16 ธ.ค. 2022 เวลา 12:56 • ปรัชญา
ตัวตนและความตายของคนไม่มีศาสนา?
45
คำถามที่ว่า “ คนไม่มีศาสนาตายไปจะทำอย่างไรกับศพ? ” เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคำถามยอดฮิตเลยก็ว่าได้ อาจเป็นเพราะว่าในสังคมไทยส่วนมากไม่ค่อยคุ้นชินกับแนวคิดเรื่องการไม่นับถือศาสนา หรือไม่เข้าใจภาวะของการไม่นับถือศาสนา จึงทำให้ไม่เข้าใจการจัดงานศพของคนไม่มีศาสนาว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ทั้งไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยรู้จัก
35
ก่อนอื่นต้องบอกว่าในสังคมไทยไม่ได้มีที่ยืนให้คนไม่มีศาสนา เพราะด้วยวัฒนธรรมของสังคมไทยศาสนามีอิทธิพลสูงอย่างมาก และมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนในสังคม ทั้งประเทศไทยยังมีศาสนาเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของประเทศ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการเรียกร้องในด้านเสรีภาพหรือความเสมอภาคทางความเชื่อของคนที่ไม่มีศาสนา จึงเหมือนว่าคนที่ไม่มีศาสนาไม่มีตัวตนในสังคมไทย
19
หรือในทางการเมือง ตั้งแต่อดีตไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนที่ประกาศตนว่าเป็นคนไม่มีศาสนาหรือพูดถึงปัญหาเรื่องความเสมอภาคในเรื่องนี้ หรือบุคคลสาธารณะที่ประกาศตนชัดๆและแสดงออกเรียกร้องในที่สาธารณะ หรือตอนเกิดมาในบัตรประชาชนก็กำหนดไว้แล้วว่านับถือศาสนาอะไร หรือถ้าพ่อแม่นับถือศาสนาอะไรก็จะต้องนับถือศาสนานั้นไปโดยปริยาย
16
แม้แต่ในโรงเรียนเองก็มีการปลูกฝังค่านิยมทางศาสนาอย่างเช่น เพลงเด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน ข้อที่หนึ่งเลยต้องนับถือศาสนา ถ้าเด็กที่เป็นเด็กดีต้องนับถือศาสนากลับกันถ้าเด็กที่ไม่มีศาสนาก็จะกลายเป็นเด็กไม่ดี ซึ่งรวมไปถึงบริบททางสังคมว่าคนไม่มีศาสนาก็เป็นคนไม่ดีไปโดยปริยาย หรือในวิชาเรียนส่วนใหญ่ก็มีวิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาบังคับในโรงเรียน มีการสวดมนต์,ทำกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียนโดยส่วนใหญ่ มีกิจกรรมที่เป็นวันสำคัญทางศาสนาในโรงเรียน
19
หรือแม้แต่การสมัครงานเองก็ตามถ้าไปกรอกใบสมัครงานว่าไม่มีศาสนายิ่งในงานราชการต้องบอกเลยว่าเขาไม่รับ แม้แต่เอกชนบางแห่งเองก็ตาม หรือถ้ามีใครนับถือศาสนาแปลกๆ,ศาสนาที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ก็มักจะโดนเลือกปฏิบัติ หรือการไปทำบัตรประชาชนเองก็ตามถ้านับถือศาสนาที่รัฐรับรองก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปบอกว่าไม่มีศาสนาก็ไม่มีช่องให้ใส่ ก็คือต้องเว้นว่างไว้ หรือยิ่งไปกว่านั้นคือมีปัญหากับคนออกบัตรซึ่งไม่มีความเข้าใจ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติและเสียสิทธิทั้งๆที่ไม่ควรจะเสีย
13
คนที่ไม่มีศาสนาจึงไม่มีตัวตนในสังคมและไม่มีที่ยืนให้กับคนไม่มีศาสนา ถ้าเป็นในประเทศทางตะวันตกเสรีภาพทางความเชื่อถือเป็นเรื่องปรกติมากๆและถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานในความเชื่อของตน ในสังคมไทยถึงรัฐธรรมนูญบอกให้สิทธิ์แต่ในภาคปฏิบัตินั้นไม่ได้หรือมากไปกว่านั้นคือเกิดปัญหา และเสียงดังกว่ากฎหมายเพราะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมในสังคม
14
ในเมื่อการเกิดก็ไม่มีตัวตนให้คนที่ไม่มีศาสนา ในโรงเรียนก็ไม่มี การทำงานก็ไม่มี และมาถึงเรื่องการจัดงานศพก็ยิ่งมีปัญหาไปใหญ่ ก่อนจะไปเรื่องงานศพเรามาทำความเข้าใจแนวคิดของการไม่มีศาสนากันก่อน และในเมื่อเข้าใจนิยามของการไม่นับถือศาสนาแล้ว จึงมาเข้าเรื่องความตายของคนไม่มีศาสนาว่าถ้าคนเหล่านี้จะจัดงานศพจะมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างไร
4
นิยามของคำว่าไม่มีศาสนาในสมัยนี้มีความหมายหลากหลายรูปแบบจากเมื่อก่อนมาก การนิยามศัพท์อย่างกว้างๆที่เรียบง่ายที่สุดของคำว่าไม่มีศาสนาคือ ireligion หรือที่เป็นศัพท์ภาษาไทยว่า อศาสนา คือการไม่สังกัดตนในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และคนที่ไม่มีศาสนาก็มีแบ่งเป็นกลุ่มแยกย่อยตามภาวะความเชื่ออีกอย่างเช่น
5
Atheism (อเทวนิยม) ที่เชื่อว่าพระเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติไม่มีอยู่จริง
Agnostic (อไญยนิยม) ที่เชื่อว่าเรื่องพระเจ้าเรื่องเหนือธรรมชาติไม่สามารถพิสูจน์ได้ หรือนิยามง่ายๆว่าไม่รู้จึงไม่ปักใจเชื่อ
Multi faith (มัลติเฟส) คือการพร้อมที่จะรับได้หลายๆความเชื่อหลายๆคำสอน แต่ไม่สังกัดตนกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และยังมีการแบ่งอีกหลากหลายรูปแบบ
5
ความจริงแล้วเรื่องการจัดการศพของคนไม่มีศาสนาควรจะต้องไม่มีปัญหาและง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะไม่มีข้อจำกับผูกมัดโดยกรอบของศาสนาและความเชื่อในพิธีกรรมต่างๆ จึงสามารถออกแบบการจัดการศพของตนได้ว่าต้องการให้เป็นอย่างไร
แต่ปัญหาของการจัดการศพจะอยู่ที่ญาติเสียมากกว่า ไม่ว่าคนตายจะนับถือศาสนาอะไร แต่พอศพถึงมือญาติเขาย่อมนำไปทำพิธีกรรมอย่างที่เขาเชื่อ หรืออาจกลัวว่าคนในชุมชนจะมองไม่ดีหรือมากไปกว่านั้นคือคนในชุมชนเกิดการรังเกียจเพราะไม่ปฏิบัติตามกรอบของจารีตประเพณีของคนในชุมชน ดังนั้นปัญหาการจัดการศพนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ตายจะขึ้นอยู่กับญาติเสียมากกว่า ถ้าคนตายไม่ได้คิดอะไรซึ่งก็คิดอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องทำใจเพราะญาติเขาย่อมนำไปประกอบพิธีแบบที่เขาเชื่อ
แต่ถ้าผู้ตายบอกว่าไม่ได้ ผู้ตายมีเจตจำนงที่แน่วแน่ว่าไม่ต้องการให้นำพิธีกรรมทางศาสนามาจัดการศพของตน ก็ควรทำเป็นเอกสารหรือรูปแบบพินัยกรรมเพื่อแสดงเจตจำนงในการจัดการศพไว้
ในสังคมไทยการจัดการศพโดยส่วนมากก็จะมีอยู่สองรูปแบบ คือการฝังและการเผา ซึ่งในสังคมไทยไม่มีวัฒนธรรมการจัดการศพในรูปแบบอื่นๆเช่น การนำศพไปลอยในแม่น้ำ หรือการปล่อยให้นกหรือสัตว์ต่างๆมาจิกกิน ส่วนใหญ่จึงมีแค่การฝังกับเผา
1
และคำถามคือและคนไม่มีศาสนาจะจัดการศพอย่างไรได้ คำตอบคือได้ทุกอย่างแหละครับ ความจริงแล้วการจัดการศพไม่ว่าเผาหรือฝังนั้นไม่ได้มีนัยยะทางศาสนาเสียทีเดียว การจัดการศพก็คือการจัดการร่างของผู้เสียชีวิต แต่ที่มีความเกี่ยวพันกับศาสนาได้คือการนำพิธีกรรมทางศาสนาหรือความเชื่อต่างๆมาครอบการจัดการศพไว้
การจัดการศพกับพิธีกรรมทางศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องเดียวกันเสียทั้งหมด
ดังนั้นการจัดการศพของคนไม่มีศาสนาจึงสามารถฝัง,เผาได้แบบปรกติทั่วไป เพียงแค่ไม่ต้องมีพิธีกรรมทางศาสนาเช่น ไม่ต้องมีพระมาสวดหรือไม่ต้องมีนักบวชมาเป็นศาสนบริกรเป็นต้น และก็ชำระค่าบริการตามปรกติ
ส่วนเรื่องของสถานที่ของการจัดการศพนั้น ต้องบอกว่าในประเทศไทยส่วนมากไม่มีฌาปนสถานกลางหรือเป็นฌาปนสถานที่ไม่ขึ้นกับศาสนาใดๆเลยเหมือนในต่างประเทศ ฌาปนสถานที่มีอยู่มากในปัจจุบันก็เป็นวัดซึ่งมีเป็นจำนวนมาก หรือทำการฝังที่สุสานก็ต้องหาเช่าสุสานตามสถานที่ต่างๆ หรือต้องมีที่ดินในการจัดการศพตามกฎหมาย
1
ผู้ที่ไม่นับถือศาสนานั้นรากฐานความคิดทางปรัชญาคือ “สสารนิยม” (materialism) ซึ่งหมายความว่า แนวคิดนี้ไม่เชื่อว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิต ชีวิตเป็นเพียงการประกอบขึ้นของวัตถุสสารเท่านั้น เมื่อตายก็เพียงการแตกดับของวัตถุสสาร จึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโลกหน้าแต่อย่างใด ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับวิทยาศาสตร์
2
หรือที่เป็นทางออกที่ดีของคนไม่มีศาสนาคือการบริจาคร่างกายเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่เป็นทางออกที่ดีเพราะในเมื่อคนที่ไม่มีศาสนาโดยพื้นฐานแล้วไม่มีความเชื่อในเรื่องโลกหลังความตาย การตายจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ ดังนั้น ความตาย สำหรับผู้ไม่มีศาสนาจึงเป็นเพียงการที่ร่างกายได้หยุดทำงานตามหน้าที่ของมัน ซึ่งการบริจาคร่างกายจึงทำให้การตายนั้นเกิดประโยชน์ได้
1
และการจัดการศพที่น่าสนใจและไม่เกิดโทษต่อธรรมชาติ ในประเทศทางฝั่งตะวันตกได้มีการเริ่มจัดการศพลักษณะนี้กันมากโดยเฉพาะคนไม่มีศาสนาคือการนำร่างฝังและปลูกต้นไม้ทับ ซึ่งเป็นการจัดการศพที่เป็นประโยชน์ต่อธรรมชาติ และร่างกายมนุษย์นี่แหละเปรียบเสมือนปุ๋ยชั้นดี มีทั้งสารอาหารต่างๆ น้ำ ไนโตรเจน ฯลฯ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเหมือนการปลูกต้นไม้ นิยามง่ายๆคือต้องการที่จะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบๆ ไม่เกิดโทษและไม่ทำร้ายโลกนั่นเอง
14
หรือล่าสุดมีการเสนอวิธีทำเป็นปุ๋ย โดยใช้กระบวนการทางเคมีเพื่อย่อยสลายร่างกายให้กลายเป็นแร่ธาตุจำนวนไม่มาก ไม่เปลืองทรัพยากรและไม่ใช้พื้นที่อะไรในการจัดการ
9
และในประเทศไทยควรมีฌาปนสถานที่ไม่ขึ้นกับความเชื่อทางศาสนาใดๆ และสามารถรองรับการจัดงานในทุกรูปแบบได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาหรือไม่นับถือ และแนวโน้มในหลายประเทศการจัดการศพแบบเรียบง่ายและเป็นทางโลกนั้นกำลังเกิดขึ้นจริง และเป็นทางเลือกที่หลายคนเลือกที่จะจากไปโดยไม่มีพิธี ซึ่งเป็นทางเลือกและประโยชน์ให้กับผู้คนร่วมสมัย ที่มีผู้ไม่นับถือศาสนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
17
โฆษณา