31 ธ.ค. 2022 เวลา 15:43 • การศึกษา
ภัยของมนุษย์
ทันทีที่เกิดมาลืมตาดูโลก เราก็ต้องผจญกับภัยต่างๆ นานาชนิดที่พร้อม จะเอาให้ถึงตายอยู่ทุกวินาที เหมือนว่ายน้ำท่ามกลางความมืดอยู่กลางทะเล มหาโหด ภัยทั้งหลายเหล่านี้แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ภัยภายใน พอเกิดมาเราก็มีภัยชนิดนี้มาคอยดักรุมล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ข้างหลัง คือชาติภัย ภัยจากการเกิด
ข้างขวา คือชราภัย ภัยจากความแก่
ข้างซ้าย คือพยาธิภัย ภัยจากความเจ็บ
ข้างหน้า คือมรณภัย ภัยจากความตาย
ภัยเหล่านี้รุมล้อมเราทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง ทุกด้านเลยทีเดียว ใครๆ ก็ หลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ภัยภายนอก มีอยู่นับไม่ถ้วน เช่น
 
- ภัยจากคน เช่น ผัวร้าย เมียเลว ลูกชั่ว เพื่อนที่ไม่ดี คนพาล คน เกเร นับไม่ถ้วน
-ภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า
-ภัยจากบาปกรรมตามทัน ถูกล้างผลาญทุกรูปแบบ เคยเบียดเบียนสัตว์ก็ทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย พิการ เคยโกหกไว้มากก็ทำให้ความจำเลอะเลือน ไปลักขโมยโกงเขา เขาจับได้ถูกขังคุกลงโทษ ก็สารพัดล่ะ ฯลฯ
ทำไมเราจึงต้องพบกับภัยเหล่านี้ ?
การที่เราต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ก็ยังต้องรับทุกข์รับภัยกันอยู่ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านๆๆๆ ชาติมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะถูกผูกด้วย โยคะ แปลว่า เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1.กามโยคะ คือความยินดีพอใจในกามคุณ อยากฟังเพลงเพราะๆ อยากกินอาหารอร่อยๆ ได้สวมใส่เสื้อผ้าสวยๆ นุ่มนวลสวมสบาย อยากเห็น รูปสวยๆ ได้สัมผัสที่นุ่มนวล ได้แฟนสวยๆ มีสมบัติเยอะๆ ความใคร่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหมือนเชือกเกลียวแรกที่ผูกมัดตัวเราไว้
2.ภวโยคะ คือความยินดีพอใจในรูปฌานและอรูปฌาน คนที่พ้นเชือกเกลียวแรก พ้นกามโยคะมาได้ ก็มาเจอเชือกเกลียวที่ 2 นี้ คือเมื่อได้เจอความสุขจากการที่ใจเริ่มสงบ ทำสมาธิจนได้รูปฌานหรืออรูปฌานก็พอใจ ยินดีติดอยู่ในความสุขจากอารมณ์ของฌาน ตายไปก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรือ อรูปพรหม ซึ่งก็ยังไม่พ้นภัย หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดเจอภัยกันอีก นี่เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 2
3.ทิฏฐิโยคะ คือความยึดถือความคิดเห็นที่ผิดๆ ของตนเอง เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตนบ้าง เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มีจริงบ้าง เห็นว่าตนเองจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนบ้าง ใจยังมืดอยู่ ยังไปหลงยึดความเห็นผิดๆ อยู่ สิ่งนี้เลยเป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 3
4.อวิชชาโยคะ คือความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม ความสว่างของใจยังไม่พอ ยังไม่เห็นอริยสัจ 4 ไม่เห็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย นี่ก็เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 4
ทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นเหมือนเชือก 4 เกลียว ที่ผูกมัดตัวเราไว้กับภพ ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารโดยไม่รู้จบสิ้น ทำให้ต้องมาพบกับภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุดทีเดียว
จิตเกษม คือ อะไร ?
เกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส มีความสุข
จิตเกษม จึงหมายถึง สภาพจิตที่หมดกิเลสแล้ว โยคะเครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ เชือกทั้ง 4 เกลียว ได้ถูกฟันขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จิตเป็นอิสระ เสรี ทำให้คล่องตัวไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใดๆ มาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุขอย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่จะมีจิตเกษมได้อย่างแท้จริง คือผู้ที่มีใจจรดนิ่งแช่อิ่มอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ซึ่งก็ได้แก่พระ-อรหันต์นั่นเอง
จิตของพระอรหันต์นั้น นอกจากจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังทำให้มีความรู้ความสามารถพิเศษอีกหลายประการ เช่น
อภิญญา 6
อภิญญา 6 คือความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่
1.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่างๆ ย่อ-ขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
2.ทิพยโสต มีหูทิพย์
3.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
5. จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพย์
6. อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไปได้
ในอภิญญา 6 นี้ 5 ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ 6 เป็นโลกุตตร-อภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่าหรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้นๆ แล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง
พระอรหันต์บางรูปได้คุณสมบัติหมดกิเลสได้วิชชา 3 แต่ไม่ได้อภิญญา 6 เนื่องจากแม้จะฝึกตนเองข้ามภพข้ามชาติมาพอสมควร แต่ไม่ได้ทำอย่าง อุกฤษฏ์ คือไม่ได้ทำถึงขั้นสูงสุด จึงเพียงแต่หมดกิเลส อย่างไรก็ตาม พระ-อรหันต์ทุกรูปจะต้องได้วิชชา ๓
วิชชา 3
วิชชา ๓ คือความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซึ้งด้วยปัญญา ได้แก่ ญาณ คือความหยั่งรู้เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิ ภาวะที่เรียกว่า ภาวปัญญาซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรมมรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนายมปัญญานี้เท่านั้น พระสัมมา- สัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ ภาวนายมปัญญา บรรลุวิชา 3นี้ ในวันตรัสรู้ธรรมวิชชา 3มีดังนี้ ซึ่งเกิดจากการทำสมาธิสุดยอดเข้าถึงธรรมกาย คือ
1.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติตัวเองได้
2.จุตูปปาตญาณ คือตาทิพย์ ระลึกชาติคนอื่นได้
3.อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส
ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น บางรูปมีญาณแก่กล้าขึ้นไปอีก คือบางรูปได้อภิญญา 6 บางรูปได้วิชชา 8 บางรูปได้ปฏิสัมภิทา 4
วิชชา 8
วิชชา 8 คือความรู้แจ้ง หรือความรู้วิเศษ 8 อย่าง คือ
1.วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์
2.มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ
3. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่างๆ ย่อ-ขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
4.ทิพยโสต มีหูทิพย์
5.เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
6.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
7.ทิพยจักษุ มีตาทิพย์
8.อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำกิเลสให้สิ้นไปได้
ปฏิสัมภิทาญาณ 4
ปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่
1.อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร
2.ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม สามารถสรุปข้อความ ได้อย่างกระชับเก็บความสำคัญได้หมด
3.นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือแตกฉานเรื่อง ภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้
4.ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิ-ภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง
การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีจิตเกษมปลอดภัยจากภัยต่างๆ และมีความรู้พิเศษสุดยอด ตามเยี่ยงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้
เจริญพร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา