12 ธ.ค. 2022 เวลา 12:23 • นิยาย เรื่องสั้น
จารมิจบ
halloween story
โลกทั้งใบถูกย้อมด้วยสีพลบค่ำ มืดสลัว ม่านหมอกส้มหนาแน่นผนึกรวมประหนึ่งกำแพงกระจายตัวปกคลุมโดยรอบ
เด็กหนุ่มตื่นตกใจ ทว่า คลับคล้ายคลับคลากับสถานที่แห่งนี้มาก่อน
เขาถูกฉุดทรุดฮวบกองกับพื้น ถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนยาวของใครบางคน เรียวขายาวเหยียดกับพรมหญ้าสีทองแห้งๆ อกกว้างผายผึ่ง แผ่นหลังพิงกับต้นไม้เปลือกสีเทา ใบไม้สีฮาเซลร่วงโรยไม่ขาดสาย และจะหายไปเมื่อตกถึงพื้น กระนั้นใบบนยอดก็ยังคงเต็มกิ่งก้าน ไม่ล้านเลี่ยนสักที
“ต้นไม้นิรันดร”
“ข้าถามเจ้าหรือ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ข้าบอกเจ้า”
อีกฝ่ายเอ่ย
“ยังไงเจ้าก็จะถามข้า ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่งอยู่ดี”
“ช่างผิดแผก”
เขาสนเท่ห์
“ไม่มีใบร่วงโรยที่พื้นเลย”
อีกฝ่ายยิ้ม
“สงสัยสิ่งใดอีกไหม”
“เจ้าจะตอบข้าให้คลายสงสัยหรือ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“เสียเวลากับสิ่งสามัญ”
“ไม่สำหรับข้าเลย”
เขาแย้ง
“ข้าเข้าใจ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ความอยากรู้มากมายของเจ้าทำให้ข้าเสียการของข้า”
“อย่างไรกัน”
“ณ ดินแดนแห่งนี้”
อีกฝ่ายคว้ามือสองข้างเขาไปกุม ฝ่ามือหนาใหญ่แข็งแรง สัมผัสเย็นอ่อนๆ กำด้วยความทะนุถนอม ราวกับสิ่งเปราะบางสุดในโลกจะสลายหายสูญ
“ข้ามารอเจ้าเสมอ”
“แล้วที่นี่ที่ไหน”
อีกฝ่ายขำขัน น้ำเสียงช่างไร้อารมณ์จนขื่น
“ทุ่งเอลิเซียม”
เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งฉงน หลังได้ยินคำนั้น
“อะไรคือทุ่งเอลิเซียม”
“เปรียบดั่งสวนสาธารณะที่เจ้ารู้จัก”
อีกฝ่ายผายมือไปรอบๆ
กำแพงหมอกขยับขยายอาณาเขตกว้างไกลออกไปสักหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรแปลกตาไปจากเดิมเลย
“ดินแดนนี้คือทุ่งอนันต์ ที่มาเยือนแล้ว ไม่มีวันหวนกลับได้”
เขามีสีหน้าแตกตื่นเสียขวัญ
“ไม่ใช่สำหรับทุกคนหรอกหนา”
เขายังไม่คลายความกังวลกัดกินใจ
อีกฝ่ายกังวลในแววตาของเขา ก็ผุดลุกขึ้นตรงแน่ว อีกฝ่ายช่างสูงเหลือเกิน
เขาไม่ทันจะได้ลุกด้วยตัวเอง อีกฝ่ายก็คว้าร่างเขาด้วยแขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวเขา ท่วงทีว่องไวทว่านุ่มนวล
“ไปจากตรงนี้กันเถอะ”
อีกฝ่ายว่า
“ขืนปล่อยเจ้าอยู่ตรงนี้นาน เจ้าจะหวาดกลัวไม่คลายเสียเปล่าๆ ”
“ข้าจะไปไหน”
เขาขัดขืนจะไม่ไปด้วยง่ายๆ
อยู่ๆ จิตใต้สำนึกก็ถูกสูบพลังแห่งความกลัวไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือให้เขาหวั่นวิตกกับเรื่องใดอีกเลย
“เจ้าอยู่กับข้า”
อีกฝ่ายให้คำมั่น
“ไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้น”
