Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
iAmtasmanian
•
ติดตาม
16 ธ.ค. 2022 เวลา 08:30 • นิยาย เรื่องสั้น
ที่เรามีกัน
ผมสูญเสียพ่อแม่จากชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ต่อกันไม่สมบูรณ์ ความจริงแล้วแม่ไม่อยากละทิ้งผมไป แต่เมื่อชีวิตของเธอต้องการการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผมห้ามเธอไม่ได้หรอก ปรารถนาว่ามันจะดีกว่าเดิม คนรักใหม่ของแม่จะยื่นอกยินดีรับผมเสมือนลูกของเขาแท้ๆ ไม่เดียดฉันท์
ผมโตพอจะเข้าใจความลำบากก่อตัวขึ้นในใจ ต้องมองหน้าคนที่ไม่ใช่พ่อผู้กำเนิดยืนเคียงข้างเธอด้วยรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าภาคภูมิใจเจอะเจอคนที่ตามหา ผมมีสิทธิ์เลือก แม่ก็บังคับผมไม่ได้เช่นกัน ผมสัญญาว่าจะเทียวไปเยี่ยมเยียนบ้าง พ่อเงียบหายเข้ากลีบเมฆตั้งแต่หันหลังจากพวกเราไป ไม่ลังเลหวนกลับคืนมาเลยสักนิด แม่จึงยอมจำนน เห็นว่าผมเป็นเด็กมีความคิดได้แล้ว ช่วยกิจการเล็กๆ ของพี่ชายแม่ พออยู่กินได้สบายๆ และขออยู่อาศัยที่นั่นได้จนกว่าผมจะเลือกออกมาอยู่ด้วยตัวเอง
ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบเอ็ดปี เขาสูงโปร่งอย่างน้อยร้อยเจ็บสิบห้าเซนติเมตร ผมสูงกว่าเขาสามเซนติเมตร ผมคว้าถุงหิ้วพลาสติกใบใหญ่สองใบ บรรจุกล่องอาหารห้าชุด แขวนไว้ตรงหน้าจักรยานยนต์ ขับไปส่งอาหารให้กับลูกค้าไม่ไกลนักอย่างระมัดระวัง
คนรักของลุงยังคงเป็นพนักงานออฟฟิศ ชายร่างสูงใหญ่ในวัยสี่สิบห้าปี เขาเชื่อต่อความมั่นคงของชีวิตเกี่ยวกับฐานเงินเดือนแต่ละเดือน มากกว่าธุรกิจส่วนตัวนั่งนับเม็ดเงินไม่คงที่เดือนนั้นๆ
ผมกลับมาก็นั่งเรียนภาคออนไลน์ที่บ้าน ลุงอยากเปิดหน้าร้าน แปลงพื้นที่หน้าบ้านบางส่วนเป็นที่นั่งรับประทานอาหารภายใน ทว่า ลุงมอสแกไม่ชอบความวุ่นวาย หรือให้คนแปลกหน้าไม่รู้จักเข้ามาเหยียบในเขตรั้วบ้าน
เขานับมันเป็นพื้นที่สงวนส่วนบุคคล ซึ่งหวงห้ามเอามากๆ แค่ความคิดตรงนี้ไม่ลงลอยกันเท่าไรแล้ว ยังไม่นับพฤติกรรมที่ต่างคนต่างพาสร้างพื้นที่ความเงียบล้อมรอบกัน การให้ความใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองพึงจะทำอยู่ จนละเลยเขตแดนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไปบ้าง ผมที่ร่วมโต๊ะอาหารยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าอึดอัด อย่างกับภายในห้องอาหารคับแคบลง ผมแทบนับคำพูดที่ทั้งสองนำมันหลุดออกจากปาก สิ่งที่น่ากลัวตลอดมาพวกเขาเริ่มทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติขึ้นทุกวันไปเสียแล้วนั่นเอง
“ที่เหลือลุงพอจัดการได้เอง”
เขาบอก
“บิวก็นั่งเรียนต่อไปเถอะ”
“เมื่อวานลุงมีปัญหากับลุงมอสอีกแล้วเหรอ”
ผมก็ไม่อยากได้ยินคำว่าไม่ใช่เรื่องของเด็ก นี่มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ตามจริงแล้วควรนับเป็นเรื่องของคนสองคนด้วยนั่นแหละ ผมคือคนนอก เมื่อผมต้องอยู่ท่ามกลางสองขั้วอารมณ์ ผมยังเลือกที่ไปไม่ได้เลย ไม่งั้นผมคงไม่ต้องแบกรับความรู้สึก ทั้งที่ไม่มีใครขอให้ทำแบบนั้นก็ตาม ผมก็ปฏิเสธเอามาใส่ใจเสียไม่ได้
เขาพยักหน้า
สีหน้าของเขาปราศจากความเศร้าหมองมัวหม่น หรือรอยน้ำตา มันกลับช่างดูด้านชาเกินกว่าจะอ่านความรู้สึกเขาจากด้านในลึกๆ ได้
“ก็เรื่องเดิมๆ”
เขาบอก
“เขาหาว่าลุงเป็นคนพูดไม่รู้จักฟังสักที”
เขาหัวเราะเนือยๆ อย่างอ่อนใจ
“ในความหมายจริงๆ ของเขาต้องการให้ลุงยอมแพ้เขาทุกทาง”
เขาส่ายหน้า
“เขาหาว่าจะออกจากงานมาทำอะไรที่ไม่แน่นอนทำไมก็ไม่รู้”
“มีธุรกิจส่วนตัวมันไม่แน่นอนตรงไหนกัน”
ผมเอ่ยถาม
“ผมไม่เข้าใจลุงมอสแกเลย”
“เขาไม่เคยนึกถึงยามบั้นปลายชีวิตเลยมากกว่า เขาบอกว่าลุงจะกลัวอะไร เงินเก็บเขาก็เหลือๆ แต่ลุงไม่คิดอย่างนั้นไง”
เขาพ่นลมหายใจ
“เขาไม่เคยเห็นด้วยหรือสนับสนุนในสิ่งที่ลุงคิดในหลายๆ เรื่อง”
“ลุงไม่เจ็บปวดบ้างเหรอ”
“เจ็บสิ”
เขายืนยัน
“เจ็บใจน่ะ ลุงแทบไม่เคยขัดเขาไม่ว่าจะอะไรเลยนะ เขาไม่เคยตอบแทนในความพึงพอใจในตัวลุงได้สักอย่างเดียว”
“เขาก็แค่ไม่ชอบความวุ่นวายน่ะ”
“บ้านก็ไม่ได้อยู่ทั้งวันซะเมื่อไร”
เขาสวนกลับทันควัน
“ถ้าลุงมีหน้าร้าน ลุงก็แค่จะขอเปิดร้านตอนเขาไปทำงาน ปิดร้านก็ตอนเขากลับถึงบ้านแล้ว ลุงไม่ได้ไปพรากช่วงเวลาเงียบๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวเขามากเลย แถมวันหยุดของเขาลุงก็ย้ำหนักย้ำหนาว่าจะไม่เปิดหน้าร้านแน่นอน เขาไม่แม้จะรับฟังลุงเลย ลุงเพียงขอของลุงเท่านี้เองนะ”
ผมไม่รู้ว่าความรักของพวกเขาสองคนจะเป็นไปต่ออย่างไร
มันตอบยาก เมื่ออายุของสิ่งที่เรียกว่ารัก มันอยู่กับพวกเขานานเกินไปหรือไม่ แล้วควรมีขอบเขตของระยะเวลาจำกัดจริงๆ ไหม
ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ผมอาจเข้าใจได้ถ่องแท้ ทุกๆ อย่างล้วนเกิดขึ้นและดับลงตามเวลาผู้กลืนกิน ผมกลับไม่คิดว่าการที่พวกเขาครองรักกันมาตั้งแต่สมัยวัยมหา’ ลัย อายุขัยของมันจะสั้นลงเรื่อยๆ ไม่หมดลง ทั้งไม่รู้ว่าพวกเขายังคงรักกันอยู่หรือเปล่า แค่อยู่ด้วยกันไปวันๆ เหมือนคู่รักที่ผ่านช่วงเวลามากมายกระทั่งความสนุกสนานผ่านเลยจากวัยนั้นมานานแล้ว คือการต้องอยู่กับชีวิตที่นับลมหายใจแต่ละครั้งทุกขณะ คำว่าไม่มีวันสิ้นสุดมักย้ำเตือนจุดจบกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า ไม่อาจหยั่งความใกล้ไกลจะไปถึงจุดนั้นเมื่อไร
สำหรับผมมันคือปริศนาที่อะไรถึงทำให้พวกเขายังมีกัน
มันก็เหมือนปริศนาค้างคาใจผมตั้งแต่ตอนนั้นว่า --- พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ทำไมอยู่ๆ วันหนึ่งถึงเลิกลากันได้เสียง่ายดาย พวกเขาเคยนึกเสียดายช่วงเวลาที่มีร่วมกันบ้างไหม หากเพราะความหวานอมขมกลืนทำให้พ่อตระหนักได้ว่าฝืนอยู่กันไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรนำไปสู่ความดีงามตราตรึงใจ รังแต่มีเรื่องชวนให้เป็นปัญหาร่ำไป ไม่ว่าเล็กกะจิดริดหรือใหญ่ยักษ์
ทางแยกอาจเป็นหนทางที่ดีกว่า ที่พวกเขาไตร่ตรองกันมาดีแล้วนั่นเอง
ลุงเพชรยืนคุยโทรศัพท์กับปลายสายเป็นลุงมอสอยู่ด้วย ตอนหกโมงเย็นกว่าๆ
“คือเพชรจะโทร. มาวานให้พี่แวะซื้อของในรายการที่เคยให้ไว้ให้หน่อยน่ะ”
เขารออีกฝ่ายพูดอยู่
“ก็เพชรยุ่งๆ ทั้งวันไหม --- ก็มีลืมๆ กันบ้างสิ”
เขาใช้น้ำเสียงงุ่นง่าน
“เพชรก็เข้าใจพี่ไง ต่างคนมันต่างก็มีหน้าที่ ภาระยุ่งเหยิงเหมือนๆ กัน เพชรเห็นว่ามันเป็นทางผ่านตอนกลับบ้าน จะแวะซื้อให้ไม่ได้เลยเหรอไง”
ผมรู้ว่าลุงเพชรเริ่มไม่พอใจใหญ่
“ถามมาได้”
เขาสะอึก
“ว่าทำทำไม --- ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวหรอกนะ ที่คิดถึงเรื่องช่วงบั้นปลายในอนาคตของเราสองคน สิ่งที่เพชรคิดคือหากเมื่อถึงวันนั้นจริง อย่างน้อยๆ ธุรกิจส่วนตัวของเพชรมันก็ยังสร้างรายได้สร้างอาชีพไปต่อจนเราทำไปต่อไม่ไหว ก็แค่หยุดพักเท่านั้น”
ลุงเพชรเงียบไปสักพัก
“ก็เพชรลืมไง บอกไปแล้วนิ --- เวลาทั้งวันที่เพชรอยู่บ้านก็ไม่ได้นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ นะเว้ย”
ไม่นานเขาก็โพล่งเสียงดังลั่นจนทำผมตกใจ ตอนกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ เขาชำเลืองมองผมเล็กน้อย
“ไม่ต้องแล้วก็ได้ พี่ --- รถจะติด จะผ่านมาแล้วก็ช่างเถอะ พอกันที อะไรที่เพชรหวังพึ่งความเข้าใจ แรงสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยได้สักอย่างเดียว แค่นี้นะ ขี้เกียจจะคุยด้วยแล้วว่ะ”
ลุงเพชรตัดสายไปพร้อมกับอาการหัวเสีย มื้อเย็นเกิดขึ้นเกือบทุ่ม
ผมหวังว่าพวกเขาสองคนควรพูดคุยอะไรกันบ้าง เผื่อทำให้มองเห็นอะไรเป็นอะไรได้มากกว่านี้ เพียงเพราะม่านแห่งขุ่นมัวในอารมณ์บดบังสายตาสองคู่ เป็นเหตุให้บางอย่างพวกเขาอาจพลาดสังเกตไปก็เป็นได้ มันถึงได้ไม่ยอมชัดเจนอย่างนี้
เป็นครั้งแรกที่ผมมีส่วนร่วมในความรู้สึกอันหดหู่ใจ บางคู่รักสามารถแตกหักกันได้เพราะเรื่องเล็กๆ คนอื่นมองแทบเป็นเรื่องไร้สาระก็ตามที ถ้าหากมีเรื่องทำให้ไม่พึงพอใจมาก่อนหน้า
บางคนเลือกทิ้งไว้ในอดีตโดยไม่ขวนขวายนำกลับมารื้อฟื้น ทว่า บางคนอยู่ในรูปแบบตรงกันข้าม สะสมมันอย่างผูกใจเจ็บมาตลอด เพื่อรอวันได้ระเบิดสิ่งอัดอั้นใจมานานออกไปรวดเดียว ก่อนจะรู้ตัวว่าได้ทำลายเส้นดายนับวันที่มันต้องผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านลมแดดฝนมา ย่อมเปื่อยและฉีกขาดได้ง่าย กว่าจะตระหนักได้อาจสายเกินเยียวยา แต่บางทีในความฉิวเฉียดยังสมานรอยแตกร้าวทัน
ลุงเพชรรวบรวมจานชามช้อนบนโต๊ะนำไปล้างในอ่างล้างจาน
สายตาของลุงมอสชำเลืองแผ่นหลังอย่างเงียบๆ ในแววตามีความรู้สึกผิดเนืองๆ
ผมสงสัยมากน่ะนะ อะไรกันที่เป็นดั่งเทปกาวปิดปากเขาไว้ไม่ให้เจรจากันดีๆ สักครั้ง
การรอคอยพายุในใจค่อยๆ สงบลง พวกเขาย่อมรู้ดีสิ ว่ามันจะพังพินาศอะไรต่อมิอะไรไม่เหลือชิ้นดีไปหมดแล้ว
ผมเห็นเขาปล่อยเวลาล่วงเลยผ่านไปว่างเปล่า จนลุงเพชรหายลับไปจากบันไดขั้นบนสุดสู่ชั้นสองของบ้าน ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ห่างๆ เป็นเพื่อนกันกับลุงมอส เขาไม่รับรู้หรอกว่าผมมีตัวตนตรงนี้อยู่จริง
เป็นชั่วโมงๆ กับการมองลุงมอสอย่างจดจ่อจากมุมหนึ่ง ก็นึกเห็นใจในสภาพจิตใจของเขาตอนนี้เหลือเกิน ผมเกิดความคิดว่า จริงๆ แล้วพวกเขาอาจยังรักกันอยู่อย่างนั้น แต่ที่ผมหาคำตอบไม่ได้เลยว่าพวกเขารักกันอย่างไร รูปแบบไหนที่ผูกมัดพวกเขาไว้ในสถานที่แห่งนี้กันแน่
ในมือของลุงมอสกำกุญแจรถเล่น สายตาจับจ้องมันกับความคิดในหัวเลื่อนลอยไปไหนก็ไม่รู้แล้ว ผมอยากเดินเข้าไปปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาพบกับปัจจุบัน ผมทำได้เพียงนั่งเฉยๆ อยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าจะเริ่มก้าวเดินจากตรงนี้ด้วยการก้าวขาข้างไหนก่อนดี
ลุงมอสได้สติกลับมาอีกครั้ง เหมือนการที่เขานั่งอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาตัดสินใจเงียบๆ ลำพังได้บางอย่างหนึ่ง ก่อนลุกพรวดออกจากบ้านไปไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขากลับเข้ามาในประตูบ้านพร้อมกับทำให้ผมประหลาดใจเหลือหลาย จากการหายไปสักพักใหญ่ๆ สองมือของเขาหิ้วถุงหลายใบพะรุงพะรัง ข้างในกอปรด้วยวัตถุดิบกำลังจะหมดในครัวร้านอาหารออนไลน์ของลุงเพชร ผมโร่ไปช่วยเขาถือสองสามถุงจัดเรียงกันเข้าที่เข้าทางของมันแต่ละอย่าง
“ลุงแค่อยากทำให้เขาพอใจบ้าง”
เขาเอ่ยขึ้นมาเฉยๆ
“แค่นี้เองเหรอครับ”
ผมไม่ใช่คนที่ต้องได้ยินคำพูดนี้จากเขาเลย แต่ควรเป็นลุงเพชรมากกว่า
เขาไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
“ลุงเองก็เสียใจมากนะ”
เขาไม่ได้มองหน้าผมหรอก เอาแต่ก้มหน้าเหมือนกับกำลังสารภาพบาปรบกวนจิตใจห่อเหี่ยว
“ไม่ใช่ลุงไม่รู้ว่าตัวเองดูเห็นแก่ตัวไปบ้าง อะไรๆ ที่ลุงขัดเขา อย่างนู้นก็ไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่เห็นด้วย เพราะความไม่ชอบใจในตัวเองมีนั้น ลุงเหมือนถือมีดแล้วเอามันไปเฉือนความสัมพันธ์ของเราให้ขาดจากกันอย่างไรอย่างนั้นเลย”
“ลุงยังรักลุงเพชรอยู่ใช่ไหมครับ”
ผมรู้คำตอบนั้นแล้วแหละ คำถามของผมมันจะไปช่วยเพิ่มน้ำหนัก หรือเป็นเครื่องช่วยนำทางไปหาสิ่งสิ่งนี้ ระหว่างพวกเขาสองคนอาจหลงลืมเพื่อย้ำเตือนใจที่มีกันข้างในไปบ้าง
“รักสิ”
เขาตอบ
“มันคือสิ่งที่ทำให้ลุงสองคนอยู่ด้วยกันใช่ไหมครับ”
“นั่นสินะ”
เขารำพึง
ผมไม่มั่นใจเท่าไรนัก มันคือสิ่งที่พวกเขาคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนค่อยๆ หลงลืม ทั้งที่ยังมีกันอยู่แบบนี้ อย่างกับของตาย ซึ่งไม่ได้อยู่เพื่อถึงวันเลิกลา แต่อยู่ด้วยกันไปเพื่อตระหนักว่าอยู่ต่อไปเพราะสาเหตุอะไร รอมร่อจะไปด้วยกันรอดไม่ถึงฝั่ง
“ลุงจะไม่ทิ้งลุงผมไปใช่ไหมครับ”
เขามีท่าทีครุ่นคิด ประกายในแววตาของเขามันช่างว่างเปล่าและเข้มข้นในเวลาเดียวกัน
“คงไม่หรอก”
ไม่รู้ว่าเขาตอบออกมาแบบนี้เพราะเห็นแก่หน้าผมที่เป็นหลานชายแท้ๆ ของลุงเพชร หรือความหนักแน่นในความมั่นคงมากพอไหม
“ลุงก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงจากเพชรเขาไปไม่ได้ มันไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวเลย”
“ลุงนึกถึงวันวานที่มีกันบ้างไหมครับ”
“ไม่ได้สำคัญมากน่ะนะ”
เขาตั้งใจสื่อออกมาในน้ำเสียงเรียบเฉยทั้งฉงนระคนกัน
“ลุงไม่ได้อยู่กับเขาแค่อดีตที่ผ่านมา ลุงพยายามไม่ยึดติดกับสิ่งที่เลยมาแล้ว ไม่ได้มีประโยชน์อะไร ลุงอยู่กับเขาในปัจจุบัน และอนาคตเท่านั้น”
ผมนิ่งเงียบไป
ช่วงประโยคหลังๆ ของลุงมอสประหนึ่งคำปฏิญาณตน ช่างเต็มเปี่ยมน้ำเสียงเปล่งออกมาแต่ละคำเหล่านั้น
“ไหนๆ ---”
ผมเกริ่น
“พรุ่งนี้ก็วันหยุดลุงแล้ว”
กาลครั้งหนึ่งผมเคยอยากรู้ว่าพวกลุงสองคนเขารักหมดใจจวบจนทุกวันนี้ได้อย่างไร
ผมจึงเอ่ยปากถามแม่ วันนั้นเธอติดสอยห้อยตามพี่ชาย ให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ท่ามกลางความสั่นไหวในใจ เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับชายที่ตัวเองฝากหัวใจให้เขาเก็บมันไว้ครอบครอง
แม่ยืนยันว่ามันเหมือนช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเธอไปด้วยเช่นกัน เห็นว่าความรักทำให้รอบตัวพวกเขาช่างดูมหัศจรรย์เกินธรรมดาสามัญอย่างไร ถึงแม้พี่ชายเธอจะห้ามไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครก่อนทั้งนั้น แม้กับคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ตาม เขารอแค่รวบรวมความกล้าเยอะพอพร้อมจะไปพูดคุยถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อชายอีกคนด้วยตัวเอง อย่างไม่ปกปิดเป็นความลับจนชั่วชีวิตของเขา อย่างไรก็ตาม ความลับไม่มีวันอยู่ชั่วกาลนาน
“ผมว่าพวกเราสามคนไปเที่ยวที่สวีทดรีมด้วยกันไหมครับ”
ผมเสนอ
“ถ้าเราอยากไปลุงก็จะพาไป”
“หากลุงไม่กล้าชวนลุงเพชรตอนนี้”
ผมออกตัวแทน
“ผมจะได้ไปบอกลุงเพชรแกแทนลุงให้ก็ได้นะครับ”
ผมรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างดี
แม่เคยให้ผมดูภาพถ่ายที่แม่ตามเก็บให้พวกเขาทั้งสองคน ซึ่งเกิดเรื่องราวความรักที่ถูกถักทอกันมาเสียยาวไกลจนบัดนี้ได้
จะว่าความระหองระแหงก็ไม่อาจถูก หากความหลงลืมคอยบั่นทอนความรักลดน้อยลง ชักจูงพวกเขาไปลงเอยในรูปแบบไหนเกินหยั่งรู้กับเรื่องความรักไม่ใช่ของตน เพียงเพราะผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเหมือนอย่างพ่อแม่ผม ตอนนั้นผมแทบไม่ได้รับรู้ หรือได้เตรียมใจสูญเสียใครไปสักคน เริ่มต้นใหม่ในความแปลกแยกจากความรู้สึกครั้นผมต้องไปร่วมอยู่ในชีวิตและหนทางเดินใหม่ของแม่คนเดียว ไม่แม้แต่จะเป็นของผมด้วยเลย
ผมคว้ากล้องถ่ายภาพติดตัว ลุงเพชรยอมไปด้วยแต่โดยดี ถึงไม่ได้เอ่ยความยินดีสักนิด
ผมคอยตามพวกเขาอยู่ทางด้านหลังมาตลอด ผมไม่ได้กะมาหาเครื่องเล่นเล่นเป็นพิเศษ เรื่องราวได้ถูกสร้างจากความทรงจำแรกจากครั้งอดีตของพวกเขาเริ่มมีกันอีกครั้ง เมื่อลุงมอสคว้ามือลุงเพชรมาประสานหว่างนิ้วเข้าด้วยกันไว้แน่นสนิท ยากจะปล่อยหลุด กระทั่งมาจบลงตรงหน้าม้าหมุนยักษ์
อยู่ๆ เขาก็หุนหันหายไปไหนไม่รู้ได้ ปล่อยให้ผมกับลุงเพชรยืนกันทำสีหน้างงงวย
แม่ยื่นภาพถ่ายถ่ายไว้มาให้ยลชมวันหนึ่ง ช่วงเวลานั้นเธอบอกว่าทีแรกเธอสับสนหนักมาก ก่อนจะพบว่ามันคือช่วงเวลาสุดแสนจะพิเศษที่เกิดขึ้นตรงนั้น
ลุงมอสนำลูกโป่งหัวใจสีแดงผูกติดไว้กับด้ายขาวมาให้ลุงเพชร
ผมบันทึกภาพนี้ไว้
แม่เล่าให้ฟังว่าลุงมอสเอ่ยปากสารภาพรักตรงๆ ไม่อ้อมค้อมใดๆ
ทว่า ตอนนี้นั้น
ลุงมอสจะพูดว่า
“พี่ไม่เคยรักเพชรน้อยลงไปเลยนะ”
เขากล่าวจากใจจริง
“ตลอดเวลาที่เรามีกัน”
ผมนั่งซบหัวไหล่แบงก์ ขณะยกภาพถ่ายระหว่างลุงมอสกับลุงเพชรจากฝีมือการถ่ายภาพของผม ดวงตาสองคู่ของเรามองมันเป็นตาเดียว
แบงก์ทิ้งหน้าลงมาด้านข้าง หน้าผากของเราแนบชิดกัน
“เราสัญญาเลยนะ --- เราจะรักบิลให้ได้นานเหมือนกับคู่ของลุงมอสกับลุงเพชร”
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
⬇
https://www.readawrite.com/?action=user_page&user_id_publisher=3431319
นิยายวาย
นิยายเรื่องสั้น
เรื่องสั้น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย