15 ธ.ค. 2022 เวลา 09:37 • ประวัติศาสตร์
ศึกษาชีวประวัติความเป็นมาของศาสนา อิสลาม
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสัจธรรมที่แท้จรืง
“อิสลาม” เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การยอมจำนน การปฏิบัติตาม และการนอบน้อม เมื่อนำคำว่า “อิสลาม” มาเป็น ชื่อของศาสนาจึงมีความหมายว่าเป็นศาสนาแห่งการยอมนอบน้อม
จำนนต่อพระเจ้า คือ อัลลอฮ์
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาจากชั้นฟ้า ด้วยความพอพระทัยของ อัลลอฮ์
ที่มอบให้แก่มวลมนุษยชาติ พระองค์ ทรงส่งท่านศาสดามุฮัมมัด บุตรอับดุลลอฮ์ มาเป็นความเมตตาแก่ชาวโลก ทั้งหลาย เพื่อยืนยันความเป็นเอกะของพระองค์ นำมวลมนุษย์ออกจาก ความมืดสู่แสงสว่าง พร้อมทั้งยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยความพอใจและสมัครใจ ปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของพระองค์และ ออกห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ พร้อมทั้งยึดมั่นในจริยธรรมอันสูงส่ง แห่งอิสลาม โดยการปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการอิสลาม ๕ ประการ และหลักศรัทธาอีก ๖ ประการ เพื่อให้เกิดคุณธรรมในจิตสำนึก อันจะ นำมาซึ่งการเกื้อกูลกันในสังคม
“มุสลิม” เป็นคำภาษาอาหรับเช่นกัน หมายถึง ผู้ที่นอบน้อม และยอมจำนนต่อข้อบัญญัติของอัลลอฮ์และหมายถึงผู้ที่ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม อิสลาม เป็นศาสนาที่ถูกกำหนดมาจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างโลก ซึ่งมีพระนามว่า อัลลอฮ์ ดังนั้นอิสลามจึงเริ่มต้นตั้งแต่มีมนุษย์คนแรก
ในโลกนี้คือ อาดัม ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นมาจากดิน และสร้างคู่ครองของเขา คือ เฮาวาอ์จากกระดูกซี่โครงด้านซ้ายของเขา และทั้งสองได้ก่อให้เกิด เผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นก๊กเป็นเหล่า จวบจนโลกพบกับจุดจบ
ในทุกยุคทุกสมัยอัลลอฮ์ได้แต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์ เพื่อทำ หน้าที่สั่งสอนผู้คนให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และปฏิบัติตามข้อบัญญัติของ
พระองค์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน จนกระทั่งถึงยุคของศาสดา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้เผยแพร่ข้อบัญญัติจากอัลลอฮ์ โดยใช้ชื่อว่า อิสลาม หรือศาสนาอิสลาม ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมักเข้าใจว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นใหม่ เมื่อ ๑,๔๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา
1
อิสลามเป็นคำสอนที่อัลลอฮ์ได้กำหนดให้แก่มวลมนุษยชาติ ในโลกนี้ ไม่ใช่คำสอนที่ถูกกำหนดมาเพื่อเฉพาะกลุ่มชนชาวอาหรับเท่านั้น เพียงแต่ว่าศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นชาวอาหรับ
จึงเริ่มเผยแพร่จากถิ่นที่อยู่ของท่านและได้ขยายออกสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก
อิสลามในประเทศไทย ศาสนาอิสลามมีจุดเริ่มต้นการเผยแพร่จากคาบสมุทรอาหรับ และได้ขยายเข้าสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมถึงตอนใต้ของประเทศไทย โดยพ่อค้า ชาวอาหรับที่เดินทางเข้ามาค้าขาย พร้อมนำหลักปฏิบัติของอิสลามที่งดงาม
เข้ามาเผยแพร่ จนได้รับการยอมรับจาประชาชนในดินแดนเหล่านั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อิสลามได้ขยายเข้าสู่ภาคกลางและ ภูมิภาคอื่นๆ
ของประเทศไทย โดยการอพยพและย้ายถิ่นฐานของมุสลิม นอกจากนี้ยังมีมุสลิมชาวต่างชาติที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดน
ของไทยด้วย
"การเกิด"
ประวัติท่านนบีมุฮัมมัด
ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกิดที่นครมักกะฮ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่แถบตะวันออกกลาง ท่านเกิด เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีช้าง สาเหตุที่เรียกว่าปีช้าง เพราะเป็นปีที่กษัตริย์อับรอหะฮ์ได้นำกองทัพช้างมาเพื่อทำลายกะอ์บะฮ์ แต่ไม่สามารถทำลายได้เพราะอัลลอฮ์ได้ทำลายกองทัพนั้นเสียก่อน ซึ่งตรงกับ วันที่ ๒๒ เมษายน ค.ศ. ๕๗๑ หรือ พ.ศ. ๑๑๑๔ เมื่อท่านอับดุลมุฏฏอลิบ
ผู้เป็นปู่ได้ทราบข่าวการเกิด จึงได้รีบไปเยี่ยมและได้ตั้งชื่อให้หลานชายว่า
“มุฮัมมัด” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ได้รับการสรรเสริญ” เชื้อสาย บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮ์ เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ บุตรของฮาชิม บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของกุศ็อย บุตรของกิลาบ มารดา ของท่านชื่อ อามีนะฮ์ บุตรีของวะฮับ บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของชุรอฮฺ
บุตรของกิลาบ บิดาและมารดาของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม เป็นต้นตระกูลเดียวกัน หรือเผ่าเดียวกัน คือเผ่ากุร็อยช์ บิดาของท่าน
เสียชีวิตในขณะท่านอยู่ในครรภ์มารดา และต่อมามารดาของท่านก็เสียชีวิตอีก
ในขณะที่ท่านมีอายุได้๖ ปีท่านศาสดาจึงได้ไปอยู่กับปู่ชื่อ อับดุลมุฏฏอลิบ และเมื่อปู่เสียชีวิต ท่านได้ไปอยู่กับลุงชื่อ อะบูฏอลิบ ในวัยเด็กท่านเคยทำงานโดยมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ ให้แก่ชาวมักกะฮ์และได้เคยติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศชาม (ซีเรีย) สองครั้ง ครั้งแรก ไปเมื่ออายุ๑๒ ปีและครั้งที่สอง ไปเมื่ออายุ๒๕
ในขณะที่ท่านมีอายุ ๒๕ ปีนั้น ท่านไปทำการค้าให้แก่ ท่านหญิง
คอดีญะฮ์ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการค้าในนครมักกะฮ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
มีไมตรีและมิตรภาพ ประกอบกับมีประสบการณ์ในเรื่องการค้าขายเมื่อสมัย
ที่ยังอยู่กับลุง จึงทำให้กิจการค้าของท่านหญิงคอดีญะฮ์เจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ
ซึ่งต่อมาท่านหญิงคอดีญะฮ์ได้ขอแต่งงานกับท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้
๒๕ ปีส่วนท่านหญิงคอดีญะฮ์อายุได้๔๐ ปีซึ่งเป็นหญิงหม้าย
การเป็นศาสดา (นบี)
ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับวะฮ์ยู (วะฮียฺ) คือ การติดต่อสื่อสารโดยฉับพลันจากอัลลอฮ์ โดยผ่านสื่อคือ
เทวทูต ญิบรีล และยังไม่มีบัญชาให้ออกเผยแพร่ ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำว่า อิกเราะอ์
ที่มีความหมายว่า “เจ้าจงอ่านเถิด”
“เจ้าจงอ่านเถิด ด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงสร้าง มนุษย์จากก้อนเลือด เจ้าจงอ่านเถิด และผู้อภิบาลของเจ้าทรงเอื้อเฟื้อ
เผื่อแผ่ยิ่ง พระองค์ทรงสอนมนุษย์ ให้รู้จักใช้ปากกา และทรงสอนมนุษย์ ในสิ่งที่เขาไม่รู้” (๙๖ : ๑-๕) การได้รับวะฮ์ยู โดยไม่มีบัญชาให้ออกเผยแพร่นี้ถือเป็นการ
แต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่งเป็นศาสดา (นบี) จากพระองค์อัลลอฮ์ซึ่งเกิดขึ้น ในเดือนรอมฎอน ณ ถ้ำฮิรออ์ขณะนั้นท่านมีอายุได้๔๐ ปีส่วนการแต่งตั้ง
ให้ท่านเป็นรอซู้ล (ศาสนทูต) พร้อมมีบัญชาให้นำเอาหลักการศาสนาออก เผยแพร่ต่อมวลมนุษย์นั้น เกิดขึ้นหลังจากวันที่ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี
๖ เดือน
การประกาศอิสลามอย่างลับๆ
พระผู้เป็นเจ้าทรงมีบัญชาให้ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัย ฮิวะซัลลัม ประกาศอิสลามอย่างลับๆ ก่อน คือ ประกาศแก่ญาติผู้ใกล้ชิด
และผู้หญิงคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม คือ ท่านหญิงคอดีญะฮ์ ภรรยา ของท่าน ส่วนชายหนุ่มคนแรกที่รับอิสลาม คือ ท่านอบูบักร์และเยาวชน คนแรกที่รับอิสลาม คือ ท่านอาลีทาสคนแรก คือ ท่านเซด บุตรฮาริซะฮ์
และต่อมาได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ การประกาศอิสลามอย่างลับๆ ได้กระทำมาเป็นเวลา ๓ ปีสาเหตุที่ประกาศอย่างลับๆ นี้เพราะบรรดามุสลิม ยังอ่อนแอและมีจำนวนน้อย
การประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย หลังจากที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ประกาศศาสนาอย่างลับๆ เป็นเวลา ๓ ปีแล้วก็ได้รับบัญชาจาก พระผู้เป็นเจ้าให้ประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย ทั้งๆ
ที่ในขณะนั้นมีผู้นับถือ อิสลามยังไม่มากนัก ชาวกุร็อยช์ต่อต้านท่านศาสดา ปีที่ ๓-๕ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวกุร็อยช์ได้ประชุมหารือ
เพื่อขอร้องลุงของท่านศาสดา คือ อะบูฏอลิบ เพื่อให้ศาสดาเลิกล้ม การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม แต่ท่านศาสดาปฏิเสธข้อเสนอ ท่านกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ฉันจะไม่ทิ้งงานเผยแพร่เป็นอันขาด จนกว่าอัลลอฮ์ จะทรงให้ได้รับชัยชนะหรือไม่ฉันก็พินาศไป แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ในการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดา
และปีที่ ๕-๗ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวกุร็อยช์เริ่มทำร้าย บรรดาศอฮาบะฮ์ (สาวก) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เป็นทาส พวกอ่อนแอ
ซึ่งไม่มีคนคอยช่วยเหลือ
การอพยพสู่อะบิสสิเนีย
การอพยพของผู้ศรัทธา
เมื่อศาสดาเห็นบรรดาศอฮาบะฮ์ (สาวก) ได้รับความทุกข์ทรมาน และการทำทารุณ ท่านศาสดามุฮัมมัด จึงมีคำสั่งให้ศอฮาบะฮ์อพยพไป
อะบิสสิเนีย (เอธิโอเปีย) ในปีที่ ๕ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล
ปีแห่งความโศกเศร้า
ปีที่ ๑๐ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า เนื่องจากพระนางคอดีญะฮ์ผู้เป็นภรรยาและอะบูฏอลิบผู้เป็นลุงที่ได้ให้
การอุปการะท่านได้เสียชีวิตลง การเริ่มต้นของอิสลามที่มะดีนะฮ์ ปีที่ ๑๑ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์จำนวน ๖ คน เข้าพบท่านศาสดาเพื่อขอรับอิสลาม
การให้สัตยาบัน อัลอะกอบะฮ์ครั้งที่ ๑
ปีที่ ๑๒ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์ ๑๒ คน เข้าพบ
ท่านศาสดาเพื่อให้สัตยาบัน อัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ ๑ โดยให้สัตยาบันว่า
จะเคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว
การให้สัตยาบัน อัลอะกอบะฮ์ครั้งที่ ๒
ปีที่ ๑๓ ของการแต่งตั้งเป็นรอซู้ล ชาวมะดีนะฮ์ ๗๕ คน เข้าพบ ท่านศาสดาเพื่อให้สัตยาบัน อัลอะกอบะฮ์ ครั้งที่ ๒ โดยให้สัตยาบันว่า
พวกเขาจะสนับสนุนและช่วยเหลือท่านศาสดา พร้อมทั้งบรรดาศอฮาบะฮ์
ที่อพยพไปอยู่ที่มะดีนะฮ์
ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์สู่มะดีนะฮ์
ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์โดยมีอบูบักร์ร่วมเดินทางไปด้วย
เมื่อไปถึงตำบลกุบาอ์ ท่านได้สร้างมัสยิดกุบาอ์ซึ่งเป็นมัสยิดหลังแรก
ที่ถูกสร้างขึ้น ท่านศาสดาเข้าเมืองมะดีนะฮ์ในวันศุกร์ ในระหว่างทางท่านได้ ทำการละหมาดวันศุกร์ร่วมกับพี่น้องมุสลิมที่นั่น และถือว่าเป็นการละหมาด
วันศุกร์ครั้งแรกของอิสลาม
เมื่อถึงเมืองมะดีนะฮ์ ท่านศาสดาได้สร้างความรัก ความเป็น
พี่น้องร่วมศรัทธา ระหว่างชาวมุฮาญิรีน (ผู้อพยพ) กับชาวอันศอร
(ผู้ช่วยเหลือ)
การอพยพของท่านศาสดามีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์
อิสลาม มุสลิมจึงถือเอาการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นจุดเริ่ม
ของศักราชอิสลาม ซึ่งเรียกว่า ฮิจญเราะฮ์ศักราช (ฮ.ศ.) ปีแห่งการอพยพ
ของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
๓. คัมภีร์ หลักความเชื่อ หลักธรรมคำสอน
และหลักปฏิบัติของศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม
คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน เนื้อหา ในคัมภีร์นี้ทั้งหมดเป็นวจนะของพระเจ้า ที่ได้ประทานแก่ท่านศาสดา
คัมภีร์อัลกุรอาน
นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผ่านทางสื่อคือเทวทูตญิบรีล เพื่อนำไปเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ ศาสดานบีมุฮัมมัดเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ ทรงเลือกให้ทำหน้าที่ประกาศศาสนา และเป็นผู้นำในการปฏิบัติศาสนกิจ ตามคำสอนของพระองค์อัลลอฮ์ประทานคัมภีร์แก่ท่านศาสดาเป็นระยะๆ รวมเวลาทั้งสิ้น ๒๓ ปีแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงก่อนการอพยพเป็นเวลา
๑๓ ปีเรียกว่า “มักกียะห์” และช่วงหลังการอพยพเป็นเวลา ๑๐ ปีเรียกว่า “มะดะนียะห์” เมื่อได้รับโองการมาท่านจะอ่านให้สาวกฟังและให้จดบันทึก ลงบนแผ่นหิน หนังสัตว์กระดาษ กาบอินทผาลัม และวัสดุอื่นๆ เก็บไว้ คัมภีร์อัลกุรอาน มีความหมายทางภาษาว่า “คัมภีร์ที่ถูกอ่าน” มี๓๐ ภาค (ญุซอ์) ๑๑๔ บท (ซูเราะห์) และ ๖,๒๓๖ วรรค (อายะห์) เป็น
แนวทางการปฏิบัติสำหรับบุคคลและสังคม มีคำสอนเกี่ยวกับการทำความดี การดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน การแต่งงาน ความตาย อาชีพ การทำมาหากิน รวมทั้งมีเรื่องวิทยาศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมไว้อย่าง
ครบถ้วน ภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์อัลกุรอาน คือ ภาษาอาหรับ ข้อความ ในคัมภีร์เป็นภาษาที่ไพเราะ มิใช่ร้อยแก้ว และมิใช่ร้อยกรอง แต่ก็มีสัมผัส ในแบบของตัวเอง
ปัจจุบันนี้ได้มีการแปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก มุสลิมถือว่าทุกคำและทุกตัวอักษรของคัมภีร์อัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์
และเป็นความจริงที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมนูญสำหรับชีวิต
หลักการพื้นฐานอิสลาม
หลักการพื้นฐานของอิสลามคือหลักทางด้านศาสนา อันประกอบด้วย หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) หลักปฏิบัติศาสนกิจ (อัรกานุลอิสลาม) และ หลักศีลธรรม (เอี๊ยะห์ซาน)
โฆษณา