7 ธ.ค. 2022 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ชวนรู้จัก 10 บริษัทที่ปู่บัฟเฟตต์ลงทุนมากที่สุด
 
#อันดับ1 APPLE
สัดส่วน 40.75%
บริษัทนี้ไม่ต้องพูดเยอะ ไม่รู้จักไม่ได้ เพราะมันก็คือสินค้าคือ Apple ที่เราใช้กันอยู่ไม่ว่าจะเป็น Ipad Iphone Macbook ต่าง ๆ
Apple เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยสร้างรายได้ไปกว่า 3.65 แสนล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 บริษัทมีมูลค่าถึง 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน หรือถ้าเทียบความใหญ่ไม่ถูก ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ บริษัท Apple บริษัทเดียวมีขนาดใหญ่กว่า 90% ของตลาดฮ่องกงเลยทีเดียว โดยปู่บัฟเฟตต์ได้เข้าซื้อ Apple ปี 2016 และถือยาวจนปัจจุบันเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพอร์ต
เดิมทีในตอนแรกนั้น Apple ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีที่หลากหลายเหมือนที่เห็นในปัจจุบัน แต่จะเน้นขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลพร้อมซอฟต์แวร์
แต่จุดที่มาพลิกบริษัท Apple ให้เปลี่ยนไปตลอดกาล
คือการพยายามพัฒนาโทรศัพท์ปุ่มเดียวของ Steve Jobs และกลายเป็น iPhone นับได้ว่า Apple เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Smart Phone แพร่หลายในปัจจุบันเลยก็ว่าได้
และหลังจาก Steve Jobs จากไป
คนที่เข้ามาสานต่อคือ Tim Cook และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Apple เข้าสู่การเติบโตครั้งใหม่ที่เติบโตด้วยธุรกิจบริการ
ปัจจุบัน Apple มีรายได้จากธุรกิจบริการประมาณ 20% และยังเป็นธุรกิจส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในขณะนี้
#อันดับ2 Bank of America
สัดส่วน 10.47%
Bank of America หรือที่ชอบถูกเรียกว่า BoA หรือ BofA เป็นธนาคารและบริการการเงินชั้นนำของโลกที่ให้บริการกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ รองจาก JPMorgan Chase และเป็นหนึ่งใน Big 4 สถาบันการเงินของสหรัฐ ที่ถือครองเงินฝากประมาณ 10.7% ของทั้งประเทศ ในส่วนของ Wealth Management มี Merrill Lynch ที่ดูแลเงินลูกค้ากว่า 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อนับรวมทั้ง Bank of America และ Merill Lynch แล้วจะถือว่าเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
#อันดับ3 Coca-Cola
สัดส่วน 8.38%
บริษัทผลิตเครื่องดื่มที่หลากหลายของสหรัฐ สินค้าที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกก็คือโค้กนั้นเอง
Coca-Cola ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1886 โดยเภสัชที่ชื่อว่า John Stith Pemberton ก่อนที่ในปี 1889 สูตรจะถูกขายต่อให้ Asa Griggs Candler ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Coca-Cola
โดยรสชาติที่ถูกปาก ดื่มง่าย ให้ความสดชื่นกับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีทำให้ Coca Cola นั้นติดตลาดและขายดีอย่างมาก ต่อมาบริษัทได้ทำการสร้างแบรนด์ย่อยและซื้อบริษัทเครื่องดื่มเข้ามาอีกเป็นจำนวนมาก
ยกตัวอย่างยี่ห้อคนไทยน่าจะรู้จักกันดีเช่น Fanta, Sprite, Schweppes เป็นต้น
#อันดับ4 Chevron
สัดส่วน 7.79%
บริษัทพลังงานประกอบธุรกิจสำรวจ ผลิต ขนส่งและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียม พลังงานความร้อนใต้ดินและเคมีภัณฑ์ เกิดจากการควบรวมกิจการของสแตนดาร์ดออยล์แห่งแคลิฟอร์เนีย กับกัลฟ์ออยล์
ปัจจุบันเป็นบริษัทน้ำมันอันดับ 2 ของสหรัฐ
และเป็นบริษัทผลิตพลังงานความร้อนจากใต้ดินรายใหญ่ที่สุดในโลก
#อันดับ5 American Express
สัดส่วน 7.00%
บริษัทบัตรเครดิตที่ขึ้นชื่ออย่างมากในการให้สิทธิประโยชน์ ความหรูหราต่าง ๆ แก่ผู้ถือบัตรอย่างที่ไม่มีเจ้าไหนในโลกให้ได้ รวมถึงเป็นบัตรเครดิตที่ได้รับการยอมรับกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
การมีบัตร American Express ใช้นั้นเปรียบเสมือนการถือสินค้า Brand name อย่างหนึ่งเลยทีเดียว
โดยการจะได้บัตรมานั้นต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 1 แสนเหรียญสหรัฐต่อปี (สำหรับบัตรเริ่มต้น) รวมถึงต้องมีเครดิตการเงินที่ดีมาก ๆ
โดยในบัตรระดับ Platinum มีค่าธรรมเนียมต่อปีอยู่ที่ราว ๆ 2.4 หมื่นบาทต่อปี
การเริ่มต้นลงทุนในบริษัท American Express ของปู่บัปเฟตต์ในปี 1964
ถือว่าเป็นการลงทุนที่เป็นตำนานของปู่ และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ปู่หันมาลงทุนในแนวทาง ‘เลือกบริษัทที่ดีในราคาที่เหมาะสม’ (จากก่อนหน้าที่เน้นซื้อหุ้นถูกอย่างเดียวตามแบบ VI ดั้งเดิม) ซึ่งการเข้าซื้อในปี 1964 ของปู่นั้นเป็นช่วงที่บริษัท American Express กำลังเผชิญวิกฤตเรื่องความเชื่อมั่น นักลงทุนต่างหนีหาย และทำให้คำพูดของปู่ว่า ‘จงกลัวเมื่อผู้อื่นกล้า จงกล้าเมื่อผู้อื่นกลัว’ นั้นดังขึ้นมา
หลังจากนั้นปู่ได้มีการขายออกไป และกลับมาซื้อใหม่ในปี 1993
เข้าพอร์ตลงทุนของ Berkshire Hathaway
#อันดับ6 Kraft Heinz
สัดส่วน 4.14%
บริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ ชื่อของบริษัทมาจากผู้ชื่อก่อตั้ง 2 ท่านคือ James Lewis Kraft และ henry John Heinz
สาเหตุที่บัฟเฟตต์ชอบบริษัท Kraft Heinz เพราะว่าบริษัทมีสินค้าที่มีแบรนด์แข็งแรงมาก
โดยสินค้าที่คนไทยน่าจะรู้จักที่สุดคือซอสยี่ห้อ Heinz หรือจะเป็นสินค้าอื่น ๆ เช่น Kraft Mac & Cheese, Philadelphia cream cheese
#อันดับ7 Occidental Petroleum
สัดส่วน 3.11%
OXY หรือ Occidental Petroleum เป็นบริษัทที่ผลิตน้ำมันภาคพื้นดินที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำต้นทุนการผลิตน้ำมันได้ต่ำสุดในสหรัฐ ที่แถว ๆ $40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
บัฟเฟตต์เข้าซื้อ OXY ครั้งแรกในปี 2019 แต่มาซื้อเพิ่มอีกทีในปีนี้นี่เอง (2022)
หลังเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูง และ Supply การผลิตพลังงานหายไปจากการคว่ำบาตรของทั่วโลกต่อรัสเซีย (ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก)
Berkshire Hathaway ของปู่จึงเข้าซื้อกิจการ OXY โดยการซื้อสิทธิ์ความเป็นเจ้า (หุ้น) มากกว่า 50% ของหุ้นทั้งหมด
#อันดับ8 Moody’s
สัดส่วน 2.24%
Moody’s เป็น 1 ใน 3 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของโลก ซึ่งแค่ 3 บริษัทรวมกันมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 95% ในอุตสาหกรรมนี้ จึงถือเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผูกขาดและมีคู่แข่งเกิดใหม่ยากมากเนื่องจากมีกฏหมายและเรื่องความน่าเชื่อถือมาเกี่ยวข้อง
นอกจากด้านการจัดลำดับความน่าเชื่อถือแล้ว Moody’s ยังมีธุรกิจวิเคราะห์ข้อมูลให้บริษัทต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันเติบโตจนนับเป็น 37% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
ในด้านความสามารถในการแข่งขัน บริษัทก็มีความสามารถในการต่อรองราคาลูกค้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปัจจุบัน Moody’s เป็นหนึ่งในหุ้นที่ปู่บัฟเฟตต์ถืออย่างยาวนานมากกว่า 20 ปี แล้ว
#อันดับ9 US Bancorp
สัดส่วน 1.84%
เป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐ (โดยวัดจากทรัพย์สินที่ถือครอง) มีประวัติอันยาวนานโดยก่อตั้งตั้งแต่ 1891 บริการของธนาคารที่โดดเด่นคือบริการฝั่งสินเชื่อที่หลากหลาย มีจุดให้บริการลูกค้าทั้งสาขาย่อย ตู้ ATM ต่าง ๆ จำนวนมาก
บัฟเฟตต์เริ่มต้นเข้าซื้อ US Bancorp ตั้งแต่ปี 2006 แม้ปัจจุบันจะมีการลดน้ำหนักการถือครองลงไปกว่า 56% แล้ว แต่ยังเป็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ถือเป็นจำนวนมากจนติดเป็นอันดับ 9 จากบริษัททั้งหมด
#อันดับ10 Activision Blizard
สัดส่วน 1.77%
ค่ายเกมอันดับ 1 จากอเมริกาที่เป็นผู้สร้างเกมสุดฮิตมาทุกยุคทุกสมัยตัวอย่างเช่น Guitar Hero, StarCraft, World of Warcraft, Call of Duty, Diablo, Candy Crush บริษัทจะเน้นพัฒนาเกมบน PC มากกว่า ส่วนในโทรศัทพ์จะเน้นขายลิขสิทธิให้บริษัทอื่นไปพัฒนาต่อ
ตัวอย่างเกมที่ให้ partner อย่าง netease ไปพัฒนาต่อ เช่น Diablo III, World of Warcraft, Hearthstone, Overwatch
Activision Blizard เป็นอีกหุ้นที่ปู่ปัฟเฟตต์เข้าซื้อในปีนี้ โดยเหตุผลในการเริ่มเข้าซื้อนั้น เป็นในเชิงเกร็งกำไรว่า Microsoft จะทำการเข้าควบรวมกิจการของ Activision Blizard
การเข้าซื้อของ Microsoft นั้นเป็นผลดีกับบริษัท Activision Blizard เพราะเดิมทีบริษัทเน้นพัฒนาเกมบน PC เป็นหลักอยู่แล้ว การได้อยู่ภายใต้ Microsoft นั้นจะทำให้ Activision Blizard สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับหุ้นที่ปู่ถืออยู่ตอนนี้ ลูกเพจชอบตัวไหนเป็นพิเศษ หรือมีตัวไหนอยู่บ้างมาคุยเล่นกันได้ใน comment เลยครับ
.
BottomLiner
โฆษณา