12 ธ.ค. 2022 เวลา 12:29 • นิยาย เรื่องสั้น
murder song
เขาฟื้นขึ้นมากับความทรงจำที่เลือนราง หัวของเขาปวดตุบๆ เหมือนถูกฟาดด้วยของแข็งอย่างแรง
เขากวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเล็กกะทัดรัดนี้ ไม่มีอะไรเลย เขาอยู่บนฟูกหนังดำบางๆ พัดลมเหลือกำลังแรงตามสภาพและขนาดของมันจ่อมาที่เขา
เขาจะขยับตัวลุกขึ้น พอจะขยับคอก็ปวดแปลบจนทนไม่ไหว หน้ามืดไปวูบหนึ่ง เขาสลัดความงุนงงทิ้งไป
ก่อนจะตรงไปหาประตูที่ปิดอยู่ เขาขยับกลอนประตู เมื่อกระชากอย่างแรงก็พบว่ามันถูกล็อกจากข้างนอก
เขาผละออกจากประตู เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะเร่งรีบจากข้างนอกห้องห้องนี้ ฟังจากน้ำหนักเสียงที่ดังชัดขนาดนี้แล้วกำลังจะเข้าหามาเป็นแน่
เขาสันนิษฐานจะต้องเป็นใครคนนั้นที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้จับเขามาขังไว้ในห้องห้องนี้อย่างไม่มีทางเป็นอย่างไปได้เลย
ใครคนนั้นมีเหตุอันควรใดถึงต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย
“เดี๋ยวก่อนๆ --- ฉันกำลังมาแล้ว เพื่อความปลอดภัยที่รัดกุมน่ะ”
เขากวาดตามองหาสิ่งที่จะนำมาเป็นอาวุธปกป้องกันตัว หรือไม่ก็ช่วยเขามีจังหวะหลบหนีไปจากที่นี่ได้ การที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ท้ายทอยไม่ใช่เรื่องดีที่จะตัดสินใจอยู่ต่อไป โดยจะฟังเหตุผลข้ออ้างต่างๆ นาๆ เพื่อใช้มันแก้ตัวให้ดูฟังขึ้นก็ตาม
เขามั่นใจได้ว่าเขาอาจถูกทำร้ายให้สิ้นฤทธิ์ ก่อนจะถูกลักพาตัวมาที่นี่ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายที่กำลังมาหาเขาคือคนร้ายอย่างแน่นอน
มันก็ย้อนกลับมาที่คำถามเดิม
อีกฝ่ายมีเหตุอันควรใดถึงต้องทำกับเขาแบบนี้ด้วย
เขาปรี่ไปที่พัดลม กระชากปลั๊กให้หลุด ดึงทึ้งสายไฟพัดลมให้หลุดจนขาด แล้วรีบก้าวขายาวๆ ไปหลบอยู่ข้างประตู
เสียงกุกกักดังจากบานประตู เขาเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อไรที่ประตูถูกเปิดออก อีกฝ่ายหลุดเข้ามาในห้องแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ใช้สายไฟพยายามจะรัดคออีกฝ่ายไม่ลืมหูลืมตา อีกฝ่ายก็พยายามดิ้นรนขัดขืนกำลัง หากพวกเขาทั้งคู่ก็ล้มระเนระนาดไปกองอยู่ที่พื้นจากการต่อสู้ขัดขืนกันไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
หมัดหนึ่งพุ่งปราดเข้าที่ใบหน้าไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะถูกศอกของอีกฝ่ายกระแทกร่างจนล้มหงายหลังตึงขณะพยายามจะลุกก่อนหน้านี้
อีกฝ่ายจึงได้โอกาสนี้ตะกายขึ้นมาคร่อมอยู่บนร่างของเขา คว้าข้อมือทั้งสองข้างยึดไว้กับพื้น และใช้ขากดทับขาทั้งสองข้างไม่ให้ปัดป่ายทำร้ายตัวเองได้อีก ทว่า เขาไม่ยอมแพ้จะหลุดพ้นเป็นอิสระให้ได้เลย
อีกฝ่ายพยายามจะพูดแข่งกับลมหายใจเหนื่อยหอบหนักหน่วง
อีกฝ่ายร้องห้าม และยิ่งโถมน้ำหนักกดร่างของเขาไม่ให้เหลือกำลังขัดขืน
“มองตาผม”
เขาเผลอหยุดขัดขืน จับจ้องดวงตาสีฟ้าสดใสที่สงบนิ่งของอีกฝ่ายใต้หน้ากากพลาสติก
“คุณคิดจะทำอะไรผมกันแน่”
“ผมจะบอกคุณก็ต่อเมื่อคุณสงบสติอารมณ์ได้มากพอจะรับฟังผม และไม่คิดจะตุกติกใดๆ ทั้งสิ้น”
เขาชั่งใจคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจพยักหน้า
หากอีกฝ่ายไม่ได้ผละออกจากร่างของเขาในทันที ค่อยๆ ขยับออกไปอย่างไม่เชื่อใจในการตอบตกลงของเขา
เขานิ่งอยู่นานจนอีกฝ่ายเริ่มไว้ใจได้ก็รีบผุดลุกออกไป หันไปผลักประตูปิดดังปัง เขาลุกขึ้นนั่งทันที ตอนที่อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้าเขา
“คุณว่ามาเลย”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าข้างนอกนั่น”
เขาพยักหน้า
สายตากวาดสำรวจชุดป้องกันเต็มรูปแบบที่เทอะทะที่อีกฝ่ายสวมป้องกันเชื้อไวรัสจากข้างนอกโลก
“ทำไมคุณถึงพาผมมาอยู่ในที่ของคุณด้วย”
“ผมไม่รู้จักคุณนั่นคือเรื่องจริง และเรื่องจริงกว่าคือผมเห็นคุณคือคนเดียวที่โลกข้างนอกนั่น ผมจึงตัดสินจะช่วยคุณ ตอนนั้นผมเห็นว่าคุณมีสภาพที่ย่ำแย่จนน่าหวั่นใจแล้ว”
เขานวดที่ท้ายทอยซึ่งยังปวดหนึบๆ
“ขอโทษที่ต้องใช้ความรุนแรง คุณพยายามจะขัดขืนเหมือนก่อนหน้านี้ คุณอาจกลัวผมเข้าใจ”
“แต่ผมจะไม่ปลอดภัยสำหรับคุณ”
“จะให้คุณที่ผ่านหน้าผมไป จะตัดสินแบบนั้นไม่ได้หรอกนะครับ คุณอาจคือคนที่มีภูมิต้านทานในร่างกายแข็งแรงที่จะชนะไวรัสนั่นแบบผมได้”
“คุณคิดว่าผมคือคนคนนั้นเหรอ”
“ถูกต้องครับ คุณไม่เหมือนคนที่ติดเชื้อไวรัสอย่างที่ผมเคยเห็นมาก่อน มันเลวร้ายมากนะครับ”
“ขอบคุณมากนะครับ”
“แต่ผมยังไม่อาจเทใจทั้งหมดว่าคุณจะไม่ติดเชื้อไวรัสภายในร่างกายของคุณ”
“แล้วคุณจะพิสูจน์ยังไงกัน”
“ตามผมมา”
อีกฝ่ายนำทางเขามาที่ห้องห้องหนึ่ง หยุดยืนแค่ที่หน้าประตูบานเหล็กสีเทา เบี่ยงตัวหลบออกข้างตอนที่เปิดประตูออกเผยให้เห็นภายในห้องสีขาวปลอด มีฝักบัวห้อยลงมาจากเพดานตำแหน่งกลางห้องเล็กๆ พอดีเป๊ะอย่างตั้งใจ
“ผมติดตั้งน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับชำระสิ่งสกปรกตามร่างกายของคุณ”
เขาพยักหน้ารับรู้
“ถอดเสื้อผ้าทั้งหมดของคุณมาให้ผม ไม่ให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว”
เขานึกชั่งใจเพราะละอายที่ต้องเปลืองผ้าผ่อนต่อหน้าชายแปลกหน้า แม้จะเป็นชายด้วยกันก็ตาม ใช่ว่าเขาจะไม่หวั่นไหวต่อชายตรงหน้าสักหน่อย
“ถ้าหากทำให้คุณต้องคิดมาก ผมจะเอาเสื้อผ้าของคุณไปเผาทิ้ง แล้วจะเอาเสื้อผ้าตัวใหม่มาให้คุณได้มีใส่ทีหลัง แม้จะไม่พอดีตัวคุณเท่าไร ผมมีแต่เสื้อผ้าขนาดของผมเท่านั้นน่ะนะ”
เขาเริ่มจากปลดฮู้ดออก ยื่นไปให้อีกฝ่ายทีละชิ้น จนเผยร่างกายภายใต้ร่มผ้าหมักหมมมานานอันผ่ายผอมและขาวซีดราวกับกระดูกเรืองแสงได้เปลือยเปล่า ไม่เหลือผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวปกปิดร่างกายส่วนใดที่ล่อนจ้อน เพียงใช้มือปิดตรงนั้นเอาไว้
“เชิญคุณตามสบายเถอะ ระหว่างนี้ผมจะฆ่าเชื้อตามทางเดินละแวกนี้”
ก่อนเขาจะหันไปปิดประตูเพื่อความเป็นส่วนตัวในการทำธุระ อีกฝ่ายก็ใช้ฝ่ามือยื่นมารั้งประตูไว้ตอนนั้นเอง
สายตาของอีกฝ่ายกวาดมองเรือนร่างด้านหลังเปลือยเปล่าของเขาแวบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วใส่อย่างรู้สึกแปลกใจ สายตาของอีกฝ่ายก็รีบเลื่อนขึ้นมาจับที่ใบหน้าของเขา
“คือผมจะบอกว่า ถ้าคุณเสร็จธุระแล้ว ก็ตะโกนเรียกผมได้เลย ผมได้ยินแน่นอน”
เขาพยักหน้ารับทราบส่งๆ ไปที ต้องการความเป็นส่วนตัวเต็มประดา
“ผมจะปิดประตูได้แล้วหรือยัง”
อีกฝ่ายดึงมือออกจากบานประตูเมื่อสิ้นคำของเขา
“โทษทีครับ ถ้างั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วก็ได้”
น้ำใสอุ่นๆ ค่อยๆ ร่วงกราวจากฝักบัวลงมาชโลมร่างจนเปียกปอน รอบหนึ่งเดือนที่ร่างกายได้สัมผัสน้ำสะอาดขจัดความสกปรกของร่างกาย เขาหยิบสบู่ก้อนสีขาวขุ่นมาขยันถูตัวทุกซอกทุกมุมตามร่างกาย แล้วน้ำก็ล้างคราบสบู่จนหมดเกลี้ยง
เขาปิดน้ำ เปิดประตูยื่นเพียงใบหน้าออกไปเบื้องนอกตามทางเดินว่างเปล่า กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อคละคลุ้ง อีกฝ่ายคงเพิ่งทำความสะอาดบริเวณนี้เสร็จไปแล้ว
“คุณ”
เขาร้องตะโกน
“ผมชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขอเสื้อผ้าใหม่ให้ผมด้วย”
อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยเขาให้รอนานเลย ก็รีบพุ่งทะยานมาพร้อมกับกองเสื้อผ้าในกำมือหนาข้างหนึ่ง บัดนี้ก็กล้าปราศจากชุดป้องกันเมื่อต้องเข้าหาเขาอย่างจำเป็น
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบใส่เสื้อผ้าแบบไหน หรือว่าคุณจะตามผมไปเลือกเสื้อผ้าเองก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แบบไหนผมก็ใส่ได้ทั้งนั้น”
อีกฝ่ายยื่นพวกมันให้เขารับไป
เสื้อคอปกสีขาวตัวใหญ่เกินขนาดไปหนึ่งไซส์ แต่ก็ยังพอใส่ได้แม้จะทำให้รู้สึกเทอะทะไม่ทะมัดทะแมง จึงต้องพับแขนขึ้นไปหลายทบ กางเกงในบ็อกเซอร์เมื่อเขาสวมกลับพบว่าพอดี ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากในเวลานี้ หากกางเกงขายาวจะหลวมโพรกและขากางเกงก็ยาวเกินไปจนใส่ไม่ได้ เขาจึงไม่ใส่ แค่เสื้อตัวนี้ชายเสื้อก็ยาวคลุมขาไปแล้วนั่นเอง
เขาเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ยังพบอีกฝ่ายยืนรอเขาอยู่
“ใส่ไม่ได้เหรอ”
เขายื่นกางเกงคืน
“ผมก็คิดเผื่อไว้แล้วละ”
อีกฝ่ายจดจ้องอยู่นานที่ต่ำลงจากช่วงตัวท่อนบนลงไป
“คุณใส่แบบนี้เหมือนไม่ได้ใส่อะไรข้างในเลยแหะ”
“มันน่าเกลียดไปเหรอ”
“เปล่าๆ คือผมยังมีกางเกงในแบบนี้ที่เคยเป็นของน้องชายไม่กี่ตัว น้องชายผมก็ขนาดรูปร่างเท่ากับคุณพอดี”
“มันทำให้คุณคิดถึงน้องชายคุณงั้นเหรอ”
อีกฝ่ายยักไหล่
“เขาเสียชีวิตจากไวรัสช่วงการแพร่ระบาดหนัก”
“ผมเสียใจที่ได้ยินแบบนั้น”
“ไม่ต้องเสียใจหรอกครับ ผมทำใจกับสิ่งเลวร้ายที่ผ่านไปได้บ้างแล้วละครับ”
“แล้วหลังจากนี้ผมควร---”
“อา---”
อีกฝ่ายร้องออกมา เมื่อตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้
“ผมต้องการความเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่มีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกาย คุณจะวางใจให้ผมตรวจคุณได้ไหม”
เขาพยักหน้าและตามหลังอีกฝ่ายไปยังห้องพยาบาล ที่นั่นมีเตียงพยาบาลหนึ่งหลัง กับวัตถุอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์มากหน้าหลายตา อย่างกับเขาไปกวาดมันมาก่อนที่ไวรัสจะระบาดหนัก
“ผมเคยเป็นหมอน่ะครับ ก่อนที่ผมจะตระหนักได้ว่าต้องหนีเอาตัวรอดจากโลกเบื้องบนกับคนสุดท้ายที่เหลือในชีวิตอย่างน้องชายของผม ผมช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อนานกว่านี้ไม่ได้”
"คุณอาจทำดีที่สุดแล้ว"
เขากล่าวเพื่อปลอมประโลมจิตใจของอีกฝ่าย
"ช่างเถอะครับ มันเป็นประสบการณ์ที่สอนผมมา คุณคือคนที่ผมอยากจะทดแทนความรู้สึกผิดติดตัวเหมือนตราบาปนั่น"
“คุณว่าเราอยู่ที่ไหนนะครับ ก่อนหน้า---”
“คุณกับผมอยู่ห้องใต้ดินบ้านของผม ส่วนข้างบนนั้นก็ระเนระนาดจนไม่น่าจะเหลือเค้าโครงบ้านที่เคยน่าอยู่อาศัยอีกแล้วละ”
อีกฝ่ายยิ้มขันขื่น ราวกับมันเป็นมุกตลกฝืด
อีกฝ่ายใช้เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิจ่อที่กลางหน้าผากของเขาสักพัก แล้วตรวจดูเลขอุณหภูมิก่อนจะพยักหน้าให้กับมัน
“ไข้ของคุณผ่าน”
“แล้วมันรับประกันอะไรได้ไหม”
อีกฝ่ายจ้องหน้าเขา ก่อนจะส่ายหน้า
“มันก็เป็นเพียงเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย มันตรวจหาไข้ไม่ได้หรอก และผมก็ไม่มีอุปกรณ์แบบนั้นทำให้คุณสบายใจหายห่วงได้”
อีกฝ่ายใช้นิ้วแหกหนังตาทีละข้างขณะใช้ไฟฉายสีขาวเจิดจ้าส่องเข้าดวงตาจนรูม่านตาหดเล็กลง ทั้งเปลือกตาของเขาก็พยายามจะขยับปิดเพื่อต่อต้านแสงเจิดจ้า
อีกฝ่ายใช้เครื่องฟังตรวจมาสวมหูของตัวเอง จับไปที่ตรงกลางอกของเขา แล้วก็ถอดมันออก
“ผมว่าคุณยังปกติดีอยู่ เท่าที่ผมจำได้ว่าไวรัสชนิดนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายของคน มันจะใช้เวลาในการฟักตัวจนกว่าจะเกิดอาการประมาณสิบสองวัน แต่คุณไม่มีอาการกำเริบก่อนหน้านี้เลยใช่ไหม”
เขาพยักหน้ายืนยัน
“คุณไม่ต้องกลัดกลุ้มใจไปหรอก ผมเชื่อว่ายังไงคุณก็ไม่น่าจะเป็นไข้จากไวรัสนั่นได้หรอก แต่ระหว่างนี้คุณหิวไหม ผมจะได้หาอะไรให้คุณกิน”
เมื่อสมองถูกนำกลับมาฉุกคิดเรื่องนี้อีกครั้ง ท้องไส้ก็ส่งเสียงโคกคากอย่างดุเดือดทีเดียว อีกฝ่ายแอบหัวเราะน้อยๆ
“มันไม่ขำนะครับ”
“ผมก็ไม่ได้ว่ามันตลกซะหน่อย”
“แต่คุณขำผมนิ”
“ก็ได้ๆ แต่ผมยังยืนกรานว่าผมไม่มองว่ามันตลกขนาดนั้น มากับผมดีกว่า”
เขาตามอีกฝ่ายมาที่ห้องครัว อีกฝ่ายวางถ้วยซุปข้าวโพดลงบนโต๊ะอาหารตรงหน้าเขา หลังจากที่เพิ่งเอาออกมาจากไมโครเวฟอบร้อน
“ผมมีกินไม่กี่อย่างหรอกครับ ส่วนใหญ่อาหารที่น่าวางใจได้จากซูเปอร์มาเก็ตก็เป็นพวกอาหารปิดมิดชิดแบบนี้แหละ”
อีกฝ่ายพยักพเยิดไปที่ชั้นอาหารกระป๋องเรียงราย
“แค่คุณมีน้ำใจกับผมมากขนาดนี้ก็เกินพอแล้วครับ”
ซุปข้าวโพดในถ้วยของทั้งสองหมดลง เขาก็อาสาจะนำไปล้างทำความสะอาดให้ ก็เพราะเกรงใจในฐานะของผู้อยู่อาศัย
“ตามจริงคุณไม่ต้องทำก็ได้นะ”
“อย่าใจดีกับผมมากนักเลย”
“หรือจะให้ผมใจร้ายกับคุณจริงๆ เหรอ หรือว่าคุณชอบแบบนี้”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”
อีกฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าแหวนที่คล้องกับสร้อยคอเงินเกี่ยวอยู่ที่คอของเขาอย่างสนอกสนใจ
“ผมก็เพิ่งสังเกตเห็น”
“ของขวัญวันครบรอบ ก่อนที่ผมจะสูญเสียเขาไป”
“เราต่างก็โชคชะตาช่างไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ถูกพรากคนรักที่ไม่ยินยอมไปและจะไม่ได้เขากลับมาอีกแล้ว”
เขาผงะตอนที่อีกฝ่ายเอาแขนทั้งสองข้างมาโอบรอบตัว
“คุณทำแบบนี้ทำไมกัน”
“ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณรู้สึกไม่ดีต่อหน้าผม มันจะชวนผมหดหู่ใจไปกับคุณด้วย”
เขาขยับหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย
“ผมไม่ได้รู้สึกแย่กับมันอีกแล้ว”
“หวังที่คุณพูดมาจะคือความจริงจากใจ”
อีกฝ่ายผละออกจากกอดของตัวเอง จากนั้นก็คว้าข้อมือเขาไปยังห้องนั่งเล่นด้วยกัน
เขาเปิดเครื่องเล่นเพลง เสียงดนตรีค่อยๆ ดังคลอเบาขับกล่อมให้ห้องนั่งเล่นไม่เงียบเชียบเกินไป
“ผมชอบเปิดเพลงก่อนจะเข้านอน”
“นี่จะถึงเวลาเข้านอนแล้วเหรอเนี่ย”
อีกฝ่ายพยักพเยิดไปที่นาฬิกาตั้งพื้น
“ดึกมาแล้วสินะ”
“คุณคงยังไม่ง่วงนอนหรอก”
“ก็คงงั้น เพราะผมก็เพิ่งจะตื่น”
อีกฝ่ายพาเขาทิ้งตัวลงบนโซฟา ยื่นมือไปหยิบจิ๊กซอว์ภาพมาวางลงบนโต๊ะกาแฟ
“ช่วยผมต่อหน่อยสิ ผมต่อมานานสักพักแล้ว ไม่เคยเสร็จเป็นรูปเป็นร่างสักที”
“ว่าแต่ผมจะนอนที่ไหนได้ละ หากผมเริ่มง่วงนอนจากการต่อจิ๊กซอว์แล้ว”
“หวังว่าจะเป็นห้องของผมแล้วละ”
อีกฝ่ายพูดจบก็ยิ้มมุมปาก
“คุณชอบผมเหรอ”
“ตั้งแต่แรกเห็น เหมือนคุณคือจิ๊กซอว์ชิ้นที่ผมไม่คิดว่าจะหามันเจอได้จากที่ไหนอีกแล้ว ให้ได้มันมาเติมเต็มในชีวิตของผม”
อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้าใกล้ ริมฝีปากแห้งกร้านประกบกัน อีกฝ่ายดันลิ้นเปิดช่องปากของเขา แล้วลิ้นของพวกเขาก็พัวพันกัน ก่อนจะถอนออก ทิ้งลมหายใจอุ่นๆ ลดใส่กัน
“เราเพิ่งรู้จักกัน”
เขากล่าว
“มันจะสำคัญยังไง ถ้าหากผมมีใจให้คุณไปแล้ว มันจะแลกเปลี่ยนอะไรได้ไหม อย่างเช่นคุณจะรู้สึกอย่างนั้นตอบผมกลับบ้าง”
“ไม่งั้นผมคงไม่ยอมให้คุณจูบผมหรอก”
“จริงสินะ”
เขาขยับร่างกายเปลือยเปล่าบนเตียงนอนก่อนจะรู้สึกตัวตื่น เพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกจากโพรงจมูกข้างหนึ่ง
เขาใช้มือปาดมันออกอย่างนึกรำคาญ เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับของเหลวสีแดงคล้ำติดมือมาด้วย กลิ่นเหล็กยิ่งชัดเจนมากขึ้น
อีกฝ่ายที่เพิ่งจะเปิดประตูห้องนอนเข้ามากะว่าจะมาปลุกเขา ก็รีบพุ่งพรวดเข้ามาหาเขาทันที และเร่งพาเขาไปที่ห้องพยาบาล
“ผมเป็นอะไรไป”
อีกฝ่ายไม่ยอมตอบ ใช้สำลีชุ่มแอลกอฮอล์เช็ดเลือดบริเวณจมูก
“ผมถามคุณอยู่นะ”
เขาขึ้นเสียงอย่างกลัดกลุ้มใจ
“คุณจะไม่เป็นอะไร”
อีกฝ่ายสรรหาคำพูดได้เพียงเท่านี้
“คุณว่างั้นเหรอ --- คุณรับประกันชีวิตของผมได้เพียงคำว่าผมจะไม่เป็นไรเนี่ยนะ”
เขาจะกระโดดลงจากเตียง แต่อีกฝ่ายก็โผเข้าสวมกอดห้ามเอาไว้ พยายามจะจูบเขาขณะที่เขาเองก็ขัดขืน เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายติดโรคจากเขาไปด้วย ทว่า อีกฝ่ายก็จับหน้าเขาให้นิ่งเพื่อจะได้ประกบปาก
“เชื่อผมสิ”
อีกฝ่ายยื่นยาหนึ่งเม็ดให้กับเขา
“มันพอจะช่วยยับยั้งได้ ก่อนที่มันจะลุกลามมากกว่านี้”
เขารับมันมาป้อนเข้าปาก แล้วกลืนลงคอ
ขณะที่ทั้งสองคนยังเปลือยเปล่าจากเมื่อคืน มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายดันจนก้นที่นั่งเกยออกมาครึ่งเตียง
เขารู้สึกว่าลำแข็งของอีกฝ่ายกำลังสอดเข้าไปข้างในเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ร่างของเขาจะโยกขึ้นลงราวกับแผ่นไหวนุ่มนวล
ตลอดเวลามานี้ อีกฝ่ายพยายามจะช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาบ้าง อย่างการให้กำลังใจและให้ยารักษาอาการที่เป็นไปไม่ได้ว่ามันจะหายขาดได้เลย เพียงแค่ยืดเวลาชีวิตที่กำลังถดถอยลงไปเรื่อยๆ ของเขาเท่านั้น
อีกฝ่ายบอกให้เขาเชื่อมั่นว่ามันจะดีขึ้นได้ แต่เขากลับไม่เคยเชื่อว่าจะเป็นไปได้อีกแล้ว
เขาพยายามปลีกตัวออกห่างจากอีกฝ่าย เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรวมชะตากรรมชีวิตอันโชคร้ายไปด้วยกันกับเขา หากอีกฝ่ายก็ขัดขืน
เขารู้สึกรังเกียจที่ตัวเองเป็นอย่างนี้ กลัวว่ามันจะทำลายชีวิตของอีกฝ่ายเหมือนที่มันกำลังทำลายชีวิตของเขาอยู่ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ที่เคยดีก็เริ่มระหองระแหงบั่นทอนเจียนจะขาดเป็นเพราะเขาเอง
เขาที่พยายามจะตัด อีกฝ่ายก็พยายามจะต่อมัน
ยารักษาหรือยาทางใจก็ไม่ได้ช่วยให้เขากลับไปมีความหวังได้อีกแล้วจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ได้
ทุกๆ เช้าเขาจะตื่นขึ้นมาพบกับเลือดที่ไหลออกจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้รับยารักษา ดวงตาก็ปรากฏเส้นเลือดเป็นฝอยๆ จนน่าหวั่นใจ
แล้วร่างกายของเขาก็มีสภาพทรุดโทรมซีดเซียวเพราะจิตใจบอบช้ำอีกประการหนึ่ง หากไม่รู้ทำไมเขาไม่เคยรับรู้ถึงความทรมานของอาการที่เป็นอยู่จากโรคร้ายนี้เลย
อีกประการหนึ่งเขารู้สึกปกติดีด้วยซ้ำ ซึ่งเขาไม่เข้าใจตัวเองหรือไม่ก็โรคร้ายนี้ว่ามีผลต่อร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้าง เขาไม่เคยเป็นมาก่อน จึงจะเข้าใจได้ถ่องแท้จากการเห็นที่ผู้อื่นเป็นมาก่อน
“ทำไมคุณถึงไม่ไล่ผมออกไปจากที่ที่คุณ มันจะปลอดภัยสำหรับคุณ”
อีกฝ่ายกุมมือเขาไว้ ขณะเขานอนตายซากอยู่บนเตียงพยาบาลด้วยสภาพดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ผมทำไม่ลง”
“แค่ให้ผมตายอยู่ข้างนอกนั่น”
“ผมจะไม่นึกถึงความทรมานของคุณไม่ได้หรอกนะ”
“แต่คุณจะทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไรกัน”
“เพราะผมรู้ว่าผมรักคุณมากเกินจะทอดทิ้งคุณข้างนอกลำพังได้”
“ถ้าผมจะขออะไรสักอย่าง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่เคืองโกรธกัน”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ต้องการแบบนั้นแน่”
“แต่ผมไม่อาจทนกับสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ได้อีกแล้ว และมันจะทำให้ผมรู้สึกผิดบาปอย่างไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ หากมันจะทำร้ายคุณไปด้วย”
อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยอมรับมันได้”
“เถอะนะ”
เขาอ้อนวอนที่สุดแล้ว
“ผมไม่อยากเป็นคนใจร้ายกับคนที่ผมรัก”
“คุณจะไม่ใจร้ายกับผมเลย คุณจะคือคนดีคนหนึ่งที่ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานในใจไปจากผมได้”
อีกฝ่ายผุดลุกขึ้น และหันหลังทุบมือลงกับเคาน์เตอร์เสียดังปัง
น้ำตาของทั้งสองทะลักราวกับเขื่อนแตก อีกฝ่ายคว้าเข็มฉีดกับแก้วยาสีทึบ สูบของเหลวสีอำพันเข้ากระบอกฉีดยาครึ่งหนึ่ง
อีกฝ่ายคลำหาเส้นเลือดตรงข้อพับแขนข้างขวาของเขา
“คุณจะรู้สึกสงบ”
เขาพยักหน้ายอมรับมัน
อีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากซีดของเขาเสียเนิ่นนานอย่างกับจะยืดเวลาคนรักให้อยู่ไปต่ออีกชั่วชีวิตหนึ่ง หากความจริงไม่อาจเป็นอย่างนั้นได้ อีกฝ่ายผละออกมา
ระหว่างนั้นเสียงเพลงคลอจากห้องนั่งเล่นข้างนอก ขณะกำลังเล่นเพลงจังหวะเนิบช้าอันโศกเศร้า
เพลงกำลังขับขานว่า
เขาถือปืน...
จ่อที่หัวฉัน...
ฉันหลับตาลง...
แล้วลั่นไก...
ฉันตายดับ...
ฉันรู้...
เขารู้...
ว่าเขา...
ฆ่าฉัน...
ด้วยความเมตตา...*
อีกฝ่ายจรดปลายเข็มแทงเข้าไปในเส้นเลือด ฉีดของเหลวสีอำพันครึ่งกระบอกเข้าไปรวดเดียว ร่างของเขาชักเกร็งสองสามที แล้วดับลง ดวงตาของเขาที่ยังคงเบิกโพลงอยู่ อีกฝ่ายใช้มือให้เปลือกตาของเขาปิดลง
อีกฝ่ายนำกระบอกฉีดยาอีกอันหนึ่ง จรดปลายเข็มลงตรงข้อพับที่แขนข้างซ้ายร่างของเขาที่เป็นศพไปแล้ว สูบเลือดแดงก่ำจนเต็มสูบ
อีกฝ่ายใช้เลือดหยดหนึ่ง เพื่อใช้เลือดหยดนั้นวิจัยจนได้ความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเลือดของเขาบริสุทธิ์ที่จะนำมาเป็นยารักษาโรคร้ายในตัวเองได้แน่นอน
เพราะอีกฝ่ายคือคนที่เป็นโรค ไม่ใช่เขาคนนี้ เขาคนนี้จะอยู่ร่วมกับคนที่เป็นโรคร้ายได้ โดยไม่รับเชื้อติดต่อ ซึ่งมนุษย์บางคนมีภูมิคุ้มกันภายในร่างกายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อีกฝ่ายปาดน้ำตาหยดสุดท้ายกับความผิดที่ชั่วช้าที่สุดที่ตัวเองก่อ เรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนี้คือเรื่องหลอกลวงมาตลอด มีเพียงอย่างเดียวที่อีกฝ่ายไม่ได้ใช้เพื่อหลอกลวงคือความรักที่มีให้กับเขาคนนี้นั่นเอง
*เนื้อเพลงจากเพลง Murder Song (5, 4, 3, 2, 1) by AURORA
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา