14 ธ.ค. 2022 เวลา 05:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ให้เราได้ฝันถึงกัน
เสียงกรีดร้องดังระงมในหู เมื่อยามราตรีกาลมาเยือน ดวงตาสีเทาเบิกโพลงท้าทายยามนิทรา ไม่เคยมีใครได้เป็นชัยเหนือมัน แม้แต่ความกลัวก็ถูกพรากไปหลังเปลือกตาหนักอึ้งรอมร่อจะปิดให้ได้
เด็กหนุ่มหวาดกลัวจนหลั่งน้ำตา มันเคยมีเสียงกรีดร้องจากเขา เจ็บปวดจากความทรมานไม่สูญหาย บัดนี้น้ำตาคือสิ่งเงียบงันในตัวเขา เสียงสะอื้นไห้คลอเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบนินทา แต่จากแหล่งความเจ็บปวดทรมานเดียวกัน
ดวงตาสะท้อนเงาส้มโชติช่วงเต้นเร่าๆ เพลิงบรรลัยกัลป์ผลาญแท่นไม้มอดม้วยเหลือเพียงซากดำเป็นตอตะโก เบื้องหลังม่านควันดำลอยโขมงเสียดฟ้าสีหมึกค่อยๆ เลือนหายไปในที่สุด
มันจะไม่หยุดลง หากราตรีนี้ทวงคืนนิทราจากเด็กหนุ่มไปไม่ได้ ยังฝืนให้ลืมตาตื่นอยู่แบบนี้ต่อไป
เขายกมือขึ้นปิดหู ดนตรีเสนาะหูแว่วเบามาตามลมจากเครื่องดนตรีเป่า
เด็กหนุ่มไม่ได้หวาดกลัวเสียงกรีดร้องอีกต่อไป หากหวาดกลัวจะผล็อยหลับไปเพราะเพลงกล่อมนอนปริศนา
ความฝันของเขาจะพรากความจริงไปตลอดกาล เหลือเพียงโศกนาฏกรรมจะตราตรึง ประหนึ่งบาปติดตัวไปชั่วนิจนิรันดร์
ฉันจะไม่หลับ
เขาพร่ำบอกกับตัวเอง
ความฝันไม่มีอยู่จริง
เขาพร่ำหลอกตัวเองแบบนี้มาตลอด
จนบัดนี้ไม่เหลือใครรอบข้างเขาแล้ว
เขาหลบหนีมันจากความกลัวสุดอันตราย จะพรากอีกหลายชีวิตใกล้ตัวที่สงเคราะห์เขา หลังจากสูญเสียครอบครัวที่รักไปพร้อมกันอย่างไม่มีใครจะได้หวนกลับมา
เหตุที่เขาไม่หลับ กังวลไม่เสื่อมคลาย ความฝันนี้จะเหลือเพียงเขา ต้องรับชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ จะไม่มีใครมารับความตายนี้แทนจากเขาได้เลย
ปากอ้ากว้างหาวหวอ ยากจะทานทนว่าค่ำคืนนี้จะไม่มีนิทราเป็นไปไม่ได้เลย
เขาอยากให้โลกนี้ไม่มีการหลับใหล
เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่อยากให้โลกใบนี้มีแม้แต่ความฝันเดียวที่กลายเป็นจริง
ไม่ใช่ฝันดี แต่มันคือฝันร้าย ไม่มีทางกลายเป็นดีได้เลย
อาทิตย์คิมหันต์บ่ายระอุ สายลมร้อนปะทะกรวดทรายบนถนนฟุ้งกระจายเป็นม่านหมอกต่ำ
ทะเลสาบกระเพื่อมไหวจากช่องแคบระหว่างสองหน้าผาไกลออกไป
ยอดดอกหญ้าโงนเงนเหนือโขดหินริมทะเลสาบ เขาชอบดินแดนแห่งความสงบนี้ มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยจากทุกอย่างในโลกใบนี้ที่เป็นไป ไม่อาจหยุดยั้งได้
“การแยกความจริง”
เด็กหนุ่มผมดำขลับตรงหน้ากล่าว
“ออกจากความหลอกลวงเป็นเรื่องยากนัก”
“มันจะให้โทษเรา”
เขาบอก
“ทุกคนต่างก็เกรงกลัวมัน”
อีกฝ่ายว่าอย่างนั้น
“ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ปล่อยให้มันครอบงำ กดหัวไม่ให้โงขึ้น”
กล่าวจบก็หัวเราะลั่นพร้อมกับเสียงสายลมจากทะเลสาบประกายทองเบื้องหน้า
มันเป็นเรื่องตลกที่เลวร้ายที่สุดในโลก ที่ฝืนหัวเราะขันขืนออกมาให้มีเสียงจากปาก
“ฉันชอบที่นี่นะ”
เขากล่าว
“ไม่อยากให้อะไรมาพรากฉันกับนายไปจากสถานที่แห่งนี้เลย”
อีกฝ่ายยิ้มเนือยๆ
“ดินแดนแห่งนี้รับประกันอนาคตของผู้คนไม่ได้หรอก”
เขาสำลักสะอื้นไห้ อีกฝ่ายยื่นมือมาประคองใบหน้าให้เงยขึ้น ปาดน้ำตาอุ่นไปจากดวงตา และแก้มตกกระ ริมฝีปากแห้งผากประกบกัน ปลอบประโลมโลกทั้งใบว่ายังมีความอ่อนโยน รักษาความรู้สึกไม่ต้องบอบช้ำจนกลายเป็นแผลเหวอะซ้ำซาก
“ไม่ต้องร้องไห้นะ”
ลมหายปากแผ่วเบาเหลือเกิน
เขาพยักหน้า กลายเป็นยิ้มหัวเราะ
ดวงตาสีเทาหม่นจับจ้องผิวกระแสธาร ประกายทองเหนือผืนครามวาบบาดดวงตา
นิมิตที่เลือนหาย หลังลืมตาตื่นจากห้วงนิทรา เริ่มชัดเจนในหัว ทำหัวใจร่วงหล่นลงเหว
ยามบ่ายคล้อยโรยราเหมือนกับดอกไม้สีเพลิงเฉาตายจากก้าน
เขายืนอยู่ในบ้านไม้ เฝ้ามองเหตุการณ์ชุลมุนหน้าบ้าน เสียงกรีดร้องโวยวายแก้ต่างข้อกล่าวหา แม้หลักฐานในมือของผู้กล่าวหาจะตำตาทุกคนในละแวกที่มามุงดูกันด้วยอารามตื่นตระหนกกันทั่วหน้า
“ฉันเห็นเครื่องรางแปลกประหลาดในบ้านหลังนี้”
หญิงวัยกลางคนม้วนผมดำจางๆ แซมสีดอกเลาเป็นก้อนกลมถูกรวบตัวด้วยเจ้าหน้าที่ชายถึงสองคน
“มันไม่ใช่ของฉัน”
เธอวีดร้องแก้ต่าง
“จะไม่ใช่ของหล่อนได้อย่างไรกัน”
ผู้กล่าวหาแสร้งทำหน้าตาย
“ฉันพบมันอยู่ในบ้านของหล่อนน่ะ”
“แต่ฉันไม่ได้มีมันไว้ครอบครองนะ”
เธอยังคงแย้งเสียงเด็ดขาด
“ไม่ใช่ของแม่ผมจริงๆ นะครับ”
เขาหันไปมองเด็กหนุ่มผมดำขลับโต้แย้งแข็งขันสมทบช่วยแม่ของเขาให้พ้นมลทินนี้ไปได้
“แกน่ะ”
ผู้กล่าวหาขู่เสียงแข็ง ชี้นิ้วใส่
“ไม่พ้นผิดหรอกนะ มันสืบทอดทางสายเลือด”
“คุณจะกล่าวหาพวกเราแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
เธอไม่เข้าใจ แต่ไม่ยอมพ่ายแพ้ หากเธอพ่ายแพ้จะจบลงด้วยความตายแน่นอน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับหลายชีวิตมาก่อนหน้านี้
“เธอควรจะต้องยอมรับความจริงนะ”
“ฉันจะไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น”
เธอกล่าวเสียงสูงใส่
“เพราะมันไม่เคยเป็นของฉันยังไงล่ะ”
“โกหก!”
ผู้กล่าวหาตะคอกใส่หน้าอย่างเกรี้ยวกราด
“อย่าเสียเวลากับพวกมันอีกเลย”
เสียงหนึ่งในผู้ใกล้ชิดผู้กล่าวหาสนับสนุนความคิดนั้นให้เด็ดขาด
“ไม่งั้นพวกมันจะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่หมู่บ้านของเราได้อีก”
ผู้คนในหมู่บ้านต่างแหวกทางด้วยความเกรงกลัวว่าจะถูกหางเร่ไปด้วย
เขารีบตามไป ร้องเรียกตามไล่หลังพวกเขา ราวกับเขาไม่มีตัวตนในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่เสียงพร่ำร้องเรียกก็ไม่ได้เล็ดลอดออกมาทางปากด้วยซ้ำ
กลางลานดินดำ สิ่งปลูกสร้างไม้ก่อขึ้นเป็นแท่น แท่งไม้เด่นตระหง่านตรงกลาง เชือกป่านผูกรั้งกับท่อนไม้
สองร่างชายหญิงแม่กับลูกชายถูกนำไปขึงตึงไว้บนนั้น เขาไม่กล้าจะมองภาพเหตุการณ์ต่อมาจะเกิดขึ้น
เมื่อไฟมันถูกจุดแล้ว มันจะไม่มีวันหยุดไหม้
เขานำมือมาปิดหู หลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
ร่างของเขาเซถลาเพราะถูกกระแทกมาจากด้านหลัง ทว่า เด็กหนุ่มผมน้ำตาลดินหยักศกคุ้นเคยกลับไม่รับรู้ถึงเขา
แสงเพลิงสะท้อนเงากับสิ่งที่อยู่ในกำมือคือโลหะปลายด้านหนึ่งแหลมคม ก่อนจะถูกยกขึ้นปาดคอของผู้กล่าวหา จบสิ้นลมหายใจชั่วช้ากองบนลานดินดำตรงนั้น
เด็กหนุ่มคนนั้นถูกผลักหงายหลัง ร่างนั้นกองอยู่ที่พื้น สายตาของเขาดันพร่ามัว หากเสียงกัมปนาทคล้ายฟ้าลั่นดังชัดเจนในหูของเขา ดับหนึ่งชีวิต --- และอีกชีวิต แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง
ร่างชายวัยกลางคนทรุดฮวบลงตรงหน้ากองเพลินมอดไหม้ชีวิตครอบครัวที่รักของเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ และที่เจ็บช้ำใจที่สุด เขาไม่อาจยับยั้งสถานการณ์ที่เคยขึ้นตรงหน้านี้ได้เลย
ชายวัยกลางคนผู้เดียวดายกรีดร้องหวนโหยจากความเจ็บปวดสุดทรมานเจียนตายในค่ำคืนเลวร้ายนี้ เหมือนเป็นฝันร้ายจองจำเขาไปชั่วชีวิต
เขากลับมาอยู่ในมุมมืดอีกครั้ง กวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวด้วยความหวาดกลัว
สะดุ้งตื่น เมื่อถูกสัมผัสจากที่ไหนสักแห่ง
เปลือกตาค่อยๆ ถูกเปิด แสงแดดยามบ่ายแยงผ่านเข้ามาให้รู้สึกระคายเคือง ยังพร่ามัวก่อนจะปรับให้แจ่มชัด
“จะไม่ปลุกก็ไม่ได้”
อีกฝ่ายเอ่ย น้ำเสียงปนตลกขบขัน
“ฉันหลับไปเหรอ”
“เปล่าหรอก”
“ทะเลสาบ”
เขากล่าว
“เราอยู่ที่นี่”
เขามองไปรอบๆ ดินแดนเงียบสงบนี้
“สวยงามกว่าที่เคย”
“ใช่”
อีกฝ่ายเห็นพ้อง
“มันคือสถานที่ปลอดภัย”
เขามองหน้าอีกฝ่าย
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”
เขายังไม่เชื่อกับสิ่งที่สายตากำลังจับจ้องอยู่
“นายฝัน”
อีกฝ่ายบอก
“ฉันปลุกนายให้ตื่นขึ้นมาเห็นความฝันของเรา มันคือสถานที่ที่เราจะได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ตื่น”
“ฉันคงไม่มีวันตื่นขึ้นอีกแล้วล่ะ”
อีกฝ่ายยิ้มให้กับเขา
เขารับยิ้มมาจากอีกฝ่าย
พวกเขายิ้มให้กับยามบ่ายอบอุ่นที่เปลี่ยนโลกใบเดิมออกจากความเลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีกแล้ว
จูบของอีกฝ่ายจะอยู่ไปอีกนานตราบเท่านาน จนตระหนักได้ว่า
ไม่ใช่เพราะความฝัน แต่เป็นความกลัวที่สิ้นสุดลงแล้วนั่นเอง
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา