26 ธ.ค. 2022 เวลา 03:30 • ธุรกิจ
รู้จัก Family Office องค์กรบริหารทรัพย์สิน ของคนรวย
1
หากใครเคยดูละครเรื่อง “เลือดข้นคนจาง” หรือซีรีส์เกาหลียอดฮิตอย่าง “Reborn Rich” น่าจะเคยเห็นถึงความขัดแย้งเรื่องการสืบทอดกิจการ และการแบ่งมรดก รวมถึงความขัดแย้งเรื่องอื่น ๆ ในครอบครัวใหญ่ จนส่งผลต่อการบริหารธุรกิจในเครือ
แต่รู้หรือไม่ว่า มีวิธีหนึ่งที่คนรวยหลายคนใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้
โดยวิธีดังกล่าวก็คือ การตั้ง สำนักงานครอบครัว หรือ Family Office ขึ้นมา เพื่อให้มาบริหารจัดการทรัพย์สิน
และถ้าหากคุณสงสัยว่า Family Office คืออะไร BillionMoney จะย่อยให้ฟัง ในแบบที่เข้าใจง่าย ๆ
Family Office หรือ สำนักงานครอบครัว เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อบริหารทรัพย์สิน ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย รวมถึงการดูแลเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น การจองที่พัก การจัดหาผู้ช่วยส่วนตัว และงานการกุศล เป็นต้น
1
ทั้งนี้ การจัดตั้ง Family Office แห่งแรก เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา ในปี 1868 โดย Thomas Mellon ผู้ก่อตั้ง Mellon Bank
นอกจากนี้ มหาเศรษฐีชื่อดังอย่าง John D. Rockefeller เอง ก็ได้มีการจัดตั้ง Family Office เพื่อบริหารความมั่งคั่งส่วนตัวที่ได้จากธุรกิจน้ำมัน และบริหารมูลนิธิเพื่อการกุศลของตัวเอง
เป้าหมายหลักของการจัดตั้ง Family Office ไม่ใช่การมุ่งเน้นทำกำไรจากการลงทุน แต่เป็นการรักษาความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของบริษัท
1
รวมถึงเป็นการแยกทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของบริษัท กับทรัพย์สินของบริษัทออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องการนำทรัพยากรของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว จนส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายอื่น หรือฐานะทางการเงินของบริษัท
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ว Family Office ต่างจากการให้บริการของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ของธนาคารอย่างไร ?
ก็ต้องบอกว่า Family Office กับธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ทำหน้าที่เหมือนกันทั้งเรื่องของการวางแผนการลงทุน และการวางแผนส่งต่อมรดก
แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ Family Office จะมีความคล่องตัวในการบริหารมากกว่า เนื่องจากเราสามารถเลือกที่จะบริหารเงินลงทุนได้เอง หรือจะเลือกผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารก็ได้ ในขณะที่การใช้บริการธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของธนาคาร ธนาคารจะเลือกผู้บริหารกองทุนให้เรา
1
นอกจากนี้ การจัดตั้ง Family Office ยังจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่าการใช้บริการบริหารความมั่งคั่งของธนาคารมาก
โดยส่วนใหญ่แล้ว เราควรมีเงินลงทุนอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17,400 ล้านบาท ในการจัดตั้ง Family Office เพื่อให้กำไรจากการลงทุนมากกว่าค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งสำนักงาน
เพราะค่าใช้จ่ายเริ่มแรก จะมีมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายรายปี จะอยู่ที่ประมาณ 0.4-1.2% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด
แต่สำหรับการใช้บริการบริหารความมั่งคั่งของธนาคาร ถ้าหากเรามีเงินลงทุนเริ่มต้นแค่ 50 ล้านบาท ก็สามารถใช้บริการได้แล้ว
1
ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า ผู้ที่สามารถสร้าง Family Office ขึ้นมาได้ จะต้องเป็นเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม เจ้าของธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กก็สามารถนำแนวคิดเรื่องการแยกทรัพย์สินส่วนตัว กับทรัพย์สินของกิจการไปปรับใช้ได้
ทั้งนี้ ตามปกติแล้ว Family Office มักจะถูกจัดตั้งในประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีต่ำ หรือไม่เก็บภาษีเลย ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Tax Haven
เมื่อถึงเวลาโอนทรัพย์สินให้เป็นมรดก หรือได้กำไรจากการลงทุนก็จะได้ไม่ต้องเสียภาษี
อย่างไรก็ตาม การมี Family Office อย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอต่อการส่งต่อมรดกให้ราบรื่น และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในครอบครัว ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
สิ่งที่จำเป็นต้องมีอีกอย่าง ก็คือ “ธรรมนูญครอบครัว”
ธรรมนูญครอบครัว เป็นการสร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อกำหนดบทบาท หน้าที่ และสิทธิประโยชน์ ที่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะได้รับจากธุรกิจของครอบครัว
ทั้งนี้ ความขัดแย้งทางธุรกิจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สำหรับคนในครอบครัว จากที่เราได้เห็นมาในซีรีส์ และละครหลายเรื่อง
ดังนั้น การสร้างธรรมนูญครอบครัว จึงเป็นการวางโครงสร้างในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างมีระเบียบแบบแผน
นอกจากนี้การกำหนดบทบาทที่ชัดเจนให้กับสมาชิกในครอบครัว จะทำให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว ได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และป้องกันไม่ให้มีสมาชิกคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ตัวอย่างของตระกูลธุรกิจใหญ่ในไทย ที่มีการสร้างธรรมนูญครอบครัวก็คือ ตระกูลจิราธิวัฒน์
โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เริ่มมีการสร้างธรรมนูญครอบครัวมาตั้งแต่ปี 1997 และใช้เวลานานถึง 4 ปีกว่าจะเสร็จ
1
ซึ่งธรรมนูญครอบครัวนี้ก็ได้กลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ตระกูลจิราธิวัฒน์ สามารถบริหารบริษัทในเครือได้อย่างไม่มีปัญหา แม้จะส่งต่อการบริหารกิจการให้ทายาทมาหลายรุ่นแล้ว..
1
-หนังสือ Wise Wealth โดย Joachim Schwass, Hakan Hillerstrom, Holger Kuck และ Colleen Lief
โฆษณา