12 ธ.ค. 2022 เวลา 13:52 • ประวัติศาสตร์
ลิ้มกอเหนี่ยว สตรีผู้สาปแช่งมัสยิดกรือแซะ
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว กําเนิดในครอบครัวตระกูลลิ้ม ในสมัยพระเจ้าชื่อ "จงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์เหม็ง" ราว ๆ พ.ศ. 2065 – 2109 มีพี่น้องชายหญิงหลายคน
โดยมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ "ลิ้มโต๊ะเคี่ยม" รับราชการอยู่ที่มณฑลฮกเกี้ยน เมื่อบิดาถึงแก่กรรม ได้ย้ายมาเข้ารับราชการที่เมืองจั่วจิว และได้ปล่อยให้ลิ้มกอเหนี่ยวและพี่น้องคนอื่น ๆ เป็นผู้เฝ้าดูแลมารดาแทน
ช่วงระยะนั้นมีเหตุการณ์ที่โจรสลัดญี่ปุ่นบุกปล้นและเข้าตีเมืองตามชายฝั่งของจีน ลิ้มโต๊ะเคี่ยมซึ่งเป็นที่รักของชาวบ้านถูกขุนนางกังฉินใส่ร้ายว่าสมคบกับโจรสลัดญี่ปุ่น
เหตุนี้จึงทำให้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมถูกทางราชการประกาศจับ ทําให้ต้องหลบหนีออกจากประเทศจีนพร้อมกับพรรคพวกอีกหลายคนและได้ไปอาศัยอยู่ที่เกาะไต้หวัน ก่อนที่ต่อมาได้เปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อค้า
ลิ้มโต๊ะเคี่ยม และ ลิ้มก่อเหนียว จากพังเมืองปัตตานี
โดยนําสินค้าจากประเทศจีนบรรทุกเรือสําเภามาขายที่ประเทศไทย และท่าเรือสุดท้ายที่มาจอดขายสินค้าคือ เมืองกรือเซะ (ปัจจุบันคือ บ้านกรือเซะ จังหวัดปัตตานี)
สมัยนั้น เจ้าเมืองผู้ครองเมืองกรือเซะเป็นชาวไทยมุสลิมที่มีบุตรสาวงามเลิศอยู่นางหนึ่ง สมัยก่อนถือเป็นธรรมเนียมของพ่อค้าที่เมื่อนําเรือสินค้าเข้าไปจอดที่เมืองใดก็มักจะนําผ้าแพรพรรณและสิ่งของสวยงามที่มีค่านำขึ้นไปถวายเจ้าผู้ครองเมือง
เพื่อเป็นของกํานัลเพื่อผูกไมตรี ปรากฏว่าของที่นำกลับเป็นที่พอพระทัยของเจ้าผู้ครองเมืองเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงได้ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองอย่างดีต่อลิ้มโต๊ะเคี่ยม
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมนั้น เป็นชายหนุ่มรูปงาม ทั้งยังมีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ แม้แต่ฝีมือการรบก็เก่งกล้าสามารถ จึงเป็นที่สนใจของบุตรสาวเจ้าเมืองกรือเซะ
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมเองก็ต้องตาต้องใจในความงามที่เป็นเลิศของนางเป็นก่อนแล้ว ฝ่ายเจ้าเมืองกรือเซะเองก็สนับสนุนอยากได้ลิ้มโต๊ะเคี่ยมมาเป็นลูกเขย
ท้ายที่สุดลิ้มโต๊ะเคี่ยมและบุตรสาวเจ้าเมืองกรือเซะจึงได้เข้าสู่พิธีวิวาห์ตามหลักศาสนาอิสลาม โดยลิ้มโต๊ะเคี่ยมยอมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามฝ่ายบุตรสาวเจ้าเมืองเพราะยึดถือความรักเป็นใหญ่
รวมทั้งลูกเรือที่เดินทางมากับลิ้มโต๊ะเคี่ยม ยอมอยู่กับลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นนายที่เมืองกรือเซะ และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และมีภรรยาเป็นคนไทยมุสลิมในเมืองกรือเซะ
หลายปีต่อมา มารดาของลิ้มโต๊ะเคี่ยมอาศัยที่ประเทศจีนไม่เห็นบุตรชายกลับมาจากการค้าขายตามปกติ ก็เป็นห่วงจนไม่เป็นอันกินอันนอน ลิ้มกอเหนี่ยวกับน้องสาวอีกคนหนึ่งเกิดความสงสารมารดา
และด้วยความเป็นห่วงพี่ชายที่ไม่ส่งข่าวมาที่บ้านเลย จึงอาสาออกเดินทางตามหาพี่ชายเพื่อจะพากลับบ้าน
โดยนางให้สัญญากับมารดาว่า ถ้าไม่สามารถพาพี่ชายกลับมาก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป ลิ้มกอเหนี่ยวด้คัดเลือกชายฉกรรจ์ที่มีฝีมือการรบในเชิงดาบจํานวนประมาณ 70 คน ออกเดินทางโดยใช้เรือสําเภามาจนถึงประเทศไทย
โดยแวะที่ท่าเรือเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก และได้ทำการสืบหาพี่ชายเรื่อยลงมาถึงทางใต้จนกระทั่งถึงกรือเซะจึงได้หยุดเรือที่อ่าวหน้าเมือง
ทางเมืองกรือเซะเข้าใจว่าเป็นเรือของข้าศึกจะยกมาตีเมือง จึงส่งทหารออกไปต่อสู้แต่ก็พ่ายแพ้กลับมา เจ้าเมืองกรือเซะเห็นว่าทหารไม่มีฝีมือพอที่จะชนะข้าศึกได้ จึงได้ขอร้องลิ้มโต๊ะเคี่ยมลูกเขยกับพวกทำการออกรบแทน
แต่การออกรบในครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างมีฝีมือทัดเทียมกัน และฝีมือเพลงดาบของลิ้มกอเหนี่ยวกับลิ้มโต๊ะเคี่ยมก็มีความเหมือนกัน เพราะต่างก็เรียนมาจากอาจารย์เดียวกัน
ในสนามรบลิ้มกอเหนี่ยวแต่งกายเป็นผู้ชาย ลิ้มโต๊ะเคี่ยมแต่งกายแบบไทยมุสลิม และเนื่องจากเป็นเวลากลางคืนทำให้ต่างฝ่ายต่างจํากันไม่ได้ เมื่อการรบกินเวลานานไม่มีใครแพ้ชนะ
ทั้งยังสงสัยว่าเหตุใดเพลงดาบของอีกฝ่ายจึงเหมือนกับของตน จึงได้เอ่ยถามกันขึ้นตามแบบธรรมเนียมจีน ถึงได้รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน จึงยุติการรบและเข้าพบเจ้าเมืองกรือเซะ เมื่อเจ้าเมืองทรงทราบก็ยินดีจัดงานเลี้ยงต้อนรับ
ลิ้มกอเหนี่ยวพํานักอยู่ในเมืองกรือเซะเป็นเวลานานพอสมควร จึงได้ชวนลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชายกลับประเทศจีน แต่ถูกพี่ชายปฏิเสธ ลิ้มกอเหนี่ยวแค้นใจและน้อยใจในตัวพี่ชาย และมองแล้ว่าพี่ชายคงไม่ยอมกลับไปแน่
ช่วงระยะนั้นลิ้มโต๊ะเคี่ยมกําลังเป็นผู้อํานวยการก่อสร้างมัสยิดอยู่ด้วย ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ตัดสินใจสละชีวิตตนเองประท้วงพี่ชาย โดยการผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ก่อนตายได้สาปแช่ง "ขอให้การสร้างมัสยิดที่พี่ชายทําอยู่นั้นไม่มีวันสําเร็จ และลูกเรือที่มาด้วยทั้งหมดก็ยังฆ่าตัวตายตามนาย" ด้วยการแล่นเรือออกไปในทะเลแล้วกระโดดน้ำตายหมด
ทิ้งไว้แต่เรือสําเภา 9 ลํา ลอยอยู่ในทะเล ซึ่งเมื่อขาดการดูแลก็ชํารุดและจมทะเลลง คงเหลือไว้แต่เสากระโดงเรือ ที่ทำด้วยต้นสนชูอยู่เหนือผิวน้ำทะเล 9 ต้น บริเวณดังกล่าวต่อมาได้ชื่อว่า "รูสะมิแล" เป็นภาษามลายู
มาจาก "รู" แปลว่า "สน" "สะมิแล" แปลว่า "เก้า" รวมความแปลว่า สนเก้าต้น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชาย เมื่อรู้ว่าต้องสูญเสียน้องสาวเพราะตนเอง ก็โศกเศร้าเสียใจและได้จัดพิธีศพตามประเพณีจีนอย่างสมเกียรติให้
โดยทําเป็นฮวงซุ้ยอยู่ที่บ้านกรือเซะ ต่อมามีการบูรณะเฉพาะฮวงซุ้ยของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวให้เห็นปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ เมื่อเสร็จงานพิธีศพน้องสาวแล้ว ลิ้มโต๊ะเคี่ยมก็ได้ก่อสร้างมัสยิดที่สร้างค้างไว้
พอสร้างจวนจะสําเร็จเหลือยอดโดมก็เกิดเหตุถูกฟ้าผ่ายอดโดมพังทลายหมด ก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามสร้างต่ออีก 3 ครั้ง แต่ก็ถูกฟ้าผ่าทุกครั้ง ในที่สุดลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงยอมแพ้หมดความพยายามที่จะสร้างต่อ
แม้แต่เจ้าเมืองกรือเซะเองก็บังเกิดความกลัวในอภินิหารตามคําสาปแช่งจนไม่มีใครกล้าสร้างต่อ ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ได้กลายเป็นโบราณสถานที่กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ไว้แล้ว เมื่อนับเวลาว่าเริ่มสร้างในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลาเกือบสามร้อยปีแล้ว
หลังจากที่ลิ้มกอเหนี่ยวสิ้นชีวิตลง เกิดอภินิหารที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ที่นางผูกคอตาย เชื่อกันว่าวิญญาณของนางได้สิงสถิตอยู่ที่นั่น ใครเจ็บป่วยหรือได้รับความเดือดร้อนเมื่อไปบนบานที่นั่นก็จะหายเจ็บหายป่วยพ้นจากความเดือดร้อน ชาวบ้านทั่วไปจึงขนานนามใหม่ว่า เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวนับแต่นั้นมา
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
โฆษณา