8 ธ.ค. 2022 เวลา 11:03 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา PEACE ธุรกิจอสังหาฯ เติบโตก้าวกระโดด
PEACE x ลงทุนแมน
เมื่อต้นปี 2565 มีธุรกิจอสังหาฯ แบรนด์หนึ่ง IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
นั่นก็คือ บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE
ซึ่งทำโครงการแนวราบอย่าง CHER, CORDIZ, THE GLAMOR, CHERENE และ CHEREA VICINITY
โดยล่าสุด ผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่า PEACE มีรายได้รวม 1,425 ล้านบาท เติบโต 75.98% และมีกำไรสุทธิ 317 ล้านบาท เติบโต 110.39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
อะไรอยู่เบื้องหลังการเติบโตของธุรกิจ PEACE ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า PEACE ยืนหยัดในวงการอสังหาฯ มานานกว่า 27 ปี
จึงมองเห็นและเข้าใจธุรกิจอสังหาฯ เป็นอย่างดี
โดยหัวใจในการทำธุรกิจอสังหาฯ ของ PEACE คือ การบริหารงานแบบมืออาชีพ โปร่งใส ไม่ทุจริตในทุกขั้นตอนด้วย professionalism core value
ที่สำคัญคือ จิตวิญญาณ Entrepreneurial spirit ที่ทำให้ PEACE ลุยงานเต็มที่ด้วยหัวใจเถ้าแก่ ฝ่าทุกปัญหา และวิกฤติ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น นอกจากการเติบโตของธุรกิจ ยังทำให้เกิดวินัยทางการเงิน มีความตรงไปตรงมากับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้น, พนักงาน, คู่ค้า และลูกค้า อีกด้วย
ซึ่งหากสังเกต ผลประกอบการ ของ PEACE ในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า
ปี 2563 รายได้รวม 867 ล้านบาท กำไรสุทธิ 134 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 1,167 ล้านบาท กำไรสุทธิ 215 ล้านบาท
ปี 2565 (9 เดือน) รายได้รวม 1,425 ล้านบาท กำไรสุทธิ 317 ล้านบาท
สะท้อนได้ว่า รายได้รวมและกำไรสุทธิของ PEACE เติบโตอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเรื่องสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ คงหนีไม่พ้นความพึงพอใจของผู้บริโภค
แล้ว PEACE ทำอย่างไร จึงสามารถพัฒนาโครงการให้ตรงใจผู้บริโภค ?
1
ข้อแรกคือ การเริ่มพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่งจากภายใน ในระยะยาว
PEACE ทำการวิจัยอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบจุดแข็งของตนเอง
รวมทั้งศึกษาความต้องการของผู้บริโภค, สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และการศึกษาเทรนด์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
เพื่อทำให้ PEACE มี Brand being และ Positioning ที่ชัดเจน
ที่สำคัญ ต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และสอดคล้องกับ Brand being จากภายในองค์กร
เพราะเมื่อภายในองค์กรแข็งแกร่ง การสื่อสารไปยังลูกค้าก็จะง่ายขึ้น
ทำให้กลุ่มเป้าหมายการสื่อสาร และทุก stakeholders ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เกิดการรับรู้ เข้าใจ และเกิดความชื่นชมตรงกับ Brand being
ข้อต่อมาคือ การพัฒนาโครงการ PEACE ให้แตกต่างจากคู่แข่ง และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบัน PEACE มีแบรนด์โครงการแนวราบที่หลากหลาย ครอบคลุมระดับราคา 2-40 ล้านบาท
เช่น
- แบรนด์ CHER ทาวน์โฮม ราคา 2-6 ล้านบาท
- แบรนด์ CORDIZ ทาวน์โฮม ราคา 6-10 ล้านบาท
- แบรนด์ THE GLAMOR บ้านเดี่ยว ราคา 30-40 ล้านบาท
- แบรนด์ CHERENE บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคา 7-20 ล้านบาท
- แบรนด์ CHEREA VICINITY จะเป็น Mixed Product ราคา 2-20 ล้านบาท
นอกจากนี้ PEACE ยังใช้กลยุทธ์ End-to-end marketing หรือการตลาดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
และยังเน้นความสำคัญของการวิจัยตลาด เพื่อเจาะหาความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็น
- ข้อมูล Supply เช่น สินค้า, ราคา, อัตราเฉลี่ยการขาย และสินค้าคงเหลือ
- ข้อมูล Demand เช่น กำลังซื้อ และภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรตายตัว แต่เป็นศิลปะของการบริหารในแต่ละช่วงเวลา
ทำให้ PEACE ต้องปรับตัวตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา และความเคลื่อนไหวของตลาดอยู่เสมอ
ถึงตรงนี้ ถ้าถามว่า ก้าวต่อไปของ PEACE จะเป็นอย่างไร..
ต้องบอกว่า หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งผลให้ PEACE มีความแข็งแกร่ง ทั้งด้านการเงินและการลงทุนมากขึ้น
PEACE จึงวางแผนเปิด 3 โครงการใหม่ในปีหน้า คือ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์-เจษฎาบดินทร์, CHER ราชพฤกษ์-พระราม 5 และ CHERENE พหล-วัชรพล
นอกจากนี้ในอนาคต เราอาจจะได้เห็น PEACE กลับไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ EEC อีกด้วย
ที่สำคัญในอีก 5 ปีข้างหน้า..
PEACE ตั้งใจจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งจากภายใน และต้องมีแบรนด์บริษัท และแบรนด์โครงการเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
เพราะเป้าหมายของ PEACE คือ การเติบโต 2 เท่าภายใน 3 ปี และ 3 เท่าภายใน 5 ปี..
Reference
- บทสัมภาษณ์ PEACE โดย ลงทุนแมน
โฆษณา