อีกฝ่ายคว้ามือของเขาทาบลงกลางอก ไร้ซึ่งจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ไปกันเถอะ”
“ที่ไหนกัน”
อีกฝ่ายวาดมืออีกข้างตรงหน้า ผืนหญ้าโล่งกว้างเปิดเผยเบื้องหลังกำแพงหมอกหายไปสิ้น
“หายไปไหนหมด”
เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าขอพื้นที่พวกเขาให้ไปอยู่ที่อื่นสักพัก”
“พวกเขาไหนกัน”
เขามองไม่เห็นใครเลยก่อนหน้านี้ จะมีคนอื่นนอกจากเขากับอีกฝ่ายเพียงสองคนในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน หรืออีกฝ่ายเห็นเพียงคนเดียวกันนะ
“เจ้าจะไม่มีทางเห็นพวกเขาหรอก”
เขาได้แต่จับจ้องเข้าไปในดวงตาดำลึกเกินหยั่ง
“พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
“ทุ่งแอสโฟเดลสักพัก”
“ทุ่งแอสโฟเดล”
เขาฉงน
“เป็นอย่างไรกัน”
“น่าเบื่อหน่าย”
“น่าเบื่อหน่าย”
เขาทวนคำนั้น
“ใช่”
อีกฝ่ายว่า
“เจ้าจะสัมผัสได้ถึงความสุขที่เลือนหายไปจากใจ เหมือนอยู่ในห้องเล็กๆ อันแสนอึดอัด”
อีกฝ่ายว่าจบก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้กับเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ชอบที่นั่น มืดหม่นทั่วสารทิศ ไม่เหมือนสถานที่แห่งนี้จะอยู่ในยามอัสดงตลอดกาล”
“พวกเขาจะทรมานไหม”
“มีสิ่งที่อยู่เหนือความทรมาน”
อีกฝ่ายกล่าวเป็นนัยๆ
“สวยจัง”
เขาโพล่ง ครั้นมาถึงบริเวณแม่น้ำสีทองไม่ไหวติง เขาต้องการจะเข้าไปใกล้มัน อีกฝ่ายก็รั้งเขาไว้ก่อน
“ห้ามข้าทำไมล่ะ”
“ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า”
อีกฝ่ายบอก
“จงรอก่อน”
“เมื่อไรกัน”
“ขอเพียงข้าได้อยู่กับเจ้าสักพักเถิดหนา”
“แม่น้ำอะไรกัน”
“แม่น้ำสติกซ์”
อีกฝ่ายตอบ
“หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ตลอดสาย มันจะแปรเปลี่ยนแต่ละดินแดนที่มันไหลผ่าน ทั้งสวยงามอย่างที่เจ้าเห็นตรงหน้า และน่าขยะแขยงอย่างที่เจ้าไม่พึงประสงค์จะประจักษ์”
“ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม”
“ข้าชอบมานั่งเล่นกับเจ้า”
“กับข้า”
เขาคิดไม่ตก
“ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
อีกฝ่ายจูงมือเขาเดินเลียบแม่น้ำสีทองไปยังต้นแอปเปิลสีทองไม่ไกลเท่าไรนัก ผลหนึ่งตกลงมาแทบเท้าอีกฝ่าย เขาหยิบมันขึ้นมา ยื่นให้กับเขา และมันจะไม่มีวันร่วงลงมาอีกเลย จนกว่าจะถึงเวลาของมันอีกครา
“กินซะสิ”
“มันดูไม่น่ากินเท่าไร”
“มันกินได้”
“มันเหมือนผลไม้ที่ข้ารู้จัก”
เขาพินิจ
“แต่นี่คือทองคำ ข้าเกรงว่าจะฟันหักหมดปาก หากตัดสินใจบ้าๆ งับสิ่งนี้”
อีกฝ่ายหัวเราะหึๆ ในลำคอ ตลกขื่น
วางมือลงบนเรือนผมสีดำของเขาอย่างใคร่เอ็นดู
“เจ้านี่หนา”
อีกฝ่ายว่า
“รสชาติดีที่สุดกว่าที่เจ้าเคยลิ้มลองผลไม้ไหนๆ มาก่อนทุกๆ ชีวิตของเจ้าเสียอีก”
เขาดูจะยังไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อได้ลง
“เจ้าจักต้องพิสูจน์เสียก่อน”
อีกฝ่ายว่า
“จะหาว่าข้าพูดเกินจริงไม่ได้”
เขาค่อยๆ ใช้ฟันกัดหนึ่งคำ ก่อนกลืนลงคอ ยิ้มฉีกกว้างทีหลัง ประสาทรับรสบนลิ้นสัมผัสถึงรสหวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ แล้วแอปเปิลสีทองในมือก็หายแวบไป ทำเอาเขาใจแป้ว นึกเสียดายที่กัดไปได้คำเดียว
เขาสวมกอดอีกฝ่ายทันใด
น้ำตาไหลพรั่งพรู
อีกฝ่ายกอดตอบปลอบประโลมจิตใจสุดทรมานนี้
“ข้าจะรับความเจ็บปวดของเจ้าไว้”
อีกฝ่ายกล่าว
“ท่านไม่อาจรับมันไปได้”
เขาแย้งทันควัน
“ข้าจะไม่จากท่านไปไหนอีกแล้ว”
“ไม่ได้”
อีกฝ่ายตั้งใจจะกล่าวเสียงราบเรียบเย็นชา หากมันช่างเบาบางอย่างกับเสียงกระซิบอันเศร้าหม่น ขุ่นมัวด้วยความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายรู้ว่าตนไม่อาจแบกรับแทนเขาได้ จึงมีทางเดียวเท่านั้นที่ฝืนกลั้นใจจะทำมัน
“เจ้าเด็กนี่ เจ้าต้องกลับออกไปจากที่นี่เท่านั้น”
“ข้าไม่ดื่มมันแน่”
“เจ้าพูดทำนองนี้มากี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วกันหา”
อีกฝ่ายกล่าว
“ข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่ที่นี่กับข้าอยู่ดี”
“ข้าควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้อยู่กับท่านกัน”
“ดื่มมันซะ”
อีกฝ่ายวักน้ำสีทองขึ้นมาในมือหนาใหญ่ ไม่มีหยดน้ำไหลผ่านซอกนิ้วเลยด้วยซ้ำ น้ำในมือกลายเป็นสีหมอกไปเสียได้
“ไม่”
เขาเบนหน้าหนีไปทางอื่น ก็ยังโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
“จำที่ข้าบอกได้ไหม ที่รักของข้า”
เขาพยักหน้า
“มองหน้าข้า”
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาดำอนธการคู่นั้น
“หลับตาซะ”
เขาหลับตาลงอย่างว่าง่าย
ริมฝีปากอ่อนนุ่มทว่าเย็นเยียบสัมผัสกับริมฝีปากอุ่นๆ ของเขา น้ำตาหยาดสุดท้ายไหลอาบแก้มนวล
“เมื่อข้าขอให้เจ้าจากดินแดนนี้ไป”
เสียงบุรุษดังในหูของเขา
“อย่าได้หวนคืน เมื่อความเจ็บปวดฉุดรั้งให้ดื้อรั้น”
เมื่อเขาต้องถูกบังคับให้กลืนน้ำสติกซ์ลงคอ
“เจ้าจะลืมข้า”
เสียงนั้นกล่าวต่อ
“มีเพียงแต่ข้าจะจดจำเจ้าตราบชั่วนิจนิรันดร์ จะไม่ลืมเลือนว่าทุกๆ ปี ข้าจะหาเจ้าผู้เดียว”
เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
สายลมเย็นพัดผ่าน หอบใบไม้สีฮาเซลบนพื้นไปตามทาง น้องสาวยื่นเครื่องเซ่นให้กับเขา
เขาวางมันลงบนแท่นบูชาในค่ำคืนรำลึกผู้ล่วงลับ แสงไฟสีส้มสว่างไสวของเปลวเพลิงบนยอดเทียนไขประดับประดาในสุสานและตามหน้าบ้าน
จะรู้สึกว่ากำลังรอคอยบางอย่างที่เลือนราง ช่างเป็นเวลายาวนานยิ่งนักจะได้พบกันในช่วงเวลาสั้นๆ อีกครั้ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่ในโลกใบนี้
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา