Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เมืองไทยไดอารี่ by Supawan
•
ติดตาม
7 ธ.ค. 2022 เวลา 00:44 • ศิลปะ & ออกแบบ
ห้องไตรภูมิ และอุโมงค์ข้ามกาลเวลา The Universe
สะพานข้ามจักรวาล .. เป็นอุโมงค์ที่มืดมิดแต่ประดับไปด้วยแสงดาวระยิบระยับ
- มนุษย์ต้องล่องลอยอยู่ในหมู่ดวงดาวที่มีความมืดปกคลุมอยู่เป็นส่วนใหญ่
- เมื่อถึงจุดหนึ่งของการเดินทาง เราจะออกมาสู่แสงสว่าง สัมผัสรับรู้กับสรวงสวรรค์ มนุษย์ และใต้พิภพ ... เสมือนกับการเวียนว่าย ตายเกิด ของมนุษย์ ในคติความเชื่อทางพุทธศาสนา
ห้องไตรภูมิ
เมื่อเดินทะลุสะพานข้ามจักรวาล ออกมาเจอประตูแห่งแสงสว่างไปสู่ห้องไตรภูมิ .. จะได้พบกับผลงานจิตรกรรมขนาดใหญ่ยักษ์ ความสูง 7 เมตร จำนวน 3 ภาพห้อยลงมาตามแนวยาว นี่คือภาพ “ไตรภูมิ” บอกเล่าการเวียนว่ายตายเกิด ของสรรพสัตว์ในสังสารวัฏตามคติความเชื่อในทางพุทธศาสนา
.. บอกกล่าวเรื่องราวของโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกนรก ให้เรานั่งนึกคิดพิจารณาความหมายในภาพเขียนซึ่งซ่อนเรื่องราวแล้วแต่บุคคลจะตีความ
ภาพชุดนี้ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ที่พลาดไปชมไม่ได้ สร้างสรรค์โดย สมภพ บุตราช, ปัญญา วิจินธนสาร และประทีป คชบัว
เราเลยได้โอกาสหย่อนก้นนั่งบนม้านั่งไม้ดีไซน์เก๋ ออกแบบโดยนักออกแบบรุ่นบรมครู ไสยาสน์ เสมาเงิน แต่ละแบบมีตัวเดียวในโลก ถือเป็นรายละเอียดความเท่ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วแกลเลอรี่
1
ห้องไตรภูมิ .. เป็นนิทรรศการถาวาร ออกแบบโดย คุณบุญชัย จาตุรงคกุล ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ โดยใช้ศิลปะเชิงแนวคิด (Conceptual Art) เป็นเครื่องมือในการออกแบบ เพื่อสะท้อนพุทธปรัชญา
การเข้าชมห้องไตรภูมิ เดินข้ามสะพานข้ามจักรวาล (Passage Across the Universe) ที่ผู้เข้าชมต้องผสานจินตนาการของตัวเองร่วมด้วย เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ห้องไตรภูมิ ให้มากขึ้น
ปากทางของสะพานข้ามจักรวาลเป็นไข่ฟองสีดำ เพื่อให้ผู้เข้าชมกำหนดจิต “ปิด” ความคิดจากสิ่งเร้ารอบกาย .. จากนั้นเดินข้ามสะพานไปยังไข่ใบที่สองที่มีสีขาว แล้วจึง “เปิด” จิตออกมาพบกับภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 7 เมตร อันเป็นภาพตัวแทนของสวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ซึ่งสร้างสรรค์โดย สมภาพ บุตรราช, ปัญญา วิจินทนสาร, และประทีป คชสาร
คติไตรภูมิ .. เป็นวรรณกรรมทางศาสนา ที่แสดงข้อคิดอันเป็นหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ว่าด้วยโลกศาสตร์ หรือจักรวาลศาสตร์ คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรกภูมิ .. เป็นคำสอนที่ให้มีการประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดีละเว้นกรรมชั่ว ใครทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วได้ไปนรก เป็นหลักปรัชญาที่นำมาใช้ในการสั่งสอนให้เป็นแนวทางดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างปิติสุข
สวรรค์ … เป็นดินแดนทิพย์ที่มีผู้คนพึงปรารถนา เป็นพื้นที่ที่มีแต่ความรื่นรมย์ ปิติสุข มีแต่ความดีงาม มีเทวดา นางฟ้า สิ่งซึ่งเป็นมงคล
โลกมนุษย์ .. รู้จักสุข รู้จักทุกข์ มีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง
นรก … รู้จักทุกข์อย่างเดียว
ภาพสวรรค์
สวรรค์ .. คือ ภูมิที่อยู่อาศัยของเทพเทวดา และเป็นดินแดนของสัตว์ที่เป็นทิพย์
ผู้ที่ไปอุบัติเกิดเป็นเทพเทวดาในแดนสวรรค์ล้วนเป็นผู้ได้รับแต่ความสุขความเจริญทางโลกียะทั้งสิ้น .. เพราะสรวงสวรรค์คือดินแดนแห่งสุขติ เป็นแดนแห่งสุขาวดี คือ สถานที่ที่มีแต่ความสุขสราญชื่นบานหรรษา เป็นแดนที่น่าพิสมัยไปด้วยสิ่งแวดล้อมงดงามตระการตา เป็นสถานที่เสวยสุขอันเกิดจากผลกรรมดี ที่ได้กระทำมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
ภาพสวรรค์ สร้างสรรค์โดย สมภพ บุตราช .. สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น
สวรรค์ชั้นที่ 1 จาตุมหาราชิกาเทวภูมิสวรรค์ชั้นที่.. อยู่ใกล้กับมนุษย์มากที่สุด มีท้าวมหาราชทั้ง 4 ปกครอง คือ พญานาค คนธรรม์ ครุฑ และยักษ์
สวรรค์ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์เทวภูมิแดนแห่งเทพ 33 องค์โดยมีท้าวสักกะเทวราช (พระอินทร์) ผู้เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครอง มี่สิ่งสำคัญๆ คือ
- ต้นปาริชาติ .. เมื่อออกดอกแล้ว ผู้สูดดมจะระลึกชาติได้
- พระธาตุจุฬามณี บรรจุพระทันตธาตุ (ฟัน) ซึ่งเอามาจากมวยผมของ โทณพราหมณ์ เมื่อครั้งที่มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ .. ดอกบัว เป็นการเชิดชูพระเกียรติ
- พระอาทิตย์ – พระจันทร์
- ท้าวสักกะ ทรงช้างเอราวัณ
สวรรค์ชั้นที่ 3 ยามาเทวภูมิแดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์
สวรรค์ชั้นที่ 4 ดุสิตาเทวภูมิ แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน .. เป็นที่สถิตของพระพุทธมารดา พระโพธิสัตว์ พระอัครสาวก ที่จะมาเกิดในโลกมนุษย์
สวรรค์ชั้นที่ 5 นิมมานรดีเทวภูมิแตนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต
สวรรค์ชั้นที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตดีเทวภูมิ แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่นนิรมิตให้ .. เป็นภูมิที่สูงที่สุด ประกอบไปด้วย 2 แดน คือ แดนแห่งเทพ และแดนแห่งมาร (ท้าวเวสสุวรรณ เป็นใหญ่)
มนุษย์ภูมิ (ในปี 2554)
จิตรกรรม “โลกมนุษย์” ได้สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงบนโลก เช่น เรือไฟเบอร์กลาส อันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงสภาวะวิกฤต์น้ำท่วมในปี 2554 .. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความจีรังยั่งยืน
นรกภูมิ
นรกของทางพุทธศาสนา .. สัตว์โลกจะถูกส่งตัวไปเกิดและลงโทษในนรกภูมิตามบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต ระยะเวลาถูกลงโทษในนรกภูมินั้นเป็นไปตามโทษานุโทษ ซึ่งเมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้น ตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่แล้วแต่กรณี
นรกในไตรภูมิ
ตามจักรวาลวิทยาในศาสนาพุทธ นรกเป็นดินแดนหนึ่งซึ่งอยู่ใต้ชมพูทวีปหรือมนุษยโลกลงไป และมีแปดชั้นหรือที่เรียกว่า "ขุม" สำหรับลงทัณฑ์ต่าง ๆ แก่สัตว์บาปที่ไปเกิด ประกอบไปด้วย
มหานรก .. เป็นนรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม อยู่ลึกไปตามลำดับ จากขุมที่1 ซึ่งมีขนาดเล็กไปถึงขุมที่8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด
อุสสทนรก .. เป็นนรกขุมบริวาร อยู่รอบๆมหานรกขุมใหญ่ทั้ง 4 ทิศ มี 128 ขุม
ยมโลก .. เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกของอุสสทนรกมี 320 ขุม
รวมทั้งหมด นรกมี 456 ขุม เป็นภพละเอียดอยู่ลึกลงไปใต้เขาพระสุเมรุ ที่มีเขาตรีกูฏ 3 ลูกรองรับอยู่ เกิดขึ้นด้วยกระแสบาปของมนุษย์ เป็นแดนสำหรับลงทัณฑ์ทรมานกายละเอียดของอดีตมนุษย์ที่ทำบาปอกุศล
สภาพของ มหานรก
มหานรก .. มีความร้อนแรงมาก ไฟในมหานรกนั้นร้อนแรงกว่าในอุสสทนรกและยมโลกเป็นล้านๆเท่า ไฟในยมโลกยังมีสีสันคล้ายกับไฟในเมืองมนุษย์ เมื่อมองออก
… แต่ไฟในมหานรกนั้นมีเปลวสีดำ ภพของมหานรกก็ใหญ่กว่า อายุของสัตว์นรกก็ยืนยาวกว่า หากเปรียบเทียบกันแล้ว อุสสทนรกกับยมโลก เป็นสถานที่ที่มนุษย์ไปรับผลกรรมที่เป็นเศษกรรมเท่านั้น แต่ในมหานรกนั้น คือ ส่วนเต็มๆของกรรม
ผู้ที่ตกไปอยู่ในมหานรก คือ อดีตมนุษย์หรือสัตว์ที่ทำกรรมชั่วหนักๆ หรือทำกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ เมื่อตายแล้ว กระแสบาปจะดึงดูดกายละเอียดลงไปเกิดในมหานรกทันที ไม่ได้มีใครมารับตัวเหมือนไปยมโลก
สัตว์นรกในมหานรกจะถูกลงทัณฑ์ที่แตกต่างหลากหลาย ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส มีนายนิรยบาลหรือนางนิรยบาล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ไม่มีชีวิตจิตใจ เกิดขึ้นด้วยอำนาจของบาปอกุศล ร่างกายใหญ่โตมโหฬารสูงใหญ่ปานภูเขา มีสีผิวดำมืดเหมือนกับถ่าน คอยลงทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก โดยไม่มีเวลาหยุดพักแม้สักวินาทีเดียว จนสิ้นอายุขัยของสัตว์นรกนั้น
กว่าจะพ้นจากมหานรกได้ ก็ยาวนานมาก ตั้งแต่ 1,620,000ล้านปีมนุษย์ จนถึง 1อันตรกัป* เลยทีเดียว ใช้กรรมในมหานรกเสร็จแล้ว ต้องไปรับ ผลกรรมต่อที่อุสสทนรกขุมบริวารอีก
อุสสทนรก
อุสสทนรก .. เป็นนรกขุมบริวารที่มีขนาดเล็กกว่ามหานรก และการทัณฑ์ทรมานก็เบาบางกว่า เช่น เป็นนรกอุจจาระเน่า นรกขี้เถ้าร้อน นรกป่าไม้งิ้ว นรกป่าไม้ใบดาบ เป็นต้น สัตว์นรกที่นี่จะมีความทุกข์น้อยกว่าในมหานรก ไฟนรกร้อนแรงน้อยกว่า และยังพอมีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานบ้างเล็กน้อย
ผู้ที่อยู่ใน อุสสทนรก มาจากสัตว์นรกที่ใช้กรรมในมหานรกมาเบาบางแล้ว จึงมาใช้เศษกรรมในอุสสทนรกต่อ เมื่อได้รับทัณฑ์ทรมานอยู่ใน อุสสทนรก เป็นระยะเวลายาวนานมาก จนกระทั่งกรรมเบาบาง ก็จะวิ่งหนีทะลุมิติไปเข้าสู่เขตของยมโลก เพื่อไปรับวินิจฉัยบุญบาปในยมโลกต่อไป
ยมโลก
ยมโลก .. เป็นนรกขุมย่อยๆ อยู่รอบนอกอุสสทนรก นอกจากจะเป็นสถานที่ลงทัณฑ์ทรมานแล้ว ยังมีความพิเศษกว่าอุสสทนรกและมหานรก คือ
1.เป็นสถานที่วินิจฉัยบุญบาปของสัตว์นรกที่มาจาก อุสสทนรก ว่า จะให้ไปรับทัณฑ์ทรมานที่นรกขุมไหนต่อ หรือให้ไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น
2.เป็นสถานที่ตัดสินบุญบาปของผู้ที่ตายจากเมืองมนุษย์ ที่ใจไม่เศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส เมื่อตัดสินแล้วก็จะส่งไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ เช่น ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ หรือไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก หรือชาวสวรรค์ เป็นต้น
3.หากมีมนุษย์ผู้ใด ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผู้ตายยังอยู่ในภพภูมิที่ไม่สามารถรับบุญได้ บุญนั้นจะมาคอยอยู่ที่ยมโลกเพื่อรอส่งผล โดยเฉพาะวันพระ ขึ้น 15ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ในยมโลกจะหยุดการลงทัณฑ์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง หากมีคนในเมืองมนุษย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ บุญนั้นจะถึงแก่สัตว์นรกในทันที ทำให้ระยะเวลาที่ต้องได้รับทัณฑ์ทรมานสั้นลง หรืออาจพ้นกรรมไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดในภพภูมิอื่น
เราอาจจะถือได้ว่า ยมโลกเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ ระหว่างภพมนุษย์กับภพภูมิอื่นๆก็ได้ เพราะเป็นที่รองรับสัตว์นรกที่มาจากอุสสทนรก และรองรับกายละเอียดที่ตายจากเมืองมนุษย์ เพื่อมาตัดสินบุญบาปแล้วส่งไปเกิดในภพภูมิต่างๆ
เมื่อมนุษย์ตายลง ไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปที่ยมโลกทุกรายเสมอไป ผู้ใดทำบุญหรือบาปไว้มาก กำลังบุญหรือบาปนั้น จะดึงดูดไปสู่ภพภูมิที่เหมาะสมเอง แต่ถ้าบุญก็ทำบาปก็สร้างปะปนกันไป ในขณะใกล้ตายจิตไม่ถึงกับเศร้าหมองแต่ก็ไม่ผ่องใส หรือตายด้วยอุบัติเหตุไม่ทันได้รู้ตัว กายละเอียดจะหลุดออกมายืนมองเห็นตัวเอง พูดกับใครก็ไม่มีใครพูดด้วย เมื่อนั้นจึงรู้ว่าตัวเองตายแล้ว
ในระหว่าง 7 วันนั้น ถ้ากายละเอียดของผู้ตายนึกถึงบุญที่ตนเคยทำไว้ได้ ใจก็จะผ่องใสได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็นสุคติ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออก พอครบ 7วันก็จะมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็น กุมภัณฑ์ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง ถือโซ่ตรวนและหอกแหลมมารับเอาตัวไป ถ้ากายละเอียดขัดขืน กุมภัณฑ์ ซึ่งมีกำลังมากกว่า จะทุบตีลากจูง พาเดินไปไม่กี่ก้าวก็ ผ่านอุโมงค์ทะลุมิติ ไปถึงหน้าประตูยมโลก ไปที่ลานตัดสิน
ลานตัดสิน .. มีสภาพมืด บรรยากาศทึมๆ ร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็มืดและร้อนน้อยกว่าใน อุสสทนรก และใน มหานรก หลายล้านเท่า ทั้งสองข้างทางมีเจ้าหน้าที่ยืนเรียงราย ถืออาวุธสลับกับประทีปโคมไฟที่ร้อนแรง น่าสะพรึงกลัว หดหู่ และน่าสยดสยอง
พอไปถึงโรงพิพากษา ก็ต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าพญายมราช เพื่อทำการไต่ถาม ช่วยให้นึกถึงบุญ และถ้านึกถึงบุญที่เคยทำไว้ได้ เจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ แต่ถ้านึกถึงบุญไม่ออกและมีบาปที่ตนเองเคยทำไว้ ก็ต้องถูกส่งไปเกิดในทุคติภูมิ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือไปรับโทษทัณฑ์ทรมานในขุมนรกของยมโลก โดยมีกุมภัณฑ์ที่มีหน้าที่ลงทัณฑ์ทรมาน
มีร่างกายสูงใหญ่ สูงยิ่งกว่าต้นยางนาสูงๆ สีผิวดำแดง ดำอมเขียว หรือดำอมม่วง น่ากลัวมาก แต่ยังดูดีกว่านายนิรยบาลในมหานรก กุมภัณฑ์เหล่านี้เป็นยักษ์ ชนิดหนึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นช่วงๆ
เปรต แปลว่า ผู้ตายไปแล้ว ในทางพุทธศาสนาหมายถึง สัตว์พวกหนึ่งที่ที่เกิดในเปตสิสัยซึ่งเป็นอบายภูมิ ๑ ใน ๔
บันทึก
3
1
2
3
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย