมู่พวกเขา ตั้งคำถาม มีใครแปลกหน้าเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้ก่อนหรือหลังตนอีกไหม ไม่มีใครตอบปัญหาข้อนี้ของมิชชันนารีผู้เบิกทางสว่างของการสูญเสียซึ่งที่ทำมาหากินของพวกชาวบ้านผู้คับแค้นใจในการกระทำพ่อมดแม่มดปริศนาผู้นั้น
บางคนขาดความเชื่อถือในมิชชันนารี จากความลำบากยากเข็ญประเดประดังในชีวิต และมองว่าพ่อมดแม่มดไม่มีอยู่จริงจะพิสูจน์หรอก เลยกล้าลองดี ไม่สนความปรารถนาดีจากมิชชันนารีใดๆ ดังนั้น มิชชันนารีประกาศกร้าวทันที
พวกเขาเหล่านั้นอาจถูกพ่อมดแม่มดสาปสะกดจิตใจให้เข้าไปเป็นเหยื่อของสิ่งชั่วร้ายในป่าสนเป็นแน่ จงระวังคนในครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่งของพวกท่านไว้ ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยความคิดงี่เง่า และโต้กลับมิชชันนารีอย่างแสบสัน
พวกเขานั้นปกติดีทุกอย่าง มีสติสัมปชัญญะดิ้นรนหนีจากความแร้นแค้นจะมาเยือนในเร็ววัน ก็มีแต่พวกไม่ปกติ มักคล้อยตามเรื่องหลอกลวงพรรค์นั้นจากมิชันนารีง่ายๆ จนไม่เป็นอันทำอะไร ต่อให้ชีวิตตกต่ำขนาดไหน ก็ยอมก้มหัวศรัทธาว่าตามกันหน้ามืดตาบอดต่อไป แม้แต่ท่านหัวเมืองไม่คิดหาทางแก้ไขหรือทางออกที่ดีกว่าใดๆ
ผู้คนไม่เชื่อเหล่านั้นกลับไม่มีแม้แต่เงากลับออกมาอีกเลย ตอกย้ำว่ามิชชันนารีนั้นคือของจริง สร้างความสะพรึงกลัวอย่างกับไฟลามทุ่ง กระทั่งร่างไร้วิญญาณของบางคนหาไม่พบ บางคนได้กลับออกมา เหลือเพียงแค่ซากศพ ไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆ มิชันนารีคาดคะเนสมมติฐาน สิ่งชั่วร้ายที่ว่า ซึ่งฉันไม่เคยเข้าใจถ่องแท้ ตอนนี้ชัดเจนดีแล้ว พวกมันอาจเข้าสิงร่างชาวบ้านผู้ขาดสติ แล้วกินเครื่องในข้างในร่างกายจนหายหมดสิ้น เพราะดูนี่สิ ร่างกายของศพรายนี้ซูบผอมและแห้งกรังผิดประหลาด เนื้อแนบติดกระดูกเชียว
มันไม่มีที่สิ้นสุดและฝังลึกเกินหยั่ง ไม่อาจถอนรากถอนโคน มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยากลองของด้วยการเดินเตร็ดเตร่ไปในป่าสนอาถรรพ์สักหนึ่งคืน โดยไม่สนคำเตือนจากคนเฒ่าคนแก่อยู่มานานกว่าตนด้วยซ้ำ จุดประสงค์ของเขาเพียงต้องการท้าพิสูจน์และลบล้างความเชื่อแต่เดิม ซึ่งถูกปลูกฝังงมงายกันมาอย่างผิดๆ ว่าข้างในพงไพรมืดมิดไม่มีอะไรอย่างที่ว่านั่นเอง มันแค่ป่าธรรมดาทั่วๆ ไป
มีคนนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้ท่านหัวเมืองคนปัจจุบันทราบแล้ว
เขารีบมายังที่เกิดเหตุ ผู้สืบเชื้อไขมาจากมิชชันนารี ผู้มีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายคลึงกับบรรพบุรุษคนแรก อย่างกับคนคนเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีใครเลยจะสังเกตถึงความน่าเหลือเชื่อตรงนี้
“ท่านนั้นช่างขาดสติ”
เขากล่าว
“ผมน่ะเหรอ”
ชายหนุ่มเขาหัวเราะเยาะเย้ย
“ผมไม่ได้ขาดสติ ผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ผมเพียงแค่ไม่เชื่อ”
“จึงอย่าลองดีเลยจะดีกว่า พ่อหนุ่ม”
เขาปราม
“ด้วยความหวังดี ท่านยังหนุ่มยังแน่น ความหวังและกำลังกายใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่น่าเวทนา หากรู้ว่าลูกชายของตนกำลังทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้”
“ผมต้องการจะลบล้างความเชื่อผิดๆ นี้”
ชายหนุ่มลั่น
“ให้ทุกคนในเมืองนี้กล้ากลับมาใช้ชีวิตปกติดั่งเดิมอีกครั้ง โดยปราศจากความกลัวดั่งคำสาปที่มาพร้อมกับบรรพบุรุษของท่านไงล่ะ”
“ไปฟังใครเขามากัน พ่อหนุ่ม”
“ไม่ต้องมาสนผม”
“เอาเป็นว่า ---”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสังเวช
“ฉันขอประกาศว่า ชายผู้นี้ได้ถูกแม่มดพ่อมดสาปสะกดจิตใจอีกคน หลังจากที่ไม่มีเหยื่อมาเนิ่นนาน”
“งั้นเรอะ”
ชายหนุ่มว่า
“รู้สึกว่าสิ่งชั่วร้ายพวกนั้น อยู่อย่างอดยากมาได้นานนมขนาดนี้เลยหรือ”
เมื่อหลายคนร่วมทั้งพ่อแม่ของเขาพยายามจะห้ามแล้ว เหมือนกับยิ่งยุยงกระทั่งเขาได้ใจ
เขาจึงออกเดินทางเข้าป่าสนรัตติกาล เขาลั่นก่อนตบเท้าแรกว่า
“ฉันจะพิสูจน์ให้พวกหูเบาเห็น”
เขาประกาศกร้าวเสียงดัง ประหนึ่งคำปฏิญาณตนอันหนักแน่น
“ให้ได้รู้ว่า มันก็แค่ป่า แค่ป่าเท่านั้น ไม่มีอะไรเลวร้ายอาศัยอยู่เถือกนั้นหรอกหนา ไว้รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ แน่นอน พรุ่งนี้เช้า ฉันจะกลับออกมาอย่างปกติสมบูรณ์ทุกประการ ฉันรับประกัน จะได้หยุดความกลัวที่ถูกหลอกลวงกันต่อๆ มาสักที”
ทุกคนต่างเบือนหน้าหนี สุดแล้วจะยื้อเวลาชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้ได้แค่เที่ยงวันนี้
พรุ่งนี้พ่อแม่ของชายหนุ่มมายืนรอเขาตรงชายป่าบริเวณเขาหายเข้าไปอย่างยืดอก
สามียืนโอบบ่าของภรรยา ขณะใจจดใจจ่อ ทั้งจิตใจสิ้นหวังห่อเหี่ยว สายของวันนี้ ไม่เห็นวี่แววของลูกชายตัวเองกลับออกมาจากป่า
พวกเขาคิดเผื่อไว้แล้วอย่างห้ามไม่ได้ จะไม่ได้เห็นหน้าลูกชายอีกตลอดกาล ขอความช่วยเหลือจากท่านหัวเมือง ขาดการเหลียวแลช่วยเหลือใดๆ เขาไม่ต้องการเอาชีวิตลูกเมืองคนไหนไปเสี่ยงกับอะไรที่ไม่จำเป็นทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกหัวรั้นหัวแข็ง ไม่เชื่อฟังสักนิด มุทะลุเอือมระอาแล้วจริงๆ เพียงเพราะต้องการเปลี่ยนแปลงและลบล้างความเชื่อแบบเดิมๆ ทิ้งไปสิ้น
อยู่ๆ ประตูหน้าบ้านของนาง มีคนมาเคาะประตูเรียกหา นางพบเด็กสาวสีหน้าเคร่งเครียดหลังบานประตูในรั้วบ้าน นางกลับไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อนในชีวิต เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่นี่เป็นแน่
นางเหลือบมองร่างทิ้งตกสิ้นเรี่ยวแรงทุกส่วน คอพับก้มหน้าลงดิน ขณะเดียวกันหัวใจของแม่ร่วงตกอยู่ตาตุ่ม และชื้นใจเป็นอย่างมาก ไม่ต้องเห็นหน้าของชายหนุ่มไม่ได้สติ นางจดจำลูกชายคนเดียวได้แม่นยำ สับสน เจ็บปวด ทั้งดีใจระคนกันปั่นป่วนอยู่ภายใน ไม่สบายใจนักว่าทำไมเขาถึงตกอยู่ในสภาพน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ อันตรายร้ายแรงขนาดไหนกันนะ จะยังปลอดภัยดีหรือไม่ ความเป็นห่วงถึงที่สุดของนาง ทำได้เพียงภาวนาขอให้ลูกชายไม่เป็นอะไรร้ายแรงถึงชีวิตเป็นพอ
“เขายังปลอดภัยค่ะ”
เสียงเล็กๆ ของเด็กสาวกล่าวเพื่อให้นางคลายกังวลเปราะหนึ่ง
“เข้ามาข้างในบ้านก่อนสิจ๊ะ”
นางรู้สึกขอบคุณเด็กสาวแปลกหน้าผู้นี้ล่วงหน้า อาจเป็นเพราะเด็กสาวคนนี้ได้ช่วยชีวิตลูกชายนางออกมาจากป่าอาถรรพ์ได้สำเร็จ
ทว่า นางยังเคลือบแคลงอยู่ลึกๆ เด็กสาวร่างเล็กบอบบางจะสามารถรอดชีวิตจากพงไพรเร้นลับนั้นได้อย่างไร หรือป่าสนนั่นไม่มีอะไรพวกนั้นจริงๆ เช่นที่ลูกชายนางสันนิษฐานหนักแน่น หากเป็นอย่างนั้นจริง เขาเป็นอะไรไปกันล่ะ ช่างน่าฉงนยิ่งนัก
สามีของนางไม่กลับจนกว่าจะเย็นย่ำ เขาคงดีใจสุดในชีวิตได้ลูกชายกลับคืนมา
นางช่วยเด็กสาวหิ้วปีกลูกชายพาเขามานอนอยู่บนเตียงในห้องของเขา
นางนำเด็กสาวมานั่งดื่มชาร้อนๆ ที่ห้องนั่งเล่น
“แม่หนูเป็นใครกัน”
“หนูชื่อเอราค่ะ”
สองมือของเด็กสาวประคองแก้วชาร้อน ยังมีควันลอยกรุ่น ดอกมะลิส่งกลิ่นหอมหวานละมุน ช่วยให้ผ่อนคลายอาการตึงเครียดในตัวเองได้ง่ายดายเลยทีเดียวเชียว
“แม่หนูมาจากไหนกัน”
นางเอ่ยถามต่อ
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเธอเลย ไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ”
เด็กสาวตอบ
“หนูมาจากกระท่อมเล็กๆ กลางป่าสนในพื้นที่เปิดโล่งน่ะค่ะ”
นางได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ใจหายวาบ
“อะ --- เออ --- จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
นางปากสั่นระริก
“นั่นมันอันตรายมากเลยนะ แม่หนู เธออยู่ในสถานที่แบบนั้นได้อย่างไรกัน ท่ามกลางป่าสนทมิฬน่ะนะ เธออยู่กับใครกันหรือ”
นางเอ่ยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยล้วนๆ หากเด็กสาวเติบโตมาจากสถานที่เช่นนั้นได้ มันช่างยากเกินจินตนาการเหลือเกิน
“หนูอยู่คนเดียวค่ะ”
เด็กสาวตอบโดยไม่มีอาการสะทกสะท้านอะไรนัก ราวกับธรรมดาสามัญทีเดียวเชียว
นางแทบลมจับ
“แม่หนูไม่เป็นอะไรเลยหรือไงกัน”
“คุณหมายถึงอันตรายภายในป่าสนน่ะหรือคะ”
เด็กสาวเดาทาง
นางพยักหน้ารับคำ
“พวกมันมีอยู่จริงๆ ใช่ไหม”
นางนิ่งรอคำตอบ ตระหนักได้ว่าจดจ่อจนลืมหายใจขณะนี้
“พวกมันมีอยู่ค่ะ”
เด็กสาวยืนยัน
“พวกเราเพียงมองไม่เห็นตัวตน พวกมันไม่ได้มากันเอง มันจะติดตามผู้ครอบครองดั่งกาฝาก เพื่อใช้ในการเสริมสร้างพละกำลังกายยิ่งยวด มีชีวิตยืนยาวประหนึ่งอมตะ พวกมันคือความมืดมิดอันว่างเปล่า เย็นยะเยือกทั่วหนระแหง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ร่วมได้ ล้วนตายดับ จึงปราศจากทุกสรรพสิ่งไร้ซึ่งชีวิตชีวา และธรรมชาติอย่างที่ควรเป็น พวกมันคืบคลานไปทั่วทุกมุมโลก กลืนกินอย่างหิวโหย มนุษย์คือผู้มอบพลังอำนาจอันกล้าแกร่งแก่เจ้านายพวกมันนั่นเองค่ะ”
“ละ --- แล้ว”
นางเหลือเชื่อ เด็กสาวอายุประมาณสิบหกปี รู้เรื่องราวพิลึกพิลั่นภายในป่าสนแปลกพิศวงได้อย่างถ่องแท้ น่าคลางแคลงใจนัก
แต่ประเด็กนี้เล็กจิ๋วสำหรับนางนัก
“แม่หนูไปพบลูกชายของฉันที่ไหนกัน”
เด็กสาววางก้นถ้วยชาสัมผัสผิวหน้าไม้โต๊ะไม่เกิดเสียงกระทบกระทั่งแม้แต่เล็กน้อย
ความเงียบงันก่อตัวอยู่ชั่ววินาทีเดียว เด็กสาวค่อยเอ่ยทำลายความเงีบยงันอันน่าอึดอัด แสนยืดยาวสำหรับนาง
“หนูได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นของชายหนุ่มในยามอัสดง”
“แม่หนูจึงรีบตามไปดูเลยเหรอจ๊ะ”
ถ้าคำตอบเป็นไปตามนางสันนิษฐาน เด็กสาวผู้นี้ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำไมเธอผู้ตัวเล็กตัวน้อยถึงกล้าหาญชาญชัย เผชิญหน้ากับสิ่งน่าเกรงขามเกินล่วงรู้ได้ แม้แต่บุรุษร่างยักษ์ปักหลั่นยังเลือกจะอยู่ห่างๆ จากป่าแห่งนี้ด้วยซ้ำ
“บางทีหนูก็ตามไปไม่ทัน”
“แม่หนูกล้าดีได้ยังไง”
ท้องไส้นางเกิดปั่นป่วน ไม่อยากฝืนรับรู้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในป่า ตอนลูกชายนางติดอยู่ข้างในนั้นนับจากนี้ไปอีกแล้ว
“สิ่งนี้เล่นกับจิตใจอันอ่อนแอของมนุษย์”
เด็กสาวอธิบาย
“ความเชื่อบนพื้นฐานแห่งความกลัว มันย่อมมีชัยเหนือพวกคุณ ผิดกับลูกชายของคุณนัก เขามีความเชื่อเรื่องพรรค์นี้น้อยมาก กระทั่งเขาย่างกรายสู่ดินแดนไม่ชอบมาพากล จิตใจที่เคยหนักแน่นไปในทางใดทางหนึ่ง เริ่มไขว้เขว
เขาต่อสู้ความขัดแย้ง เขาไม่มีทางเอาชนะพวกมัน เฉกเช่นพวกมันไม่มีทางเอาชนะเขาด้วย เขาเลยมีชีวิตรอดกลับมาได้ ตอนที่หนูไปถึง ถือว่านานทีเดียวที่เขาอยู่ในนั้นมาได้หลายชั่วโมง โดยที่ถูกบั่นทอนจิตใจเพียงทีละน้อย เขาอยู่ในสภาพหมดสติ มีลมหายใจโรยริน แต่เขาจะไม่ปกติอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำใจไว้ กระนั้น เวลากับสิ่งดีงามหากยังคงอยู่ไปได้ตลอด --- หนูหวังว่านะคะ จะช่วยเยียวยาเขาได้”
“แม่หนูหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ตราบใดที่หนูยังอยู่”
เธอประหนึ่งเอ่ยคำปฏิญาณตน
“จะไม่มีอันตรายใดย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้านได้แน่นอนค่ะ”
“แล้วที่หนูพูดถึงเรื่องลูกชายของฉันล่ะ”
หัวใจของนางราวกับถูกแขวนไว้กับเส้นดายถูกขึงจนตึงจากทั้งสองฝั่ง รอมร่อจะขาดผึง ร่วงลงไปแหลกละเอียด
“เขาจะไม่ปกติ”
เด็กสาวยกถ้วยชาซดที่เหลือก้นแก้วหมดเกลี้ยงรวดเดียว
“อย่างน้อย หนูว่าก็ดีกว่าสูญเสียเขาไปตลอดกาลนะคะ”
รอยยิ้มจางๆ ของเด็กสาวช่วยปลอมประโลมจิตใจเปราะบางเสียยิ่งกว่ากระดาษของนาง
“ถ้างั้น”
เด็กสาวผุดลุกขึ้น
“หนูขอตัวก่อนนะคะ”
นางรีบเสนอตัว
“ให้ฉันตอบแทนโดยการไปส่งหนูไหมจ๊ะ”
“เป็นไปไรหรอกค่ะ”
เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่เสียน้ำใจ
“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับชามะลิหอมหวานของคุณ”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณแม่หนู แค่ชาถ้วยเดียวนี่ช่างน้อยนิด”
นางตระหนักขึ้นมาได้
“ว่าแต่ --- แม่หนูรู้ได้ยังไงกันว่าบ้านและครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่นี่”
“หนูไม่รู้หรอกค่ะ”
เด็กสาวยอมรับตามตรง
“ก็ได้คนที่นี่คอยนำทางมาเรื่อยๆ น่ะค่ะ บางทีก็ได้ความช่วยเหลือจากชายที่นี่ช่วยแบกเขามาส่งถึงหน้าบ้านหลังนี้”
“พวกเขา ---”
นางยังพูดไม่ทันจบประโยคดี
“เหลือเชื่อไม่ต่างจากคุณนัก แต่เวลานั้นไม่มีโอกาสได้เอ่ยถามอะไรเลย”
เด็กสาวตระหนักได้ถึงข่าวเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้มีชีวิตรอดกลับออกจากป่าพรากชีวิต ทว่า เขากลับต้องสูญเสียความเป็นผู้เป็นคนไป แต่น้อยกว่าข่าวของเธอเองแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว อาจพ่วงมาพร้อมกับความเข้าใจผิดมหันต์นานัปการตามมาทีหลัง เธอจะต้องยอมรับผลของมันให้ได้ จนกระทั่งถึงหูของท่านหัวเมือง เขาต้องมาเยือนถึงบ้านของแม่ชายหนุ่มคนนี้ ตอนนั้นเด็กสาวจากไปนานแล้ว นางไม่รู้เลยว่าเธอจะเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไรกัน เมื่อต้องผ่านป่าอาถรรพ์ก่อน
“สวัสดีครับ”
เขาเอ่ยทักทายตอนนางเดินมาเปิดประตู
“คุณแม่มาคาลี”
“สวัสดีค่ะ”
นางทักทายตอบ
“ท่านหัวเมือง ว่าแต่ท่านมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ ถึงได้เดินทางมาหาดิฉันด้วยตัวเอง”
“ขอเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมครับ”
เขาขออนุญาต
มีหรือนางจะกล้าปฏิเสธการมาเยี่ยมเยียนของท่านหัวเมือง ต้องมีอะไรสลักสำคัญแน่นอน
“เชิญค่ะ”
นางเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา กวาดตาซ้ายแลขวา ก่อนพลันมาหยุดลงที่นาง
“แล้วคุณพ่อชาลล่ะครับ”
“เขายังอยู่ที่โรงไม้”
นางตอบ
“เย็นถึงจะกลับมาบ้าน”
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีค่ะ”
“ว่าแต่ ---”
เขาเริ่มเข้าประเด็น
“ลูกชายของคุณแม่มาคาลี ผมได้ทราบข่าวลือมา เป็นจริงใช่ไหมครับ ที่เขารอดกลับออกมาจากป่าอาถรรพ์ได้อย่างปาฏิหาริย์ ไม่มีใครทำได้ ยกเว้นแต่เขา ถ้าหากจริงตามข่าวลือที่ว่ามา เขาเป็นอย่างไรบ้าง ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงล้วนๆ”
“จริงค่ะ ท่านหัวเมือง”
นางพยักเพยิดไปทางห้องนอนของเขา
“เขายังคงไม่ได้สติ ---”
นางชั่งใจ เกือบหลุดปากหากลูกชายนางฟื้นคืนสติ เขาจะไม่ปกติอีกต่อไป นางยังทำใจรับเรื่องนี้ไม่ได้มาก อย่างที่เด็กสาวบอกนั่นแหละ
“พักฟื้นอยู่ค่ะ”
“ให้ผมเข้าไปดูอาการหน่อยได้ไหมครับ”
เขาเอ่ย
“หากไม่เป็นอันรบกวน”
นางเดินนำ เปิดประตูให้ท่านหัวเมืองเข้าไปเพียงลำพัง ส่วนนางคอยยืนเฝ้ามองอยู่หน้าห้อง เขาไล่ตาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความใคร่ฉงน และหันขวับไปมองผู้เป็นแม่ของเขา
“พอเตรียมเครื่องดื่ม”
เขาถาม
“เช่นชาร้อนๆ สำหรับรับแขกอย่างหัวเมืองเช่นผมไหมครับ”
“เดี๋ยวท่านหัวเมืองไปรอดิฉันที่ห้องนั่งเล่นนะคะ”
นางกล่าว
“มันกะทันหัน ท่านหัวเมืองมาโดยไม่ได้บอกกล่าวล่างหน้า ---”
“แต่หากมีสัญญาณ”
เขาพูดขัด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณแม่มาคาลี ผมไม่ถือโทษหรอกครับ คุณแม่อาจตระหนักได้ว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มาก แน่นอน มันย่อมถึงหูผมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เชิญคุณแม่ตามสบายได้เลยครับ ผมจะไปรอที่ห้องนั่งเล่นเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าจบ เขาแยกทางกับนาง ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ ปัญหาการต้องรอคอยอะไรนานๆ ไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อเขานัก
นางจัดแจงสำรับชาตรงหน้าเขา รินน้ำสีเหลืองอ่อนๆ ลงในถ้วย กลิ่นมะลิแตะจมูก เขาสูดเข้าลึกอย่างพึงพอใจ ยิ้มรับกับความหวานละมุน เขาไม่มีความต้องการจะดื่มสักนิด
“ผมยังได้ข่าวอีกว่า”
เขายกยิ้ม
“มีเด็กสาวแปลกหน้า พาเขาออกมาจากป่างั้นหรือครับ”
“ใช่ค่ะ”
“นางยังอ่อนเยาว์”
“ค่ะ”
“มันน่าแปลก”
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้น”
นางสมทบ
“คุณแม่มาคาลีคิดแบบเดียวกันกับผมใช่ไหมครับ ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กสาวคนนั้นจะสามารถช่วยเหลือชายหนุ่มออกจากป่าอันตรายนั่นได้ โดยนางไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลยสักนิด”
“หมายความว่าอย่างไรกันคะ”
“นางอยู่ที่ไหน”
“ดิฉันเองไม่รู้ค่ะ”
นางปฏิเสธ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“กระท่อมในป่าสน แต่เปิดโล่งน่ะค่ะ”
“ช่างน่าเหลือเชื่อ”
“ท่านหัวเมืองอยากรู้ว่านางอาศัยอยู่ที่ไหนไปทำไมกันคะ”
“นางน่าชื่นชม”
เขาบอก
“ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยเหมือนนางทำ นางต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม ผมหมายความว่า --- เป็นอย่างดีน่ะครับ”
“เธอทำความดี”
นางเห็นพ้อง
“ไว้ผมจะตามหานางให้พบ”
เขาปฏิญาณกับตัวเอง
“นางสมควรเป็นที่ถูกเปิดเผยให้กับสาธารณชนเมืองนี้ได้รับรู้ถึงวีรกรรมอันน่ายกย่อง”
อยู่ๆ เสียงละเมอจากห้องลูกชายนางดังลอดออกมาถึงห้องนั่งเล่น
“มัน ---”
นางตั้งใจฟัง
“มัน --- ยัง --- อยู่ --- ไม่ --- ตาย --- ดับ --- พวก --- เรา --- อยาก --- ให้ --- มัน --- ตาย --- ดับ --- ไอ้ --- คน --- ที่ --- เรียก --- ตน --- เอง --- ว่า --- ผู้ --- เผย --- … --- มัน ต้อง --- ตาย --- เพื่อ --- ปลด --- ปล่อย --- พวก --- เรา --- หวน --- คืน --- สู่ --- ที่ --- ที่ --- มัน --- เอา --- พวก --- เรา --- มา --- … --- เจ็บ --- ปวด --- และ --- หิว --- โหย --- เหลือ --- เกิน”
นางลุกลี้ลุกลน จึงเลือกหันไปขอรับความช่วยเหลือจากท่านหัวเมือง เผื่อเขาจะช่วยอะไรลูกชายได้
“ท่านจะเข้าไปดูลูกชายของดิฉันด้วยไหมคะ”
เขาส่ายหน้า
“ผมขอตัวกลับก่อนจะดีกว่า คุณแม่มาคาลี ขอให้ลูกชายของคุณแม่หายดีในเร็ววันนะครับ”
นั่นเหมือนสัญญาณแห่งความหวัง แล้วดับมอดไป เพราะลูกชายของนางไม่เคยได้สติอีกเลย
เด็กสาวหวนกลับมาหานางอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วยการใช่ผ้าคลุมศีรษะปิดบังตัวตนลึกลับอย่างน่าสงสัย นางไม่สนบอกเรื่องนี้กับใครให้ได้รู้ แม้แต่สามีก็ตาม
เด็กสาวมักจะมาพร้อมกับยาต้มสมุนไพร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลูกชายของนางมีสัญญาณไปในทางที่ดีขึ้น ผิวกายกลับมีสีแห่งชีวิตชีวา ร่างกายที่เคยซูบผอมติดกระดูก เริ่มมีเนื้อมีนวลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ฟื้นคืนสติเสียที เด็กสาวคอยเป็นกำลังใจให้นางว่าเขามีโอกาสฟื้นแน่นอน ต้องใช้เวลาสักระยะด้วยความอดทน และต้องห้ามรับยาจากหมอในเมืองที่ท่านหัวเมืองหามาให้เด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่เด็กสาวฝากทิ้งท้ายไว้ในวันหนึ่ง
ระหว่างนี้บ้านเมืองดูท่าจะมีปัญหาวุ่นวายอะไรสักอย่าง ท่านหัวเมืองมีการปลุกระดมประชาชนในเมืองมากที่สุด ให้ค้นหาตัวเด็กสาวแปลกหน้าที่พบในวันนั้น
จากที่ไม่มีใครบ้าบิ่นพอจะก้าวเข้าไปในป่าอาถรรพ์ ราวกับความหวังนี้ดั่งยาวิเศษเสริมกำลังใจให้มีเทียมทาน ต่างพากันรุดเข้าป่าโดยไม่สะทกสะท้านถึงสิ่งคร่าชีวิตเลยสักนิดเดียว
ท่านหัวเมืองประกาศกับทุกคนให้ได้รู้แจ้งกระบวนความแท้จริง
หัวใจนางพังทลาย นางสับสนว่ามันคือการกล่าวหาหรือความจริง
ท่านหัวเมืองรู้ตัวผู้ที่ทำให้ป่าสนเป็นที่พำนักของสิ่งชั่วร้าย มาจากเด็กสาวที่อาศัยอยู่ในกระท่อมป่าสน ในพื้นที่เปิดโล่ง เพราะเขาได้รู้มาจากคุณแม่มาคาลีผู้ซื่อสัตย์ ทั้งจงรักษ์ภักดีต่อตนเสมอมา นางถูกยกย่องเป็นวีรสตรีว่านับจากนี้ นางได้ช่วยเหลือชุมชนเมืองนี้ได้อยู่รอดปลอดภัยไปอีกกาลนาน
เมื่อได้ตัวเด็กสาวที่ถูกปักปำว่าเธอเป็นแม่มด ผู้สืบทอดอำนาจชั่วร้ายภายในป่าสน หากไม่กระนั้น เธอก็คงมีชีวิตอมตะ วัยเยาว์ตลอดกาล โดยการสาปสะกดจิตใจมนุษย์ชาวชุมชนเมืองนี้ให้ไปยังป่าสนทีละคน แต่ดีที่มีบรรพบุรุษจวบจนถึงรุ่นตน คอยเตือนสติชาวเมือง และคอยเป็นหูเป็นตา ถ้ามีใครจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของสิ่งชั่วร้ายในป่าสน ซึ่งนางรู้ว่ามันไม่จริง สิ่งที่เขาพูดมันขัดแย้งสิ้นเชิง เขาไม่ทำอะไรทั้งนั้น ห้ามปรามก็จริงอยู่ แต่ดูจะไม่เด็ดขาดเลยด้วยซ้ำ
อีกครึ่งหนึ่งของนางคล้อยตามวาทศิลป์ของท่านหัวเมือง แต่อีกครึ่งหนึ่งของนางยังคงศรัทธาในความดีและเอื้อเฟื้อห่วงหาอาทรณ์ไม่ขาดตกบกพร่องของเด็กสาวผู้นั้น
เธอจะเป็นแม่มดได้อย่างไร ถ้าการที่เธออาศัยอยู่ท่ามกลางถิ่นสิ่งชั่วร้ายปกครอง เธออาจปกครองพวกมันอีกทีเป็นไปได้ไหมนะ นางเข้าออกป่าได้โดยไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
คำถามพวกนี้ในหัวนางชวนให้ไขว้เขว เอนเอียงไปข้างที่มีน้ำหนักมากกว่าอย่างท่านหัวเมือง ทั้งนางยังจดจำคำพูดของเด็กสาวได้ว่า พวกมันไม่ได้มากันเอง --- มีชีวิตยืนยาวประหนึ่งอมตะ
ถ้าเด็กสาวมีอายุมานานหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่ครั้งแรกที่สิ่งชั่วร้ายมาเยือนดินแดนนี้ มันมาพร้อมกับเธองั้นหรือ
นางไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเลยจริงๆ แต่แล้ววันหนึ่งมีการรวมตัวของชาวบ้านที่ลานกว้างกลางชุมชนเมือง
ตรงกลางลานมีไม้ฝืนก่อตัวสูง เหนือขึ้นไปนางแทบทรุดลงกองกับพื้น ร่างเล็กอันบอบบางของเด็กสาวถูกผูกติดอยู่กับท่อนไม้
ผู้คนมากหน้าหลายตาตราหน้าว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นแม่มด นำพาความอัปยศอดสูมาสู่ชุมชนเมืองของตนหลายชั่วอายุคน พวกมันจะหายไปหมด หนทางเดียวเธอต้องตายเพื่อจบสิ่งเลวร้ายนี้
จังหวะนั้นเอง ผืนป่าสนคล้ายกับมีเสียงกรีดร้องระงมอันน่าขนลุก
“แม้แต่พวกมันในป่าสนยังรู้ถึงการจากไปของเจ้านายมัน”
ท่านหัวเมืองตะโกนก้อง
เสียงชาวบ้านโห่ร้องรวมถึงสามีนาง นางทำได้เพียงยืนนิ่งตาย
บางสิ่งมันขัดแย้งในใจนางอยู่ตอนนี้ หากเด็กสาวผู้นี้คือผู้นำมาซึ่งความชั่วร้ายในป่าสน ทำไมเธอถึงช่วยให้ลูกชายนางมีชีวิตรอดกลับออกมาได้ล่ะ และพยายามสุดความสามารถให้เขาฟื้นคืนสติกลับมา มันไม่สมเหตุสมผลกันเลย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว มีหลายคนต้องตายในป่าสน เธอบอกว่าช่วยเหลือพวกเขาได้ไม่ทันการ แค่ชีวิตเดียวลูกชายนางไม่สลักสำคัญสำหรับเธออยู่แล้ว ความจริงเธอไม่ใช่เจ้านายของสิ่งชั่วร้ายล่ะ ซึ่งพวกมันไม่มีทางทำร้ายเธอได้ นางจดจำคำพูดเด็กสาวในวันนั้นได้ ตราบใดที่เธอยังอยู่ จะไม่มีอันตรายใดย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้านได้แน่นอนค่ะ
นางรีบฝ่าฝูงชนแหวกทางไปให้ถึงแนวหน้า เด็กสาวมองลงเห็นความตั้งใจของนางแล้ว
“แม่หนู”
นางมาถึง อยู่ห่างจากเด็กสาวไม่กี่ก้าว
“แม่หนูไม่ใช่แม่มด ทำไมแม่หนูไม่บอกให้พวกเขารู้ไปล่ะ ว่าแม่หนูมีจิตใจอันบริสุทธิ์ ไม่งั้นแม่หนูจะช่วยลูกชายฉันออกมาทำไมกัน”
“อย่าไปฟังคุณแม่มาคาลี”
“ท่านหัวเมืองไม่มีสิทธิ์มาห้ามใครทั้งนั้น”
นางหันขวับไปต่อว่า ตอนนี้ใบหน้านางเปียกแฉะด้วยน้ำตาเวทนา
“ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่หนูพูดหรอกค่ะ”
เธอยอมจำนน
“ทุกคนที่นี่ไม่มีใครรู้จักหนูดี ทุกคนเชื่อในสิ่งที่คนคนหนึ่งปลูกฝังความคิดนี้ให้เชื่อ ถึงหนูจะมีปากมีเสียง มันก็เบาบางเหลือเกินที่ใครจะรับฟังมัน ความจริงจะปรากฏตรงหน้าเมื่อหนูสิ้นใจ แต่ไม่เหลือโอกาสได้เฉลียวใจ สิ่งชั่วร้ายมันจะยังไม่จบ ไม่ใช่เพราะผู้นำทางพวกมันมา แต่กลับเป็นพวกคุณยินดีต้อนรับผู้ที่นำพาพวกมันมาที่นี่เสียเอง ---”
“ไม่มีสิ่งใดที่นางพูดแล้วฟังดูมีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย”
เขาตัดบท
“กำจัดนางเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
“สำหรับพวกเขาไม่มีคำว่าสายเกินไปอีกแล้ว”
เด็กสาวสวนกลับ คบไฟจ่อที่ฐาน เปลวเพลิงอันร้อนแรงลุกลามสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ร่างเด็กสาวกรีดร้องทรมานสุดแสน ผสานกับเสียงโหยหวนสยดสยองจากป่าสน นางสิ้นสติไปเสียแล้ว กระโดดใส่กองไฟ ร่างนางถูกเผาไหม้อย่างสงบไปพร้อมกับเด็กสาว
ม่านหมอกสีดำคืบคลานออกมาจากป่าสนสำเร็จ ม่านบังตาเด็กสาวร่ายมนต์คาถาปกป้องชุมชนเมืองทลายลง กลืนกินชุมชนเมืองนี้ ท่านหัวเมืองหรือมิชชันนารีผู้มาเยือนชุมชนเมืองนี้ครานั้น แสยะยิ้มสังเวชด้วยความพึงพอใจ ขณะที่เฝ้ามองร่างของผู้คนในชุมชนเมืองแห่งนี้ ค่อยๆ ล้มตายไปทีละคนสองคน
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา