1 ม.ค. 2023 เวลา 11:00 • สุขภาพ

ธรรมชาติของ”โรคและความเจ็บป่วย”... สิ่งที่หมอได้เรียนรู้ จากการเป็นหมอมากว่า10ปี

เป็นหมอมาก็กว่าสิบปีแล้ว ได้พบเจอผู้ป่วยมาเป็นหมื่นเป็นแสนคน หมอใช้เวลานานพอสมควรเลยกว่าจะได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญมากๆอย่างหนึ่ง…
2
ดังนั้นหมออยากให้ทุกคนที่เผลอมาเห็นบทความนี้ ทนเสียเวลาอ่านมันต่อจนจบหน่อยนะครับ สำหรับหมอ มันเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ หมอใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้เรียนรู้และตระหนักถึงมันอย่างจริงๆ
บางที เราก็อาจมีความกลัวโรคและความเจ็บป่วยกันน้อยเกินไปได้เหมือนกัน เพราะหลายๆคนก็ไม่ได้คาดหวัง ว่าเราจะต้องแข็งแรงอะไรมากมาย ว่าจะต้องอายุยืนนานอะไรกันสักเท่าไหร่ ใช่ไหมล่ะครับ
เราอาจขอใช้ชีวิตวันนี้อย่างมีความสุขดีกว่า ดีกว่าการใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อ กับการมาลำบากเข้มงวดกินอาหารดีๆที่ไม่อร่อย เข้มงวดออกกำลังกาย พยายามลดความอ้วน พยายามเลิกเหล้าเลิกบุหรี่…
หมอเองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันล่ะครับ และคุณเองก็มีเพื่อนอีกมากมาย เพราะคนกลุ่มนี้ ก็คือผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมรอบตัวของเรานี่ล่ะครับ
จนกระทั่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่หมอได้เรียนรู้สิ่งที่สำคัญมากๆสิ่งหนึ่งอย่างตกผลึก..
ธรรมชาติของโรคและความเจ็บป่วย…
พวกมันมักไม่จบในวันเดียว แต่มักนำมาสู่ความทรมานหลายปีก่อนเสียชีวิตจริงๆ
ความทรมานที่ทั้งคนไข้ และคนในครอบครัวคนไข้จะต้องมาพบเจอ…
1
มันจะเป็นเรื่องน่ายินดีกว่านี้นะครับ ที่โรคต่างๆ จะทำให้คนไข้เสียชีวิตไปในวันเดียวเลย… แต่ในความจริงแล้วมันกลับตรงกันข้ามเลย ความน่ากลัวของโรคส่วนใหญ่ก็คือ…
มันไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต…
เรามาดูโรคที่พบกันบ่อยๆแล้วกัน(แต่คุณอาจไม่ค่อยได้พบเจอหรอก คนไข้กลุ่มนี้มักอยู่แต่ในบ้านหรือโรงพยาบาล ไม่ค่อยออกมาให้เราเห็นกันเเล้ว)
โรคเส้นเลือดในสมอง อัมพฤกษ์อัมพาตนอนติดเตียง โรคหัวใจล้มเหลว โรคไตวายล้างไต โรคตับแข็ง โรคปอดเรื้อรัง โรคมะเร็งต่างๆ…
หมอสามารถบอกได้ว่า คนไข้ส่วนใหญ่ที่หมอได้พบเจอ จะต้องอยู่กับสภาวะที่ทรมานมากๆไปหลายปี ก่อนเสียชีวิตจริง
นอนติดเตียงกัน 5-10 ปี หัวใจล้มเหลวน้ำท่วมปอดเข้าๆออกๆโรงพยาบาลกันหลายปี ล้างไตกันหลายปีเหลือเกินไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ มะเร็งหลายประเภทก็ตายช้าเสียจริงๆ ค่อยๆกัดกินผู้ป่วย ทรมานเหลือเกิน โรคตับแข็งก็อย่าพูดถึง สุดยอดของความทรมานยิ่งกว่าโรคไต
เวลาเป็นโรคเหล่านี้แล้ว ผู้ป่วยแทบทุกคนจะมีความรู้สึกว่า เมื่อไหร่เราจะได้ไปสบายเสียที ทำไมมันไม่จบเสียที ผ่านมากี่ปีแล้วนะ…
ความตายมันไม่น่ากลัวเลย แต่ความน่ากลัวคือ "ความทรมาน"
และที่สำคัญก็คือ โรคภัยไข้เจ็บ มักไม่ทำให้ผู้ป่วยทรมานเพียง”คนเดียว”
แต่มันจะทำให้คนที่ผู้ป่วยรัก คนในครอบครัวของเขา ต้องมาลำบากดูแลผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
ถ้าผู้ป่วยนอนติดเตียง ใครล่ะ จะเป็นคนป้อนข้าว อาบน้ำ เช็ดปัสสาวะอุจจาระให้ เวลาต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลบ่อยๆ ใครล่ะจะต้องเป็นคนพาไปและนอนเฝ้า โรคเหล่านี้ค่าใช้จ่ายจุกจิกมากมายเพราะมันลากยาวหลายปี ใครล่ะจะเป็นคนจ่าย
ความเครียดและความลำบากหลากหลายรูปแบบ จะถาโถมเข้าสู่ครอบครัวของผู้ป่วย และแม้ว่าผู้ป่วยจะเสียใจมากเพียงใด เสียใจที่ต้องทำให้คนที่เขารักต้องลำบากมากเพียงใด มันก็อาจไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
1
วันที่เขาดูแลตัวเองได้ เขาไม่ทำหน้าที่นั้นด้วยตัวเอง มันเลยกลายเป็นหน้าที่ของคนที่เขารัก ต้องมาทำแทน…
หมอมีโอกาสได้รักษาคุณยายคนนึง เขาเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้คุณยายต้องนอนติดเตียงในช่วงวัย 60 ปี ลูกๆของคุณยายคนนี้สามัคคีกันดูแลคุณยายอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปลื้มใจมากๆจริงๆ
วันนี้คุณยายคนนี้นอนติดเตียงมา 10 ปีแล้ว และยังดูเหมือนว่าจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี แต่คุณยายนอนร้องไห้ทุกวัน...
คุณยายพูดไม่ได้แล้ว แต่ทุกๆคนต่างเข้าใจ เข้าใจว่าคุณยายรู้สึกเสียใจมากแค่ไหน ที่ต้องทำให้ลูกๆของตนเองต้องมาลำบากกันมากแบบนี้
พวกคุณก็คงรู้ใช่ไหมล่ะครับ ว่าคุณยายคนนี้ต้องการอะไรมากที่สุดในเวลานี้
แต่คุณยายยังคงไม่ได้มัน เพราะคุณยายอาจยังต้องนอนแบบนี้ไปอีกนาน…
พอมาถึงจุดนี้ ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้ว่า...
ถ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราแค่ลดความสุขจากการกินอาหารตามใจทุกๆวันให้ได้สักหน่อย จะกินอะไรตามใจกันบ่อยๆขนาดนั้น แค่พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็แค่ออกไปวิ่งหน้าบ้าน แค่พยายามลดความอ้วนให้ได้ ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรนักเลย แค่เลิกสูบบุหรี่ หักดิบให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย แค่เลิกดื่มเหล้า เข้าสังคมให้มันน้อยลงบ้าง ให้ได้เนี่ย…
วันนี้…
วันนี้ เราจะไม่มานั่งทรมานกันแบบนี้…
วันนี้ เราจะไม่ต้องทำให้คนที่เรารัก ต้องมาลำบากกันมากแบบนี้…
คนไข้ส่วนใหญ่ที่จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มักเป็นคนที่เป็นโรคอะไรบางอย่างที่ทรมานไปเรียบร้อยแล้ว
วันที่คนเราใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรามักจะยังไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้…
ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ต้องอยู่ร่วมกับความทรมานในบั้นปลายชีวิต… พวกเขาทุกคน เคยผ่านช่วงชีวิตหลายปีที่ปกติสุขมาก่อนทั้งนั้น พวกเขาได้เรียนรู้ “ธรรมชาติของโรคและความเจ็บป่วย” ช้าเกินไป
มันเลยทำให้หมอได้เรียนรู้ว่า “เราไม่ได้ต้องมาดูแลสุขภาพ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง” หรอกครับ
เราไม่ได้ต้องการแข็งแรงอะไรกันมากมาย หรืออายุยืนยาวอะไรกันไปมากมาย เราไม่ได้ต้องดูแลสุขภาพเพื่อสิ่งนั้น สำหรับหมอ (เน้นว่าสำหรับหมอนะ เป็นความคิดของหมอ คนอื่นคิดไงไม่รู้)
เราดูแลสุขภาพเพื่อ 2 เหตุผล…
“หนึ่ง เราดูแลสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยง ที่จะทำให้เราไปพบเจอกับความทรมานในบั้นปลายชีวิต”
“สอง เราดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ให้คนที่เรารัก ครอบครัวของเรา ต้องมาทรมานลำบากดูแลผู้ป่วย ซึ่งก็คือตัวเรา”
บางคนอาจมองว่าหมอพูดเว่อร์วังเกินไป ก็นั่นล่ะครับ อย่างที่หมอได้บอกไป...
คนส่วนใหญ่ที่จะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ มักเป็นคนที่เป็นโรคอะไรบางอย่างที่ทรมานไปเรียบร้อยแล้ว
คนส่วนใหญ่ต้องรอให้มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและครอบครัว ถึงได้เรียนรู้ว่า เราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรตัวเองบางอย่างแล้ว แต่บางครั้งมันก็อาจสายเกินไปแล้วได้เหมือนกัน
เรื่องเหล่านี้คือความจริง หมอได้เห็นมันมาตลอดชีวิตการทำงาน อย่ารอพิสูจน์มันด้วยตัวเองเลยครับ
เอาล่ะ ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ มันก็อาจเป็นเรื่องที่คุณรู้ดีกันอยู่แล้วก็ได้ล่ะครับ เพราะว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องซับซ้อนเข้าใจยากอะไร แต่หมอเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป
เราพยายามมองข้ามมันไป เพราะมันเป็นความจริงที่น่ากลัวเกินไป...
เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง เราทุกคนกลัวมัน แต่เรากลัวไม่จริง…
เรากลัว แต่เราพยายามมองข้ามมัน เรากลัว แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง…
หมอไม่ได้เขียนบทความมานาน กลับมาเขียนใหม่ เพราะอยากเขียนเรื่องนี้ และก็มีอีกหลายๆเรื่องที่อยากเขียนเหมือนกัน ไว้ว่างๆจะมาเขียนต่อนะครับ
📥Healthstory - เรื่องสุขภาพ ง่ายนิดเดียว : นพ.เวชกร รัตนนิธิกุล
อย่าลืมกดLike&Shareด้วยนะครับ^^
โฆษณา