15 ธ.ค. 2022 เวลา 05:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ปลายฤดูฝนสุดท้าย
มวลเมฆสีเทาอึมครึมหนักอึ้ง กลืนกินท้องฟ้ากระจ่างปลอดโปร่งไปตั้งแต่บ่ายสามโมง พระอาทิตย์อยู่ได้ไม่ผ่านพ้นวันก็ลาจากไปก่อนเสียแล้ว
เขาจะไม่หวั่นใจเลย หากมันจะตกลงมาเดี๋ยวนี้ ก็จะหยุดตกหลังเลิกงานอีกที
มันไม่เป็นอย่างนั้นเลย ทีแรกเขายังไม่ออกมาจากอาคาร ฟ้าฝนเหมือนจะให้ความหวัง จะได้กลับถึงที่พักก่อนฝนจะเทลงมา สุดท้ายแล้วก็เปรียบได้ดั่งน้ำหยดลงหน้าดินไม่แข็งแรงอย่างไรอย่างนั้น
เขาจึงติดอยู่หน้าอาคารที่ทำงาน ไปไม่ไหนไม่ได้เลย ฝนรวบรัดตกลงมารุนแรงเกินจะฝ่าไปได้
น้ำกระเด็นจากพื้นทางเท้าใส่ขากางเกงสแลคสีกรมท่า เป็นเช่นนั้นก็สายเกินไปจะขุ่นหมองมัวใจ แม้จะห้ามอารมณ์ฉุนเฉียวไม่ได้ ทว่า ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นอยู่ดี
เขาปรายตามองชายร่างสูงล่ำสันด้านข้าง สะบัดน้ำฝนบนร่มที่หุบเบาๆ ไม่ให้กระเด็นมาโดนเขาอีก
“เมื่อกี้”
อีกฝ่ายหันมามองเขาด้วยแววตาสำนึกผิด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว เห็นแล้วก็ชวนให้ยิ้มตอบกลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ผมต้องขอโทษทีนะครับ”
เขาส่ายหน้าไม่ถือสา
“ไม่เป็นไรเลยครับ”
ปล่อยให้มันผ่านไป และจบลงแบบง่ายดายจะดีกว่า เขาจะไม่งัดข้อกับชายที่มีขนาดใหญ่กว่าเขาหลายไซส์เป็นแน่
“อยู่ๆ ก็ตกซะหนักเลย”
อีกฝ่ายรำพึง
“แย่จังเลยนะครับ”
“ครับ”
เขาตอบเสียงเก้อหน่อยๆ คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเขาด้วย
“ไปไหนไม่ได้เลย”
อีกฝ่ายว่าจบแล้วก็ยกข้อมือข้างที่สวมนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา แลดูจะรีบจากไปอย่างมีธุระด่วนอันสำคัญ ต้องการไปให้ถึงที่นั่นทันนัดหมาย
ปลายทางคงจะต้องเข้าใจอีกฝ่ายบ้างละ ฝนกระหน่ำตกบ้าคลั่งแบบนี้ จะให้ไปไหนก่อนเวลานัดหมายได้อย่างไรกัน
ฝนยังคงทำหน้าที่ในช่วงเวลาซึ่งดำเนินไปอย่างประดักประเดิด ระหว่างเขากับชายแปลกหน้าข้างกาย ทุกครั้งเมื่อเผลอ อีกฝ่ายจะขยับเข้ามายืนใกล้ๆ เขา เดิมทีเขาเข้าใจว่าเม็ดฝนกระเซ็นใส่อีกฝ่าย จนต้องหนีให้ห่าง หรือเพียงหาเรื่องได้ยืนใกล้ชิดกันแน่ เขาได้แต่ยืนนิ่ง เท้าราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยกาวอันทรงพลัง ไม่กล้าจะขยับหนีอย่างไว้ระยะทางสังคม พยายามไม่คิดให้เป็นอย่างหลัง เพื่อเข้าข้างหัวใจตัวเองเด็ดขาด
แขนท่อนเล็กบอบบางทั้งสองข้างโอบกอดตัวเองต้านความหนาวเหน็บมากับแรงลมกระโชกไม่ขาดสาย อยากได้ท่อนแขนหนาแทน แต่ต้องหยุดความคิดนั้นลงทันที เฝ้ารอให้มันผ่านไปโดยเร็ว ผ่านไปนานเกือบเป็นชั่วโมงที่เขายังติดแหง็กอยู่ที่เดิม
ครั้นฝนก็ค่อยซาลง ก่อนสิ้นแสงตะวัน อัสดงสีส้มหม่นแทงทะลุม่านเมฆเทาทะมึนมลายหายไปจนหมดสิ้นในเวลาอันเร็ว
เขายังพอฝ่าม่านฝนปรอยๆ ไปได้ หากถูกรั้งไว้ด้วยเสียงร้องทักของอีกฝ่ายเสียก่อน มันเนิ่นนานเหลือที่พยายามขังตัวเองไว้กับโลกเพียงลำพัง คิดว่าอยู่โดดเดี่ยวตรงนี้มาโดยตลอด เขาฉงนใจว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รีบจากไปอีกหรือ เมื่อในตัวก็มีร่มคันเหลืองอันใหญ่ จำได้ว่าเหมือนจะมีธุระเร่งด่วนด้วยซ้ำ
“เอาร่มผมไปก่อนไหมครับ”
เขาไม่แน่นอนใจ ไม่รู้จะตอบรับร่มจากอีกฝ่ายดีไหม
อีกฝ่ายยื่นร่มมาให้ เป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง
“แล้วคุณละ”
อีกฝ่ายมองออกไปตรงหน้า แล้วจึงหันมายืนกรานหนักแน่น
“สำหรับผม”
อีกฝ่ายกล่าว
“คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
เขาชั่งใจว่าจะไม่รับมาดีไหม รู้สึกเกรงใจน้ำใจจากคนไม่รู้จักมาก่อนในชีวิตเอามากๆ ซึ่งก็ทำให้หัวใจดวงนี้ของเขาพองโต ประทับใจในการกระทำของอีกฝ่าย เปี่ยมไปด้วยความหวังดี มองไม่เห็นสิ่งอื่นเจือปนให้เคลือบแคลงใจกันไป
อีกฝ่ายยังคงยื่นร่มอยู่อย่างนั้น และจะยื่นให้เขาอีกนาน จนกว่าเขาจะตัดสินใจแน่วแน่รับมันไปจากตัวเองสักที
ทั้งไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา ทั้งไม่รู้ว่าจะคืนร่มคันนี้ให้กับอีกฝ่ายได้อย่างไรอีก
จนอีกฝ่ายตัดความรำคาญเห็นว่ายังพิรี้พิไร ยื่นมือมาคว้ามือเขา ยัดร่มคันนี้ใส่ในมือ ท่าทีไม่แน่นอนใจในอะไรตัวเองเลยสักอย่าง มองสลับเขาระหว่างร่มคันเหลือง
“คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ”
อีกฝ่ายกล่าว
“ไว้หากมีโอกาสที่เราได้มาเจอกันอีกครั้ง คุณค่อยคืนร่มให้ผมก็ได้ครับ”
อีกฝ่ายว่า แล้วรีบจากตรงนี้ไปทันที
เย็นวันนั้นวันที่ฝนตกลงมาสู่โลกใบนี้เป็นวันสุดท้าย อากาศหนาวเย็นเข้ามาแทนที่ เขายังจะพกร่มคันนี้ติดตัวมาด้วยทุกๆ วัน แม้จะไม่เห็นเงาของสายฝนควันหลงแล้วก็ตาม
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้พบเจอกับอีกฝ่ายอย่างที่ปรารถนาทุกเย็นหลังเลิกงาน ความหวังเริ่มริบหรี่จะรอคอย มันไม่ใช่แค่ต้องการจะคืนร่มเท่านั้น อีกใจหนึ่งลึกๆ อยากจะเห็นหน้าอีกฝ่ายสักครั้ง
เขาไม่รู้ตัวว่าเป็นแบบนี้มานานแล้วหรือยัง หรือตั้งแต่ยืนรออีกฝ่ายใต้อาคารที่ทำงานจนเป็นกิจวัตรประจำวันติดนิสัย คิดว่าจะเห็นอีกฝ่ายตั้งใจผ่านมารับร่มจากเขาคืนไปสักวันหนึ่ง
เย็นหลังเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัน ความหวังไม่เลือนหายไปจากใจของเขาได้เลย ตั้งหน้าตั้งตารอคอย หวังมากมายว่าจะเป็นวันนี้ก็เป็นได้
ความอดทนค่อยๆ เลือนหายไป ลากเขาออกมาจากตรงนั้น ระหว่างทางมาที่ป้ายรอรถโดยสารประจำทาง เขารุดไปอย่างมั่นใจมากมาย ตรงไปหาอีกฝ่าย จำได้แม้จะเห็นจากด้านข้างไม่ไกลจากตรงเขาเท่าไร มีท่าทีอย่างกับรอคอยใครสักคนหน้าร้านเบเกอรี่เปิด
เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย การเข้าไปคืนร่มให้กับเจ้าของของมันง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วย มันจะยากตรงไหนกัน อีกทั้งทำไมเขาถึงต้องรู้สึกย่ำแย่ภายในใจมากมายขนาดนี้ด้วย สายตาที่เอาแต่จ้องมองมือของอีกฝ่ายคว้ามือชายร่างโปร่งบางมากุมไว้ จากไปจากตรงนั้นด้วยกัน
ครั้นตั้งสติว่าจะแค่เอาร่มคันนี้ไปคืนอีกฝ่าย ก็หายไปจากสายตาแล้ว กวาดสายตามองหาเท่าไรก็ไม่พบว่าจะเห็นได้จากตรงไหน
เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ และจะพยายามข่มใจไม่ให้เหลือความกลัวตกค้างจะคืนร่มคันนี้ให้ได้
เมื่อความหวังไร้ซึ่งจะหวัง มลายหายไปต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกผิดมหันต์ยังไม่ทันได้ก่อร่างขึ้นมาภายในใจห่อเหี่ยว ความเศร้ากัดกินใจ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเจ็บปวดจากอะไร เพียงเพราะแอบเอามาคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่ทันจะได้ใช้ ก็ต้องคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงไป
เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงาน เขาไม่ได้ตั้งใจรอจะเจออีกฝ่ายจะตั้งใจมาพบเขาหน้าอาคารที่ทำงานหลังเลิกงานแล้ว
ป้ายรอรถโดยสารประจำทาง ชะเง้อชะแง้เฝ้ามองหมายเลขรถโดยสารประจำทางที่จะผ่านที่อยู่ของเขา เขารู้สึกตัวเหมือนถูกจับจ้องจากใครสักคนรอบตัว
สายตากวาดอย่างใคร่สงสัย มาหยุดลงที่ชายร่างสันทัดตรงหน้า กำลังหันหลังก้าวตรงเข้ามาหาเขา หลังจากชั่งใจดีแล้ว
พลางเอ่ยอย่างมีมารยาทต่อคนแปลกหน้า
“หากคุณไม่รังเกียจอะไร”
เขาก้มมองตามสายตาชายตรงหน้าลงมาที่ร่มคันเหลืองในมือ
“มันเกี่ยวอะไรกับร่มคันนี้หรือเปล่าครับ”
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับทันที ไม่ได้ดูกระตือรือร้นกับมันสักเท่าไร
“ผมรู้สึก ---”
อีกฝ่ายกล่าว
“คลับคล้ายคลับคลากับร่มคันนี้ว่าผมเป็นเจ้าของของมันน่ะครับ”
เขาเลิกคิ้วฉงน
“ผมขอถามได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ”
เขาแปลกใจกับท่าทีกระอักกระอ่วนของอีกฝ่าย และยิ่งอยากรู้มากยิ่งขึ้น สันดานธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่อาจวางเฉยต่อสิ่งเร้าเข้ามากระตุ้นจิตใต้สำนึกนี้ได้
“คุณไปได้ร่มคันนี้มาจากไหนเหรอครับ”
“จากชายคนหนึ่ง”
เขาบอก
“ซึ่งผมก็ไม่รู้จักเขาหรอกครับ”
“ทำไมเขาถึงให้ร่มคันนี้กับคุณเหรอครับ”
“เย็นวันนั้นเราติดฝนด้วยกัน”
เขาเล่า
“เมื่อฝนซาลง เขาก็เสนอด้วยความหวังดี กลัวว่าผมจะเปียกฝนอันน้อยนิด เขาก็ยืนยันจะให้ร่มคันนี้กับผม”
เขาได้ยินเสียงสะอึกมาจากอีกฝ่าย จ้องมองจริงจังก็ได้เห็นสีหน้าปั้นรอยยิ้มเจื่อนๆ
“และผมตั้งใจจะคืนมันให้กับเขา”
เขากล่าวต่อ
“เพราะคิดว่าเป็นของเขา แต่ก็นะ --- คงไม่มีโอกาสแล้วละมังครับ หรือผมไม่พยายามจะให้โอกาสตัวเองนั่นแหละครับ”
เขากล่าวจบ ก็เสมองไปทางอื่น เพื่อต้องการปิดบังแววตาแห่งความรู้สึกของตัวเอง
จากนั้นก็ก้มมองร่มคันเหลืองในมือ ตระหนักถึงคำพูดของอีกฝ่ายได้ แม้จะไม่มั่นใจมากก็ตาม
“คุณเข้าใจว่ามันเป็นของคุณ”
เขาเอ่ยถาม
“หรือเป็นของคุณเองแน่ๆ”
“ใช่ครับ”
อีกฝ่ายตอบเสียงค่อยปนมากับเสียงสะอื้นที่พยายามจะข่ม
“ถ้าคุณมั่นใจจะคืนมันให้กับผม”
“ถ้าคุณมั่นใจว่ามันคือร่มของคุณ”
เขายื่นร่มให้กับอีกฝ่ายรับไป
“ผมก็จะคืนให้อย่างไม่มีข้อกังขา”
“ขอบคุณมากนะครับ”
อีกฝ่ายคว้ามันไปจากมือของเขา
“ขะ ---”
อีกฝ่ายกล่าวตะกุกตะกัก หุนหันจากไปพร้อมกับผู้คนมากมายจะข้ามถนนไปอีกฟาก
“ขอตัวก่อนนะครับ”
สายตาจับจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่าย ยกแขนขึ้นปาดหน้าไปพลางท่ามกลางผู้คนซ้อนหน้าซ้อนหลัง ก่อนจะหายลับ เมื่อมีคนเดินถนนแทรกเข้ามาบดบังไปจากสายตา
เขาได้แต่เฝ้าสงสัยว่าร่มคันนั้นมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร บนเส้นทางกลับที่พักเพียงลำพังในรถโดยสารประจำทางอันเงียบงัน ราวกับอยู่ในโลกโดดเดี่ยวของตัวเอง --- ไม่มีผู้ใด
ชายทั้งสองคนนั้น เขามั่นใจว่าเป็นชายคนละคนกัน ต่อความสัมพันธ์กับชายที่พยายามยัดเยียดร่มคันเหลืองให้กับเขาต้องรับมันไปให้ได้ แฝงมากับความหวังดีที่มอบให้มา ให้หลงตายใจไปด้วยจนติดกับความรักฝ่ายเดียว เฝ้ามองหาให้อีกฝ่ายมาเป็นของตน ก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพ้อฝันถูกปลุกตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ต้องยอมรับมันให้ได้
หรืออีกฝ่ายเพียงคิดว่าร่มคันนั้นจะไม่มีทางกลับไปหาเจ้าเดิมที่แท้จริงของมันได้อีกเลย เมื่อต้องการจะยื่นให้กับคนแปลกหน้าระหว่างทางบนความเป็นใจของสถานการณ์นั้นเอง
อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลอาบแก้มข้างหนึ่ง
ยกมือขึ้นเช็ดมัน
และห้ามตัวเองว่าจะไม่เสียใจ
เมื่อปลายฤดูฝนสุดท้ายไม่ยอมให้เป็นอย่างที่หวังไว้เลย
ก็ตาม...
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา