17 ธ.ค. 2022 เวลา 07:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
การแคนเซิล Warrior Nun เป็นหลักฐานยืนยันว่า Netflix เกลียดแซฟฟิก
เราไม่สามารถประนีประนอมกับถ้อยเหล่าความนี้ได้ เมื่อ Warrior Nun ไม่ใช่ซีรีส์แซฟฟิกเรื่องแรกที่ถูก Netflix ยกเลิก ไม่ใช่เรื่องแรกของปี 2022 และจะไม่มีวันเป็นเรื่องสุดท้ายหากอคติที่มีต่อแซฟฟิกยังคงอยู่
NOTE: 'Sapphic' หรือ 'แซฟฟิก' เป็นคำที่ให้ความหมายครอบคลุมคนที่เป็นผู้หญิงและรักผู้หญิง (Woman Loving Woman: WLW) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิงอย่างเดียว แต่รวมทั้งเลสเบียน ไบเซ็กชวล แพนเซ็กชวล ออมนิเซ็กชวล เควียร์ และนอนไบนารี กลับกันทางฝั่งของผู้ชายที่รักผู้ชาย (Man Loving Man: MLM) จะใช้คำว่า Achillean/อคิลเลียน/อคิลลีน
(อ้างอิง: the noize magazine)
เมื่อคืนวันพุธที่ 16 ที่ผ่านมา Simon Barry โชว์รันเนอร์ของ Warrior Nun ได้ประกาศผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัวว่า 'Netflix จะไม่ต่ออายุซีรีส์ Warrior Nun พร้อมทั้งขอบคุณแฟนๆ ทีมงานและนักแสดงที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกัน'
แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีการประกาศจาก Netflix อย่างเป็นทางการหรือแจ้งเหตุผลให้แฟน ๆ ได้ทราบว่าทำไมซีรีส์เรื่องนี้จึงถูกยกเลิกหลังผ่านมาได้ 2 ซีซันโดยที่เนื้อเรื่องยังไม่จบ
แต่แล้วในวันเดียวกัน(เวลาฝั่งไทย) Netflix ก็ได้ประกาศต่ออายุซีรีส์อคิลเลี่ยนให้ได้จบจนถึงซีซัน 3 โดยเมื่อก่อนหน้าไม่นานก็ได้มีการประกาศต่ออายุซีรีส์อคิลเลียนอีกเรื่องทีเดียวถึง 2 ซีซันรวด โดยทั่งสองเรื่องนี้มียอดการับชมที่ต่ำกว่า Warrior Nun
เท่ากับว่ามีซีรีส์อคิลเลียนได้ไปต่อและแซฟฟิกต้องจบลง ยิ่งชัดพิสูจน์ว่า 'Netflix เกลียดซีรีส์แซฟฟิก' นั้นเป็นความจริง เมื่อความนิยมที่ปรากฎไม่ได้ช่วยให้ซีรีส์แซฟฟิกได้ไปต่อเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจาก Netflix เองก็ยังไม่กล้าพอจะประกาศหรือออกมาให้เหตุผลอะไร ลุง Simon เองก็กำลังพยายามหาคำตอบและเหตุผลของเรื่องนี้อยู่ แต่ความเห็นของผู้ชมก็แทบจะไปในทางเดียวกัยจากความสงสัยเดิมที่สั่งสมมานาน จึงเกิดเป็นข้อสังเกตขึ้นมาหลายข้อด้วยกันว่า Netflix เกลียดแซฟฟิกจริง ๆ เราไม่ได้คิดไปเอง
1. ซีรีส์โหด ไม่โปรโมท เพราะรอยกเลิก?
Warrior Nun ซีซัน 2 เปิดตัวโดยไม่ได้รับการโปรโมทใด ๆ เลยจาก Netflix ยืนยันจาก Simon เองว่า Warrior Nun ใช้เงินโปรโมทไปทั้งสิ้น 0$
ข่าวสารทั้งหมดในซีซัน 2 นั้นมาจากการที่ผู้ชม ทีมงาน นักแสดงโปรโมทกันเอง (KTY ทรงงานหนักมาก ออกสัมภาษณ์ทั่วราชอาณาจักร) ไม่มีป้าย ไม่มีแจ้งเตือน ไม่มีการเปิดตัว ไม่มี Talk ไม่มี bloopers ไม่มีอะไรเลย นอกจากดอดเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้ข่าวจากแฟนๆ ว่า Warrior Nun 2 เข้าแล้วล้าหลังไปถึงหนึ่งอาทิตย์เต็ม เพราะมันเงียบมากจริง ๆ หลังจากนั้นก็ยังเห็นผู้ชมอีกจำนวนหนึ่งที่ตั้งคำถามทำนองเดียวกันว่า 'อ้าว เรื่องนี้มีซีซัน 2 แล้วเหรอ? นึกว่าจะไม่มีภาคต่อซะแล้ว' หรือไม่ก็สงสัยว่า 'เรื่องนี้คือเรื่องอะไร'
แต่ถึงอย่างนั้น Warrior Nun 2 ก็ยังมีผู้ชมและจำนวนชั่วโมงการสตรีมมิ่งติด top 10 นานถึง 3 สัปดาห์ เป็นที่นิยมใน 70 ประเทศ ซึ่งมีฐานผู้ชมและได้รับความนิยมมากกว่า The Young Royal ที่ได้ไปต่อซีซัน 3 อย่างเทียบไม่ได้
ทั้งนี้ยังสามารถดึงซีซัน 1 ให้กลับขึ้น top 10 สู้กับซีรีส์ชูสตรีมหรือเรื่องที่มีฐานแฟนคลับหนาที่เข้าชนพร้อมกันได้อย่างไม่น้อยหน้า
Warrior Nun ซีซัน 2 ยังได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์บน Rotten Tomatoes ถึง 100% และจากฝั่งผู้ชม 99% ซึ่งนับว่าป็นสถิติที่สูงสุดในบรรดาซีรีส์ดั้งเดิมของ Netflix และยังมากกว่า Warrior Nun ซีซัน 1 อย่างน่าเห็นได้ชัด
แต่ถึงอย่างนั้นคุณภาพและตัวเลขที่น่าพึงพอใจของ Warrior Nun ก็ไม่มีความหมายเพียงพอสำหรับ Netflix ที่จะให้เรื่องนี้ได้ไปต่อ
การประกาศยกเลิกต่อสัญญา Warrior Nun จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า Netflix ตั้งใจที่จะไม่ต่อสัญาญา Warrior Nun มาตั้งแต่ต้นด้วยการไม่โปรโมท ไม่พยายามขายรายการนี้เลย ไม่ส่งให้นักวิจารณ์รีวิว และให้เข้าชนสตรีมพร้อมซีรีส์ใหญ่อย่าง The Crown, Manifest, Dead to Me ฯลฯ ที่ขนโปรโมทกันมาเต็มคันรถ ซึ่งนับว่าเป็นการพยายามฆ่ากันให้ตายบนจออย่างแท้จริง
แต่เมื่อผลลัพธ์ของ Warrior Nun กลับออกมาดีเกินหน้าเกินตา เหตุผลการยกเลิก Warrior Nun จึงยังเป็นปริศนามาจนถึงตอนนี้
2. สนุกกว่าแต่ไม่ได้ไปต่อ?
เมื่อมองย้อนกลับมาดูที่ตัวเนื้อหาของ Warrior Nun ในซีซัน 1 ค่อนข้างใช้เวลาปูพื้นเรื่องและตัวละครพอสมควร ซึ่งทำให้ไดนามิกของเรื่องราวในซีซัน1 นั้นดำเนินไปช้ากว่า และออกจะเอื่ยยจนดูน่าเบื่อเหมือนอย่างที่หลายคนบ่น...ไม่ต้องห่วงแฟนๆ บางส่วนก็คิดเห็นแบบเดียวกัน แต่....
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการวางรากฐานที่ดีสำหรับซีซันต่อมา เพราะเมื่อซีซัน 2 ปรากฎก็ได้พิสูจน์ว่า Warrior Nun มีการวางบทและตัวละครเอาไว้อย่างละเอียดและใส่ใจมากเพียงใด มีจังหวะความครื้นเครงที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งบท Warrior Nun ซีซัน 2 ยังเขียนเสร็จก่อนซีซัน 1 จะสตรีมด้วยซ้ำ
ตัวเลือกหลายเหตุการณ์ของซีรีส์ถูกเลือกมาอย่างตั้งใจเพื่อสนับสนุนต่อการดำเนินเรื่องโดยเฉพาะ Simon ได้ให้สัมภาษณ์ทางยูทูป(ไม่ใช่ของ Netflix) ว่าเขาไม่ได้พยายามทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครกลายเป็นความพิเศษแฟนตาซี และระวังเรื่องการเซอวิสแฟนๆ เพราะการทำให้ความสัมพันธ์นั้นปกติมากเท่าไหร่ ผู้ชมก็จะเขาถึงมันได้และรักมันเอง
2
ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่ Simon ตั้งใจ ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง พัฒนาการและการเติบโตในหลาย ๆ ด้าน ให้เราเข้าใจและถักทอไปพร้อมตัวละคร เป็นหนึ่งเหตุผลใหญ่ที่ทำให้ Warrior Nun กลายเป็นหนึ่งซีรีส์ทรงคุณค่าที่หาได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน
การยกเลิกสัญญาของ Netflix ไม่เพียงแต่ป็นการจบความสัมพันธ์ของตัวละครและเรื่องราวที่เพิ่งเริ่ม แต่เป็นการปิดฉากซีรีส์น้ำดีที่สร้างขึ้นด้วยความพิพิถันเรื่องหนึ่งไปเลย
(แอบเสียใจแทนบางคนที่ดูมาไม่ถึงซีซัน 2 เราอยากบอกว่ามันดีจริง ๆ)
ตรงนี้จึงเกิดเป็นคำถามในวงการผู้ชมว่า เมื่อซีซัน 2 มันดีและสนุกกว่าซีซัน 1 ขนาดนี้ เพิ่มฐานผู้ชมได้มากขึ้นขนาดนี้ ทำไมหลังซีซัน 2 จบ Warrior Nun จึงถูกยกเลิก แต่ตอนซีซัน 1 กลับได้ต่อสัญญา ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ซึ่งพาเราไปสู่ข้อถัดไป
3. Netflix เกลียดกลัวแซฟฟิก แต่มองไม่ออกว่าตัวละครมันเควียร์มาตั้งแต่ซีซัน 1 เลยได้ต่ออายุมาจนถึงซีซัน 2?
Warrior Nun มีชื่อเล่นที่เรียกกันอย่างขำ ๆ ว่าเป็นซีรีส์ Straight baiting (google it) ซึ่งเป็นการเรียกอย่างเอาคืน Queerbaiting
เนื่องจากตัวละครหลักของเรื่อง Ava มีแฟนหนุ่มในซีซันแรกอย่างออกนอกหน้า ก่อนจะเปิดตัวว่าเป็นไบเซ็กชวลในซีซัน 2 แต่หากตั้งใจดูก็จะพบว่าเรื่องราวใน Warrior Nun อบอวลไปด้วยความเควียร์มาแต่อ้อนแต่ออก
ตัวละครที่เป็นคู่รักแซฟฟิกโผล่มาตั้งแต่ตอนแรกของเรื่อง อย่าง Shotgun Mary และ Sister Shannon (อดีต Warrior Nun) รวมถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดทางที่ตัวละครเกิดความรู้สึกรักกันมีอยู่เต็มไปหมด หรือแม้แต่ฉากเปิดตัวของ Sister Beatrice ที่ลึกซึ้งกินใจให้น้ำหนักอยู่เนินนานชนิดที่อยากตะโกนว่าซีรีย์นี้มันมีแต่เควียร์! และซิสเตอร์คนนี้ก็เควียร์! (อยากรู้ว่ามีคนดูฉากนี้ไม่ออกเยอะแค่ไหน)
แม้จะเต็มไปด้วยรายละเอียดเหล่านี้แต่แฟน ๆ บางส่วนเองยังแอบหวาดกลัวว่า Warrior Nun จะกลายเป็นซีรีส์ Queerbaiting รึไม่ จนกระทั่งการมาถึงของซีซัน 2 ตัวละครจึงถูกยืนยันว่าเป็นเควียร์ล้านเปอร์เซ็นแน่นอน Warrior Nun จึงเป็นซีรีส์แซฟฟิกโดยกำเนิด
และตามสูตร ทันทีที่ตัวละครหลักผู้หญิงประกาศตัวว่าเป็นแซฟฟิก หรือมีคนรักเป็นผู้หญิงด้วยกัน ซีรีส์เรื่องนั้นจะเกิดมาเพื่อถูกยกเลิก แล้ว Warrior Nun ก็ถูกยกเลิกในซีซัน 2 ด้วยความน่ากังขา ดังหลายข้อที่กล่าวไป
ขณะที่ซีรีส์แซฟฟิกส่วนใหญ่ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ซีซัน 1 ว่าเป็นแซฟฟิกนั้น โอกาสไปต่อได้เป็น 0
4. จำนวนซีรีส์แซฟฟิกที่ Netflix ยกเลิกทันทีหลังจบซีซัน 1?
(ซีรีส์แซฟฟิกในที่นี่หมายถึงซีรีส์ที่มี Main Character เป็นแซฟฟิกนะคะ ถ้าใครเอาเรื่องที่มีแซฟฟิกเป็น Side Character หรือมีฉากรวมกันยาวไม่ถึงหนึ่งตอนมาแย้ง รบกวนให้กลับไปพิจารณามาใหม่อีกทีว่าเรากำลังพูดถึงปัญหาเดียวกัน)
ในปี 2022 ปีนี้ปีเดียว มีซีรีส์แซฟฟิก 2 เรื่องที่ถูก Netflix ยกเลิก คือ First Kill และตามด้วย Warrior Nun ...ค่ะ คู่ขนานไปกับอคิลเลียน 2 เรื่องที่ได้ต่ออายุไปจนถึงซีซัน 3 เห็นปัญหาไหมคะ?
แต่ Netflix ไม่ได้ทำแบบนี้เป็นปีแรก เรื่องราวอย่างเดียวกันเคยเกิดขึ้นกับ Gypsy, Sense8, One Day At a Time, Everything Sucks!, I Am Not Okay With This  และ Glow
รายชื่อเหล่านี้คือบรรดารายการที่ถูกยกเลิกทันทีที่ตัวละครหลักกลายเป็นแซฟฟิก บางเรื่องถูกตัดไปทันทีที่จบซีซันหนึ่ง ราวกับว่าซีรีส์แซฟฟิกถูกใช้เป็นเครื่องมือเรียกยอดผู้ชม แต่ไม่ได้รับความเคารพมากพอจะให้สานต่อจนจบเรื่องราว
บางคนอ่านแล้วอาจจะ...'เห้ย มาโวยวายอะไรวะ ถูกยกเลิกมันก็...บลาๆๆ เป็นปกติ บ้างไม่มีคนดู'
แต่ตัวเลขความนิยมและฐานผู้ชม Warrior Nun ไม่ได้บอกแบบนั้น มันบอกว่าแซฟฟิกควรมีเรื่องราวที่ดีสักที และ Netflix เคยพูดสิ่งนี้ไว้ค่ะ
คำโกหกนี้สามารถส่งผลความเชื่อใจของผู้บริโภคหรือผู้ชมที่มีต่อสตรีมมิ่งนั้นลดลงอย่างมาก เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าเมื่อไหร่ซีรีส์ที่รักจะถูกยกเลิกทิ้งขว้างไร้ทางลง โดยเฉพาะกลุ่มแซฟฟิกที่ต้องเจ็บปวดมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วจะต้องมานั่ง #Save กันอีกกี่เรื่องจึงจะพอ
ราวกับว่าพื้นที่บนสื่อเหล่านี้ล้วนถือครองด้วยคู่รักสเตรท และคู่รักอคิลเลียนหรือชายรักชายนั้นก็ยังคงได้รับอนุญาตให้มีอยู่จริง 'บ้าง' ในบางขณะ โดยไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดของการถูกยกเลิกครั้งแล้วครั้งเล่าและเฝ้ามองดูเรื่องราวที่ไม่มีวันจบ
และหลังการยกเลิก Warrior Nun ก็มีผู้ชมจำนวนไม่น้อยปิดบัญชี Netflix ทิ้งด้วยเหตุผลว่า Netflix มักยกเลิกรายการแซฟฟิก (ลองไปส่องในทวีตเตอร์ #SaveWarriorNun ดูได้)
ซีรีส์เรื่องที่เราพอจะนึกออกว่ามีตัวละครหลักเป็นแซฟฟิกและได้เล่าจนจบเรื่องอย่างสมศักดิ์ศรีคือ Orange is the New Black ที่เต็มไปด้วยตัวละครหญิงที่หลากหลายและแซฟฟิกกระจายเต็มเรื่อง จนดูเหมือน Netflix จะลืมไปแล้วว่าใครสร้างพวกเขามา
แต่ทั้งนี้ก็ยังมี Acane ที่ได้ไปต่อเป็นกรณียกเว้นเพราะไม่ใช่ทุนของ Netflix โดยตรง แต่แค่ลงฉายในสตรีมมิ่งเท่านั้น และยังมีอีกเรื่องให้จับตามองต่อไปอย่าง Daughter from another mother ที่บทบาทยังไม่ชัดเจนนัก และอาจจะมีเรื่องอื่น ที่ไม่ถูกกล่วถึงในที่นี้
ตรงนี้จึงเชื่อมไปถึงข้อสันนิฐานก่อนหน้าว่าทำไม Warrior Nun ได้ไปต่อถึงซีซัน 2 ขณะที่ซีรีส์แซฟฟิกส่วนใหญ่ เดี๊ยงกันไปตั้งแต่ซีซันแรก...เพราะความ Slowburn ของมันนั่นเอง แม้จะมาถึงซีซัน 2 แต่ความสัมพันธ์เพิ่งพีฒนามาถึงจุดเริ่มต้น และจบลงไปแล้วด้วยการแคนเซิลของ Netflix
5. Netflix หากินบนอัตลักษณ์ของผู้คนในคอมมูฯ LGBTQIAN+ เพียงเพื่อเม็ดเงิน!
ไม่เห็นมีเกย์เลย
เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่มาพร้อมกันเมื่อ Netflix โปรโมท Wednesday ด้วยหากินบนคำว่า WednesGay และพยายามขายส่งความเป็นเกย์ก่อนซีรีส์จะออก แต่ท้ายที่สุด Wednesday กลับเป็นเพียงรายการ Queerbaiting อีกรายการหนึ่งที่ Netflix กุเรื่องขึ้น โดยมีคู่เกย์โผล่มาในเรื่องรวมกันไม่ถึง 2 นาที
WHAT THA FU*K?
เพราะแม้เรื่องราว Wednesday จะพูดถึงเรื่องของคนชายขอบในโรงเรียนชายขอบ ที่ควรมีแต่คนชายขอบ แต่ชาวเควียร์ในเรื่องนี้กลับเป็นได้แค่เพียงขอบ ของขอบ...ของขอบอีกที เพื่อเอาไว้ใช้หากินตอนโปรโมทซีรีส์เท่านั้น ทุเรศสิ้นดี
ตรงนี้แม้แต่ตัวนักแสดงอย่าง Jenna Ortega เองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องราวรักสามเศร้าหรือแม้แต่คิดเล่น ๆ ว่า Enid น่าจะตกหลุมรัก Wednesday แต่ความคิดเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน ขณะที่ตัวละคร Wednesday เองก็ดูเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่มีความเป็นเควียร์อยู่ชัดเจน
สุดท้ายซีรีส์ Wednesday จึงกลายเป็นเพียงเรื่องของเด็กสาวเบื่อโลกน่าสงสารที่ถูกผู้ชายน่ารำคาญสองคนตอแยและต้องตอบสนองกลับอย่างฝืนทนจนดูผิดธรรมชาติ และตัวละครทุกเกือบทุกตัวในเรื่องดูโคตรเกย์แต่ไม่เกย์ ซึ่งไม่ได้ผิดไปจากเรื่องราวนับร้อยก่อนหน้าที่เคยมีมา และไปไม่ถึงความ Woke อย่างแท้จริง ไม่มีตรงไหน Woke เลย
ที่กล่าวว่าวันพุธคือลูกคนกลางแสนทุกข์ระทมนั้นดูจะไม่ผิดแม้แต่น้อย ใช่ เราสงสารน้องมากและใจหนึ่งก็รอดูว่า Wednesday จะมาแนวเดียวกับ Warrior Nun ไหม
ถึงอย่างไรก็ตาม นี่เป็นความโกรธแค้นของกลุ่มผู้ชมที่ Netflix เอาอัตลักษณ์มาหลอกหากิน แต่ยกเลิกรายการที่นำเสนออัตลักษณ์เควียร์จริง ๆ ทิ้งไปครั้งแล้ว ครั้งเล่า โดยเฉพาะ...แซฟฟิกผู้แสนทุกข์ระทมกว่า
Warrior Nun
Warrior Nun เป็นซีรีส์น้ำดีหายากเรื่องหนึ่งของ Netflix ด้วยตัวบทที่สวยงาม การสร้างตัวละคร ภาพ ซีจี ฉากแอคชั่น และการเขียนตัวละครความเคารพต่อผู้คนในคอมมูฯ LGBTQIAN+ แต่ Warrior Nun กลับไม่ถูกให้ค่ามาพออย่างที่ควรจะเป็น และความเกลียดชังที่มีต่อตัวละครแซฟฟิกก็เป็นที่ยืนยันชัดแจ้งต่อสายตาผู้ชมจำนวนมากในวันนี้
การยกเลิก Warrior Nun เป็นการแสดงให้เห็นชัดว่ามาตรฐานของ Netflix นั้นตกต่ำลง และเป็นการตอกย้ำให้ผู้บริโภคเห็นว่ารายการทีวีของ Netflix ในอนาคตต่อจากนี้ไปจะมีทิศทางเป็นอย่างไร
'เกลียดกลัวแซฟฟิก? ไม่เคารพอัตลักษณ์? เห็นแก่ผลประโยชน์? ขี้โกหก?และเชื่อถือไม่ได้?'
มันน่าโกรธแค้นที่ซีรีส์ที่มีปัญหาหลายเรื่องได้ไปต่อ ประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการข่มขื่น ไม่ยินยอม เรื่องราวของฆาตกรที่ผลิตซ้ำและให้พื้นที่อยู่บนสื่อนับครั้งไม่ถ้วน ต่ออายุซีรีส์เนื้อหาป่วยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เทซีรีส์เนื้อหาดี ๆ ไป และการให้เหตุผลว่าหยุดสร้างซีรีส์ดี ๆ สักเรื่องเพราะมันแพง แต่ลงทุนไปกับซีรีส์เนื้อหาขยะก็ดูจะไม่ใช่วิธีคิดที่ฉลาดเท่าไรนักเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว
Netflix ไม่ใช่สตรีมมิ่งเจ้าเดียวที่มีปัญหากับซีรีส์แซฟฟิก ยังมีอีกหลายสตรีมมิ่งที่ยังต้องสู้รบปรบมือกันขณะที่รายการแซฟฟิกเหล่านั้นหายใจคอรดปริ่มน้ำ และการที่ซีรีส์อคิลเลียนรอดพ้นในวันนี้ก็ไม่ได้ยืนยันอะไรมากไปกว่าการที่นายทุน 'คิดว่า' มันยังทำเงินได้ ด้วยสายตาอคติคู่เดียวกันที่ใช้ตัดสินแซฟฟิก
ก่อนหน้า Warrior Nun ประกาศก็มีประกาศยกเลิก The Bastard Son & The Devil Himself ไปแล้ว (ขอแสดงความเสียใจต่อแฟน ๆ ด้วย) ตอนเห็นประกาศว่าโดนยกเลิก เรารู้ตัวเลยว่าถ้า The Bastard Son & The Devil Himself ไม่รอด Warrior Nun คงยาก
วันนี้การต่อสู้ของ Warrior Nun ไม่ได้เป็นเพียงแค่การต่อสู้ของแฟนๆ เพื่อเรียกร้องเอาซีรีส์เรื่องหนึ่งกลับมาเท่านั้น แต่เป็นการประกาศกร้าวถึงการมีอยู่จริงของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะแซฟฟิก ประกาศกร้าวให้อัตลักษณ์ของพวกเราถูกปฎิบัติอย่างเคารพและถูกต้อง และประกาศกร้าวให้โลกนี้เห็นว่าเราไม่ใช่เครื่องมือหาเงิน แต่เรามีตัวตนจริง ๆ
ใครอ่านมาถึงตรงนี้ได้แปลว่าสนใจอย่างมาก ถ้าต้องการจะช่วยเหลือรายการน้ำดีหายากยิ่ง(ยากจริงๆ) อย่าง Warrior Nun สามารถไปร่วมลงชื่อกันได้ที่ลิ้งด้านล่าง และถ้าไม่เคยลงชื่อร่วมแคมเปญกับเว็บนี้มาก่อน เช็คให้แน่ใจหลังลงชื่อว่าได้รับอีเมลตอบรับไหมและอย่าลืมกดยืนยันด้วย สำคัญมาก
เมื่อลงชื่อแล้ว ยังสามารถช่วยกันส่งเสียงอีกทางด้วยการติด #SaveWarriorNun ในทุกแพลตฟอร์มที่คุณไป บ่อยได้ตราบเท่าที่ยังหายใจอยู่
'IN THIS LIFE AND THE NEXT'
ปล.รอฟังเหตุผลการประกาศยกเลิกของ Netflix อยู่นะครับ
โฆษณา